บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 164 โชคชะตาพาให้พานพบ
ตอนที่ 164: โชคชะตาพาให้พานพบ
คฤหาสน์หลังนี้กินพื้นที่ขนาดใหญ่ ภายในมีทั้งศาลา เรือนบริวาร สระน้ำ
ในห้องโถงแห่งหนึ่ง แสงไฟสว่างไสว
อวี๋ไป๋ถิงนั่งอยู่ตำแหน่งสูงสุด
เขาคือผู้นำตระกูลอวี้ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าตระกูลชั้นนำแห่งมหานครกุ่นโจว มีอำนาจมหาศาล อีกทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งหกเขตปกครองแห่งแคว้นกุ่น
หากให้เลือกสิบผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดทั่วทั้งแคว้นกุ่น อวี๋ไป๋ถิงย่อมเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะนี้เขาสวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้าง ในมือถือสายประคำ ใบหน้าเผยรอยยิ้มอบอุ่น ดวงตาเรียวเปล่งประกาย
กลางห้องโถงมีข้ารับใช้ชราผู้หนึ่งรายงานข่าว
“เรียนนายท่าน ในอีกสิบกว่าวัน ‘งานเลี้ยงน้ำชา’ ที่ริเริ่มโดยเจ้าแคว้นเซี่ยงเทียนชิวจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
“ในบรรดาห้าตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในมหานครกุ่นโจว ตระกูลจ้าว และตระกูลไป๋ ทั้งสองตระกูลได้แสดงตนอย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะสนับสนุน ‘จางหลิงอวี่’ ผู้ว่าการเขตปกครองฮ่วยอัน ให้ถูกรับมอบตำแหน่งเป็นเจ้าแคว้นกุ่นแทนเซี่ยงเทียนชิวที่กำลังจะลงจากตำแหน่ง ซึ่งหมายความว่า สองตระกูลใหญ่นี้อยู่ข้างองค์ชายรอง”
“ยกเว้นสองตระกูลนี้ ตระกูลเสวียยังไม่ได้แสดงออกสิ่งใดอย่างเด่นชัด ส่วนตระกูลเจิ้งนั้นสนิทสนมกับองค์ชายหกในตอนนี้…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวี๋ไป๋ถิงโบกมือ “ข่าวนี้ไม่มีความหมาย เมื่อเผชิญกับความแข็งแกร่งที่แท้จริง คำพูดใด ๆ ของตระกูลสามัญชนเช่นพวกเราล้วนแล้วแต่ไร้สาระ ท้ายที่สุด องค์ชายรองและองค์ชายหกจะต้องลงมาแก่งแย่งตำแหน่งเจ้าแคว้นกุ่นให้คนของตนเองอยู่ดี”
ข้ารับใช้ชราเอ่ยย้ำเสียงอีกครา “นายท่าน เจ้าแคว้นเซี่ยงเทียนชิวกำลังรอคำตอบจากท่านอยู่”
อวี๋ไป๋ถิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “เซี่ยงเทียนชิวเป็นคนขององค์ชายรอง เป็นประหนึ่งแม่ทัพที่ภักดี งานเลี้ยงน้ำชาครั้งนี้ที่เขาจัดขึ้น เห็นได้ชัดว่าเพื่อรวมผู้สนับสนุนจางหลิงอวี่ให้รับตำแหน่งแทนตนทิ้งท้ายก่อนที่เขาจะออกจากตำแหน่ง ข้าคิดว่าแผนการนี้องค์ชายรองคงมีเอี่ยวด้วยเป็นแน่…”
เขาเงยหน้าขึ้นมองดูข้ารับใช้ชราแล้วพูดว่า “เช่นนั้นแล้ว เจ้าจงส่งข้อความออกไป บอกแก่เซี่ยงเทียนชิวว่าทัศนคติของตระกูลอวี๋นั้นง่ายมาก ผู้ใดชนะ เราสนับสนุนคนผู้นั้น”
ข้ารับใช้ชราตกตะลึงและชื่นชมทันที “นายท่านช่างหลักแหลมยิ่ง!”
อวี๋ไป๋ถิงส่ายหัวอย่างไม่เห็นด้วยแล้วกล่าวว่า “ข้าน่ะหรือหลักแหลม? ข้อดีอย่างเดียวของการทำเช่นนี้คือเราจะไม่เข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างองค์ชายทั้งสอง แต่ข้อเสียคือถ้ามันไม่ได้ผล เราจะทำให้พวกเขาทั้งคู่ขุ่นเคือง!”
