บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 163 ผู้คนแตกต่าง ความคิดร้อยแปด
ตอนที่ 163: ผู้คนแตกต่าง ความคิดร้อยแปด
“นายท่าน คนเหล่านั้นไร้ยางอายนัก เราเป็นคนช่วยชีวิตพวกเขา แต่พวกเขากลับเพิกเฉยต่อชีวิตเราและฉวยโอกาสหลบหนี”
ฉาจิ่นรู้สึกโกรธ นางเห็นการกระทำทั้งหมดของกลุ่มชายในชุดนักรบ
“ข้าหาได้คิดช่วยพวกเขาไม่”
ซูอี้ไม่ได้แยแสผู้คนเหล่านั้นแม้แต่น้อย เขาชำแหละเขี้ยว กรงเล็บ และขนของราชาหมาป่าเพลิงโลหิตอย่างชำนาญแล้วเก็บใส่ลงในจี้หยกข้างเอว
วัตถุวิญญาณเหล่านี้บางส่วนสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงเป็นโอสถ และบางอย่างสามารถใช้ทำเครื่องรางหรือยันต์ได้
“นั่นก็จริง…”
ฉาจิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยามพวกเขามาถึงหุบเขานี้ คนหนึ่งไม่เต็มใจที่จะเดินผ่าน ส่วนอีกคนหนึ่งมองราชาหมาป่าเพลิงโลหิตประหนึ่งเหยื่อ
จุดประสงค์แต่แรกเริ่มไม่ใช่เพื่อช่วยผู้คน
ในกรณีนี้แม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเนรคุณ มันก็หาใช่สาระสำคัญใด
“ไปกันต่อเถิด”
ซูอี้เก็บดาบบงการฟ้าดิน และเดินไปข้างหน้า
ทว่าทันทีที่พวกเขาเดินออกจากหุบเขา พวกเขาก็เห็นกลุ่มชายในชุดนักรบเดินเข้าหา
“ขอบคุณคุณชายยิ่งสำหรับความช่วยเหลือของท่านเมื่อครู่นี้”
ชายในชุดนักรบเป็นผู้เริ่มปริปากเอ่ยทักทาย
คำขอบคุณของเขามาจากใจ ก่อนหน้านี้เขาเตรียมใจอยู่แล้วว่าตนเองคงจะต้องตายในหุบเขา แต่โดยไม่คาดคิดว่าซูอี้จะแข็งแกร่งเลิศล้ำจนถึงขนาดกำราบฝูงหมานับร้อยเพียงลำพัง
เพียงอาศัยความแข็งแกร่งที่ซูอี้แสดงขึ้นก่อนหน้านี้ เขาจึงสรุปได้ว่าชายหนุ่มจะต้องมีที่มาพิสดารไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
ที่น่าประหลาดใจเป็นพิเศษคือชายหนุ่มคนนี้ยังดูเยาว์มาก อีกทั้งระดับการบ่มเพาะยังอยู่แค่ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้นเท่านั้น แต่กลับผิดแปลกมีพลังมากกว่าปรมาจารย์วิถียุทธ์เช่นตัวเขา หากเฟ้นหาทั่วทั้งต้าโจว คงเรียกได้ว่าในช่วงวัยเดียวกัน ชายหนุ่มผู้นี้ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะไร้ผู้เทียบเปรียบ
ผู้คุ้มกันทั้งสี่ที่อยู่ข้างเคียงต่างประสานมือทักทายขอบคุณซูอี้เช่นกัน
ฉาจิ่นลอบดูถูกคนกลุ่มนี้อยู่ในใจ เมื่อครู่นี้ฉวยโอกาสหลบหนีอย่างไร้ยางอาย แต่ยามปัญหาคลี่คลายกลับเสนอหน้ามาขอบคุณ
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณ การกระทำของข้าหาใช่เพื่อปกป้องพวกเจ้าไม่” ซูอี้เอ่ยคำอย่างเฉยเมย
“เห็นหรือไม่ ข้าพูดถูก เราไม่ใช่ญาติของเขาและเขาหาได้รู้จักเราไม่ เขาจะตั้งใจช่วยเราได้อย่างไร ในความคิดของข้า เราไม่จำเป็นต้องขอบคุณ!”
หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ใช่เพราะพวกเราที่ดึงดูดความสนใจของฝูงหมาป่า เขาจะสามารถฆ่าราชาหมาป่าง่าย ๆ ได้อย่างไร!”
“ไร้สาระ! ถ้าไม่ใช่เพราะเราตอนนี้พวกเจ้าทั้งหมดจะมีชีวิตอยู่งั้นหรือ?! มันสมควรแล้วที่พวกเจ้าจะขอบคุณ!”
ฉาจิ่นอดไม่ได้ที่จะโต้แย้ง
สตรีผู้นี้ช่างน่ารังเกียจยิ่ง การช่วยชีวิตแม้จะตั้งใจหรือไม่นั้นก็ถือเป็นบุญคุณใหญ่ แต่ขณะนี้นางกลับเอ่ยวาจาหยาบคายทั้งยังลำเลิกบุญคุณเอาความดีเข้าตัว
แลเห็นเช่นนี้ชายในชุดรบยิ่งละอายใจ แต่ขณะกำลังจะอธิบาย
ทว่าซูอี้โบกมือขึ้นก่อนและเอ่ยขัด “อย่าได้ถือสาพวกเขา พวกเราไปกันต่อเถิด”
“หยุด!”
โดยไม่คาดคิด ก่อนที่เขาจะจากไป หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมเอ่ยถ้อยคำด้วยโทสะว่า “จงฟังให้ชัด เราไม่เคยขอความช่วยเหลือจากเจ้าตั้งแต่ต้น เช่นนั้นแล้วเราจึงไม่จำเป็นต้องขอบคุณเจ้า!”
สีหน้าของซูอี้ยังคงเฉยเมย
สิ่งนี้เรียกว่ายามพ้นภัยธาตุแท้จึงเผยออก
สตรีนางนี้ยามถูกหมาป่ารุมล้อมหาได้กล้าดีเช่นนี้ไม่
แต่ตอนนี้เมื่อปลอดภัยแล้ว จึงเผยความอหังการและหยิ่งผยองออกมาอย่างไม่ปกปิด ทั้งหมดนี้คล้ายว่าคงถูกเลี้ยงดูมาอย่างถูกเอาใจจนเคยตัว
ซูอี้หาได้สนใจต่อนาง เขาทำเพียงแค่ก้าวเท้าต่อไปไม่เหลียวมองแม้เพียงนิด
เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้สังหารหมาป่าเพื่อช่วยอีกฝ่าย ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะขอบคุณหรือไม่
รับชมซูอี้ไม่หักล้างคำพูดของตนและกำลังจะจากไปอย่างไม่แยแส หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมจึงว่าซูอี้นั้นดูถูกตนเอง ถ้อยคำกล่าวออกอีกครั้งอย่างฉุนเฉียว “ข้ายังพูดไม่จบ อย่าเพิ่งไป!”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย หันกลับมา และมองตรงไปยังหญิงสาว ถ้อยคำกล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าต้องการจะพูดสิ่งใดอีก?”
บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งอย่างรวดเร็ว
ชายในชุดนักรบสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสถานการณ์เริ่มจะเลยเถิด เขาจึงพูดอย่างร้อนรน “คุณหนูใกล้จะพลบค่ำแล้ว นายท่านกำลังรอท่านอยู่ที่เมืองหยางขู่”
นี่คือการเตือนให้หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมหยุดสร้างปัญหาและจากไปโดยเร็ว
อีกทั้งเขายังบอกซูอี้ทางอ้อมว่าฝ่ายเขามีคนจำนวนมากรออยู่ที่เมืองหยางขู่ จะเป็นการดีที่สุดหากไม่ขัดแย้งกันที่ตรงนี้
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ยอย่างเย็นชา และเพียงมองหญิงสาวกระโปรงสีทับทิมเท่านั้น
“ผู้อาวุโสเฉียว เราเป็นฝ่ายถูกอย่างชัดเจน เหตุใดเราจึงต้องจากไปก่อนด้วย นั่นไม่ใช่ว่าเรายอมรับว่าเราผิดไม่ใช่หรือ!?”
หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมกอดอกอย่างดื้อรั้น นางหันหน้าไปทางซูอี้ ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำหนักแน่น “ครั้งนี้ที่เราเข้ามาในหุบเขาเพราะข้าต้องการล่าราชาหมาป่าเพลิงโลหิต แม้ว่ามันจะถูกเจ้าฆ่า แต่เจ้าก็ไม่สามารถยึดสิ่งของทั้งหมดไว้เพียงลำพัง ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็มีส่วนร่วมในการช่วยเจ้าสังหารมัน”
ดวงตาของซูอี้ยิ่งเย็นชา “เจ้าวางแผนที่จะให้ข้าแบ่งปันสิ่งของที่ริบได้ให้กับเจ้าด้วยงั้นหรือ?”
หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมถ้อยคำตอบอย่างเย็นชา “ไม่ใช่ว่ามันเป็นสิ่งที่เจ้าควรทำหรืออย่างไร?”
ฉาจิ่นได้ยินประโยคนี้แทบจะหลุดขำเพราะโทสะ นางแทบอดไม่ได้ที่จะสอนบทเรียนให้กับสตรีที่โง่เขลาผู้นี้
ชายในชุดนักรบแอบร่ำร้องอยู่ในใจ
หญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ เขาถูกคนรอบตัวเอาใจตั้งแต่เกิด ยามนี้นิสัยของนางจึงอหังการไม่รู้ความ
นางเป็นบุตรีของผู้นำตระกูลอวี๋ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าตระกูลชั้นนำแห่งมหานครกุ่นโจว…
มีเพียงเฉพาะยามอยู่ในหมู่รุ่นเยาว์ผู้สูงศักดิ์ทัดเทียมกับตนเอง นางถึงจะสงวนกิริยายับยั้งความเย่อหยิ่งของนาง
โดยไม่รอให้ชายในชุดนักรบพูดขัด หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมก็เอ่ยคำต่อ “แน่นอน ข้ายอมรับว่าการปรากฏตัวของเจ้าถือเป็นการบรรเทาทุกข์ยากสำหรับเรา เจ้าสามารถเอาของที่ริบมาได้ครึ่งหนึ่งออกไป หรือจะแลกเป็นเงินกับข้าก็ย่อมได้ ข้าหาได้มีความคิดจะเอาเปรียบเจ้าไม่”
ซูอี้ตอบกลับอย่างเฉยเมย “ย่อมได้ ในเมื่อเจ้ายินดีอยากจะซื้อขายเช่นนั้นข้าจะเอ่ยข้อเสนอ ของทั้งหมดที่ริบมาข้าต้องการศิลาวิญญาณระดับสองหนึ่งหมื่นก้อน ห้ามขาดแม้แต่หนึ่ง!”
ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ
ศิลาวิญญาณระดับสอง หนึ่งหมื่นก้อน!
แม้แต่ตระกูลอันดับต้นของกุ่นโจวยังเรียกได้ว่าจำนวนนี้มหาศาลยิ่ง!
“ข้าอุตส่าห์ใจกว้าง แต่เจ้ากลับพูดจาไร้สาระ เจ้าคิดว่าข้าเป็นผู้ที่หยอกล้อได้ตามใจชอบหรืออย่างไร!”
หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมพูดอย่างโกรธเคือง
ทันทีที่นางพูดประโยคนี้ ชายในชุดนักรบแอบสบถในใจทันที
คุณหนู! นี่ท่านกล้าพูดจาเช่นนี้กับผู้ที่สามารถกำราบฝูงหมาป่านับร้อย อีกทั้งยังสังหารราชาหมาป่าด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร!?
ต่อให้ภูมิหลังของท่านโดดเด่นแค่ไหน ถ้าท่านทำให้อีกฝ่ายโกรธเคืองขึ้นมา ในถิ่นทุรกันดารนี้จะกลายเป็นสถานที่ตายของเราในทันที!
ซูอี้เอ่ยคำอย่างเฉยเมย “ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ต้องการ เช่นนั้นจะดีที่สุดหากเจ้าไม่ยั่วยุข้าซ้ำอีก ไม่เช่นนั้นอย่าได้กล่าวโทษหากข้าสังหารพวกเจ้าทั้งหมดให้สิ้นตัดความรำคาญใจ”
เอ่ยจบประโยคซูอี้หันหลังกลับและออกเดินต่อ
ฉาจิ่นรีบตามไป
หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ และขณะที่นางกำลังจะกล่าวบางถ้อยคำ ชายในชุดนักรบก็รีบคว้าแขนนางไว้อย่างร้อนรน
สีหน้าของเขาขณะนี้จริงจังอย่างยิ่งยวด “คุณหนู! เมืองหยางขู่อยู่อีกไม่ไกลแล้ว เหตุใดท่านถึงต้องยั่วยุคนแปลกหน้าในที่ห่างไกลสายตาผู้คนเช่นนี้ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นจริง นายท่านจะให้อภัยข้าได้อย่างไร!”
หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันกรอดและเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ข้าจะลืมเรื่องราวครั้งนี้ไปก็ได้ ข้าก็ไม่อยากถือสากับคนประเภทนั้นเช่นกัน!”
ชายในชุดนักรบถอนหายใจโล่งอก พลางสาบานในใจว่าเขาจะไม่พาบุตรีคนโตของผู้นำตระกูลออกมาล่าสัตว์อีกเป็นครั้งที่สองเป็นแน่แท้ มันไม่เป็นไรหากขัดแย้งกับคนธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อไรที่นางโง่เง่าไปล่วงเกินตัวตนที่ไม่บังควรเข้า วันนั้นคงเป็นวันสุดท้ายของตนเอง!
ผู้คุ้มกันอีกสี่คนลอบถอนหายใจเช่นกัน
หากพวกเขาอยู่ในมหานครกุ่นโจว พวกเขาจะไม่กลัวสิ่งใดเลยต่อให้พวกเขาจะยั่วยุผู้บ่มเพาะที่น่ากลัวยิ่งกว่าบุรุษหนุ่มเมื่อครู่นี้ ตราบใดที่พวกเขาเอ่ยอ้างภูมิหลังและสกุลตระกูลของหญิงสาว ไม่ว่าเรื่องใดจะคลี่คลายได้โดยไม่บานปลาย
แต่ในย่านกันดารร้างผู้คนเช่นนี้ มันแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
หากเมื่อครู่นี้บุรุษหนุ่มชุดเขียวคิดร้าย เกรงว่าพวกเขาทั้งหมดคงยืนหยัดได้ไม่เกินอึดใจเสียด้วยซ้ำ…
“ไปกันเถอะ”
หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมหารู้ไม่ว่าตนเองนั้นรอดตายอย่างฉิวเฉียด นางก้าวเดินต่อไปด้วยท่าทางที่ขุ่นเคือง
ชายในชุดรบรีบตามไป
“นายน้อย ข้านึกว่าท่านจะบังเกิดโทสะและสังหารคนเหล่านั้นทั้งหมดซะอีก”
ฉาจิ่นเอ่ยคำแผ่วเบา
หลังจากเดินได้สักพัก ขณะนี้เค้าโครงของเมืองเห็นได้แล้วจากระยะสายตา