เอ่ยถึงประโยคนี้เขาหยุดไปครู่ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างเย้ยหยัน “แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ตราบใดที่เรายังอยู่ในมหานครกุ่นโจว เราไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใด ทั้งองค์ชายรองและองค์ชายหกต่างรู้ดี ตระกูลอวี๋ไม่อาจถูกดูหมิ่นในบ้านเกิดของตน!”
หลังจากกล่าวจบประโยค เขาโบกมือ “ไปเถิด”
ไม่นานหลังจากที่ข้ารับใช้ชราออกจากห้องโถง หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมก็เดินเข้ามาและพูดว่า “ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว”
ข้างหลังนาง ชายในชุดนักรบเดินตามอยู่ไม่ห่าง
อวี๋ไป๋ถิงเหลือบมองหญิงสาวและอดไม่ได้ที่จะถาม “สาวน้อย ทำไมสีหน้าเจ้าดูมืดหม่นเช่นนี้?”
หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมคือลูกสาวของเขา อวี๋ซวงหนิง
อวี๋ซวงหนิงขมวดคิ้ว “ท่านพ่อคงไม่ทราบ วันนี้ข้าได้พานพบกับชายน่ารังเกียจผู้หนึ่งในหุบเขา เขาทำให้ข้าได้เข้าใจความหมายของคำว่า ‘หยิ่งผยอง’ จนน่ารังเกียจเป็นอย่างไร!”
อวี๋ไป๋ถิงประหลาดใจ จากนั้นเขามองไปที่ชายในชุดนักรบแล้วเอ่ยถาม “เฉียวเหลิ่ง เกิดสิ่งใดขึ้น?”
ชายในชุดนักรบเฉียวเหลิ่งลอบถอนหายใจ ก่อนจะเล่าเรื่องราวยามที่ถูกล้อมโดยฝูงหมาป่ากระหายเลือดในหุบเขาลึกวันนี้
เรื่องราวทั้งหมดถูกเล่าอย่างไร้ซึ่งการปกปิด อีกทั้งยังไม่มีการแต่งเติมเรื่องราวใด ๆ เสริมให้น่าฟัง รายละเอียดทุกอย่างที่เอ่ยออกเป็นความจริงทุกประการ
หลังจากฟังจบ อวี๋ไป๋ถิงขมวดคิ้วและพูดว่า “ชายหนุ่มผู้อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้นสามารถสังหารราชาหมาป่าเพลิงโลหิตได้?”
เฉียวเหลิ่งพยักหน้าซ้ำ ๆ “ถูกต้องแล้วนายท่าน มันช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก แต่มันเป็นเรื่องจริง ข้าสงสัยว่าชายหนุ่มผู้นั้นคงมีความลับอยู่มากมาย”
อวี๋ไป๋ถิงลูบเคราของเขาเบา ๆ และถามว่า “สาวน้อย เหตุใดเจ้าถึงชิงชังชายหนุ่มผู้นั้นนัก?”
อวี๋ซวงหนิงพ่นลมหายใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยโทสะ “ข้าเพียงแค่ไม่อยากขอบคุณเขา แต่เขากลับยั่วยุข้า ท่านพ่อหากเป็นท่านก็ต้องมีโทสะ ไอ้เจ้าคนผู้นั้นมันเสนอราคาให้ข้าซื้อชิ้นส่วนราชาหมาป่าเป็นเงินถึงหนึ่งศิลาวิญญาณระดับสอง!”
ดวงตาของอวี๋ไป๋ถิงหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะในทันทีและเอ่ยว่า “ลืมมันไปเสีย นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น เขาช่วยชีวิตเจ้าไว้ ดังนั้นการอดทนเป็นสิ่งที่เหมาะควร”
“แน่นอน คนหยาบคายเช่นเขา ข้าไม่คิดจะเสียเวลาใส่ใจ!” อวี๋ซวงหนิงกล่าวอย่างหงุดหงิด
หลังจากพูดคุยกันสักพัก อวี๋ซวงหนิงจึงหันหลังกลับและจากไป
เฉียวเหลิ่งถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
“บอกข้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
แววตาของอวี๋ไป๋ถิงซึ่งเคยเปล่งประกายอบอุ่นขณะนี้พลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจับจ้องไปที่เฉียวเหลิ่ง ซึ่งทำให้คนหลังรู้สึกกดดันจนหายใจยากลำบาก
ถัดมา เฉียวเหลิ่งจึงพูดรายละเอียดให้ชัดเจนมากกว่าเดิม
“นายท่านคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้จงใจเข้าหาซวงหนิงหรือไม่?”
อวี๋ไป๋ถิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับ “อาจเป็นได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบังเอิญจนเกินไป”
เฉียวเหลิ่งรู้สึกประหลาดใจ “นายท่านสงสัยว่าชายหนุ่มผู้นั้นมีแรงจูงใจซ่อนเร้นงั้นหรือ?”
“ในมหานครกุ่นโจว ทุกคนรู้ดีว่าหนิงเอ๋อร์คือแก้วตาดวงใจของข้าแซ่อวี๋ผู้นี้ ตอนนี้ ทั้งองค์ชายรองและองค์ชายหกต่างกำลังต่อสู้เพื่อแย่งชิงให้คนฝั่งของตนกุมตำแหน่งเจ้าแคว้นซึ่งทำให้คลื่นใต้น้ำทั้งมหานครกุ่นโจวปั่นป่วนอย่างรุนแรง ดังนั้นแล้ว การปรากฏตัวของชายหนุ่มผู้ทรงพลังในเวลานี้ และเขาได้ช่วยชีวิตซวงหนิงโดยบังเอิญจึงเป็นเรื่องที่ข้าไม่อาจมองข้ามได้!”
อวี๋ไป๋ถิงแววตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“นายท่าน ท่านจะทำอย่างไรต่อไป?” เฉียวเหลิ่งถามอย่างจริงจัง
อวี๋ไป๋ถิงเอ่ยตอบอย่างเฉยเมย “เจ้าไม่ได้พูดหรอกหรือว่าพวกเขาอยู่ในเมืองหยางขู่ ฉะนั้นจงไปหารายละเอียดของพวกเขามาให้ข้าโดยด่วนที่สุด”
เขาหยุดชั่วคราวก่อนจะพูดต่อ “ก่อนจะไป เจ้าและเหวินเหล่าจงร่วมกันไปนำเอาสมุนไพรวิญญาณล้ำค่าติดตัวไปกับพวกเจ้าด้วยเพื่อตอบแทนบุญคุณที่เขาได้ช่วยชีวิตลูกสาวของข้าไว้”
“และอีกอย่างหนึ่ง จงเอ่ยกับเขาให้ชัดเจน ข้ามีเพียงหนึ่งคำขอแก่เขา ไม่ว่าเขาจะเป็นใครหรือมีเจตนาใดก็ตาม ให้เขาหยุดพยายามเข้าหาซวงหนิงในทันที ไม่เช่นนั้น ใบหน้าของข้าอวี๋ไป๋ถิงจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาได้เห็นในชาตินี้!”
ดวงตาของเขาฉายแววเย็นชา พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่างขณะกล่าวคำ
มังกรมีเกล็ดย้อน ตัวเขานั้นก็ไม่ต่างกัน บุตรีของเขาคือสิ่งที่ผู้ใดอย่าได้คิดจะแตะต้อง!
เฉียวเหลิ่งพยักหน้าเคร่งขรึมและจากไป
หลังจากออกจากห้องโถง เฉียวเหลิ่งอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขาเข้าใจว่ามันไม่แปลกที่เจ้านายของตนระวังตัวขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มในชุดเขียวจะมีแรงจูงใจซ่อนเร้น
อย่างไรก็ตาม เฉียวเหลิ่งรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้ตนเองโต้แย้งไปก็ไร้ผล
…
โรงเตี๊ยมมงคลบรรจบ
ในห้องโถงชั้นแรก
เฉินจินหลงกำลังร่ำสุรากับกลุ่มรุ่นเยาว์ในตระกูล
“พี่เฉิน คราวนี้ที่ท่านเดินทางไปมหานครกุ่นโจวเพื่อเข้าร่วมการทดสอบของตำหนักเทียนหยวนใช่หรือไม่?”