“ก็แค่สาวน้อยที่มั่นใจในตัวเอง ไม่คู่ควรให้โกรธเคืองแต่อย่างใด” ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย
กล่าวถึงเรื่องนี้ เมื่อครั้งนั้นหยวนลั่วซีก็เย่อหยิ่งและจองหองมากไม่แพ้กัน แต่ท้ายที่สุดนางก็สำนึกรู้ว่าควรตอบแทนบุญคุณอย่างไรจึงจะดี
หากเปรียบเทียบกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวกระโปรงสีทับทิมผู้นี้นิสัยเสียมากยิ่งกว่า เพราะหาได้มีประสบการณ์ในทางโลก
พูดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายโง่เขลา เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เติบโตของแต่ละบุคคลนั้นต่างกัน และนำไปสู่ช่องว่างขนาดใหญ่ในการตระหนักรู้สถานการณ์
ราตรีอันมืดมิดเริ่มคืบคลานมาอย่างเงียบงัน
เมืองหยางขู่นี้ไม่ใหญ่โตเท่าใดนัก แต่ภายในเมืองกลับระยิบระยับไปด้วยแสงไฟ เสียงผู้คนดังอื้ออึงไม่ต่างจากเมืองใหญ่ ดูมีชีวิตชีวายิ่ง
หลังจากเดินทางผ่านภูเขาและลำน้ำห่างไกลผู้คนอาศัยอยู่มาหลายวัน ฉาจิ่นจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเบิกบานเมื่อได้เห็นเมืองที่พลุกพล่านไปด้วยชีวิต
ในอ้อมกอดของนาง ลูกเสือร้ายดวงตาสีฟ้ากะพริบตาปริบ ๆ จ้องมองไปยังเมืองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นี่คือเมืองหยางขู่ซึ่งตั้งอยู่ถัดจากเทือกเขาที่ทอดยาว และอยู่ห่างจากมหานครกุ่นโจวเพียงแปดสิบลี้ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
มีผู้บ่มเพาะมากมายจากมหานครกุ่นโจว มารวมตัวกันที่นี่ตลอดทั้งปีเพื่อขึ้นภูเขาไปล่าเหล่าสัตว์อสูร รวมไปถึงเก็บสมุนไพรวิญญาณอันล้ำค่า
“คืนนี้หาโรงแรมพักที่นี่ จากนั้นพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางต่อไปยังมหานครกุ่นโจว”
หลังจากพูดจบซูอี้เดินตรงเข้าไปยังเมืองหยางขู่
ฉาจิ่นยังคงติดตามอย่างใกล้ชิด
นางหาได้รู้ตัวไม่ ว่าขณะนี้หลังจากเดินทางเคียงข้างซูอี้อย่างยาวนานเริ่มตั้งแต่ที่มหานครอวิ๋นเหอจวบจนมาถึงเมืองหยางขู่เป็นระยะทางไม่ต่ำกว่าแปดร้อยลี้ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีต่อซูอี้ได้เกิดขึ้นอย่างเงียบงันในใจของนาง
สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือคราวเผชิญกับปัญหาและอันตรายใด นางได้เริ่มมองว่าตัวเองเป็นคนฝ่ายเดียวกับซูอี้โดยไม่รู้ตัว กังวลเกี่ยวกับความกังวลของเขา และโกรธยามเมื่อเขาถูกยั่วยุ
ความแค้น ความเกลียดชัง การต่อต้าน และความกลัวที่เคยเกาะกินในใจนางเริ่มจะคลายออกไปบ้างแล้วหลังจากเดินทางร่วมกับซูอี้
ไม่นานหลังจากที่ซูอี้และฉาจิ่นเข้าไปในเมืองหยางขู่ หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมและคณะของนางก็มาถึงเช่นกัน
พวกนางตรงไปที่คฤหาสน์ทางตะวันออกของเมืองหยางขู่ ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