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ผิด”
เฉินจินหลงพยักหน้ายอมรับ แต่ในใจของเขาช่างขมขื่น
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่สามารถอยู่ในมหานครอวิ๋นเหอได้ ใครจะเต็มใจอยากอยู่ห่างจากบ้านเกิด ระหกระเหินไปถึงมหานครกุ่นโจว?
มีคนยกจอกสุราขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของท่าน ท่านย่อมมีโอกาสผ่านการทดสอบอย่างแน่นอนและได้เป็นศิษย์ของตำหนักเทียนหยวนสร้างชื่อให้กับตระกูลเราอย่างไร้ขีดจำกัด มา ข้าขอดื่มฉลองล่วงหน้าให้กับท่าน!”
เฉินจินหลงยกจอกขึ้นตอบรับด้วยรอยยิ้ม ทว่ายามเขาเหลือบมองไปที่ประตูทางเข้าโรงเตี๊ยมโดยไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองแทบถลนออกจากเบ้า สุราในปากทะลักพรวด ใบหน้าของเขาแดงก่ำเนื่องจากสำลัก
ใจเต้นระส่ำประหนึ่งเกิดพายุมรสุม
คนผู้นี้มาที่นี่ได้อย่างไร!??
ครั้งนี้ที่ตัวเขาต้องออกจากมหานครอวิ๋นเหอก็เพื่ออยู่ให้ห่างดาวร้ายผู้นี้ แต่สวรรค์รังเกียจกันเกินไปหรือไม่? เหตุใดยังส่งซูอี้ตามมาหลอกหลอนข้าที่นี่อีก!!
“พี่เฉิน ท่านเห็นใครถึงตื่นเต้นมากเช่นนี้?”
หลังจากเอ่ยถาม สายตาของชายหนุ่มผู้นั้นกวาดมองไปยังทิศทางที่เฉินจินหลงเพิ่งเหลือบไป ทันใดนั้นดวงตาของเขาสว่างขึ้นทันที “ข้าเข้าใจแล้ว! ที่แท้ท่านพบเห็นความงามอันยิ่งใหญ่นี่เอง! สวรรค์! สตรีนางนั้นช่างงดงามราวกับเทพธิดา!”
คนอื่น ๆ ในโต๊ะเดียวกันอดไม่ได้ที่จะหันไปมองบ้าง
ทันใดนั้น ทุกคนต่างแลเห็นคู่ชายหญิงยืนอยู่หน้าโต๊ะรับแขกตรงทางเข้าโรงเตี๊ยม บุรุษหนุ่มนุ่งห่มเสื้อคลุมสีเขียว
แต่กระนั้นหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างนั้นกลับงดงามโดดเด่นเตะตาจนแทบหยุดหายใจ นางสวมชุดคลุมสีเขียวแขนเสื้อกว้าง เส้นผมสีดำยาวเป็นสลวย คอยาวเรียวระหง ใบหน้างดงามหมดจดโดยไม่ต้องเติมแต่ง เป็นความงามอันไร้ที่ติหาผู้ใดสามารถเทียบเทียมได้ไม่
ในห้องโถงชั้นหนึ่งที่เคยมีเสียงพูดคุยอื้ออึงมีชีวิตชีวา ขณะนี้เสียงเหล่านั้นเงียบลงอย่างพร้อมใจ ดวงตาของชายทั้งหลายต่างจับจ้องไปที่จุดเดียวกัน
ความงามที่ไม่มีใครเทียบได้เช่นนี้หาได้ยากในเมืองหยางขู่แห่งนี้
แต่กลับกัน เฉินจินหลงแทบรอไม่ไหวอยากจะฝังหัวลงกับพื้น ไม่กล้าที่จะมองย้อนกลับไปเป็นครั้งที่สอง เขาสวดภาวนาอยู่ในใจ โปรดเถิดสวรรค์ ดาวมารผู้นั้นขออย่าได้เห็นข้าเลย…
แต่แล้วชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหราซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างเฉินจินหลงก็หัวเราะและเอ่ยขึ้นอย่างเบิกบาน “ดูคล้ายว่าสองคนนี้เพิ่งมาถึงเมืองหยางขู่ ใบหน้าของพวกเขาข้าไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย ทุกคน ข้าขอตัวไปทักทายพวกเขาสักหน่อยเอาไว้ได้ความอย่างไรจะกลับมาบอก!”
เขายืนขึ้นและกำลังจะเดินข้าม แต่ถูกเฉินจินหลงคว้าแขนไว้แล้วดึงกลับอย่างแรงให้นั่งยังที่เดิม
ชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหราตกตะลึงเมื่อตนเองถูกเฉินจินหลงดึงกลับมาอย่างแรง ทว่าเฉินจินหลงแยกเขี้ยวก่อนจะเอ่ยเตือนด้วยเสียงต่ำอย่างดุเดือด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนคนนั้นเป็นใคร! หากเจ้าคิดจะยุ่งกับสตรีนางนั้นก็จงไสหัวไปจากข้าซะ อย่าได้บอกว่ารู้จักหรือเป็นญาติข้า ข้าไม่ต้องการที่จะตายร่วมกับเจ้า!”
หากไม่ใช่เพราะขณะนี้เขาไม่อยากทำตัวเป็นจุดเด่น ป่านนี้เขาคงตบหน้าคนรุ่นเยาว์ในตระกูลของตนเองให้ฟันร่วงไปแล้ว
ข้าเคยเห็นคนรนหาที่ตายมาก็หลายครา แต่ข้าไม่เคยเห็นใครรนหาที่ตายได้โง่เง่าเท่าเจ้าสักคนหนึ่ง! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้าจะมีญาติที่โง่เง่าขนาดนี้ได้อย่างไร!?
ชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหราตกตะลึงเมื่อตนเองถูกด่าว่า แต่กระนั้นเขายังคงพูดโต้แย้งอย่างโง่งงม “พี่เฉิน ต…แต่เขาเดินมาทางนี้แล้ว”
“ฮะ?”
ทันใดนั้น เสียงประหลาดใจดังขึ้นข้างหลังเขา “เอ… ไม่ใช่ว่าเจ้าคือ…”
ก่อนที่ซูอี้จะพูดจบ เฉินจินหลงก็ลุกขึ้นยืนอย่างรีบร้อน และเมื่อเขาหันกลับมา ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มประจบสอพลออย่างทันควัน ก่อนจะกล่าวว่า “อ…อ่า ป… เป็นปรมาจารย์ซูนี่เอง ข้า…ข้าผู้น้อยเฉินจินหลงรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งที่ท่านยังจำข้าได้”
เขาตะกุกตะกัก ลิ้นแข็งอย่างไม่อาจควบคุม แม้คำพูดจะเยินยอ แต่ไม่ว่าใครก็เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหวาดกลัวอีกฝ่าย
เหล่าสหายที่ร่วมโต๊ะสังเกตเห็นชัดเจนว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาต่างไม่แน่ใจว่า ชายหนุ่มผู้นี้ที่เฉินจินหลงกลัวนักหนาเป็นผู้ใดกันแน่?
ซูอี้เอ่ยถาม “เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
“ข้า… ข้า… เรียนปรมาจารย์ซูตามตรง ผู้น้อยวาง… วางแผนที่จะไปเข้าร่วมการทดสอบของตำหนักเทียนหยวน… ผู้น้อยเพิ่งมาถึงเมืองหยางขู่วันนี้…”
เฉินจินหลงเกือบจะร้องไห้ เขาจะพูดความจริงได้อย่างไรว่าสาเหตุหลักที่เขาต้องจากบ้านของตัวเองมาก็เพราะต้องการหนีหน้าจากซูอี้!
ซูอี้พยักหน้ารับรู้ “เป็นเรื่องบังเอิญยิ่ง ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหยางขู่วันนี้เช่นกัน ว่าแต่เจ้าจะไปมหานครกุ่นโจวเมื่อใด?”
“เอ่อ… ข้าวางแผนเอาไว้ว่าจะออกเดินทางตั้งแต่เช้าพรุ่งนี้…”
หลังจากตอบกลับ เฉินจินหลงเพิ่งตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับคำถามของอีกฝ่าย เหตุใดอีกฝ่ายถึงถามเขาว่าจะเดินทางเมื่อใด? หรือว่าอาจจะเป็น…
รับชมเช่นนี้ซูอี้พยักหน้าและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดียิ่ง เป็นเรื่องดีหากมีคนคุ้นหน้าร่วมเดินทาง เช่นนั้นแล้วพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปด้วยกัน”
หลังจากนั้นซูอี้หันหลังเดินออกไป
เฉินจินหลงตกตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่า