บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 165 ชีพจรลับ
ตอนที่ 165 : ชีพจรลับ
ไม่นาน เฉินจินหลงถึงได้สติกลับมา
ในใจเขามีเพียงความคิดเดียว
หนี!
ถือโอกาสนี้หลบหนี เพราะหนอนน้อยย่อมรู้ ว่าจะเกิดอันใดขึ้นหากร่วมเดินทางไปกับนกยักษ์ในยามเช้า!
หากอีกฝ่ายไม่มีความสุข และใช้ตัวเขาเป็นที่ระบายอารมณ์จะทำอย่างไรล่ะ?
ยังต้องคุกเข่าเหมือนตอนอยู่ที่ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ครั้งนั้นใช่หรือไม่?
เช่นนั้นก็เสียหน้าไปจนไปถึงมหานครกุ่นโจวเลยสิ!
เฉินจินหลงไม่สนใจอธิบายอะไรให้กับเพื่อน ๆ ฟัง เขารีบเอ่ยออกมาสองประโยค จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป
ค่ำคืนอันมืดมิด บนถนนที่มีแสงไฟสว่างไสว
เมื่อเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมมงคลบรรจบ เฉินจินหลงก็เดินมุ่งหน้าไปนอกเมืองหยางขู่
แต่เมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง ก็มีคนเข้ามาขวางไว้
“เพื่อนตัวน้อย หยุดก่อน”
มีชายหนุ่มร่างผอมสวมชุดทหารคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
“มารดาแกสิ…”
เฉินจินหลงใจร้อน กำลังจะด่าออกไป แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นชายที่สวมชุดทหาร ทั่วร่างพลันแข็งทื่อ เขาจึงกลืนคำหยาบลงไป
ตัวตนขั้นปรมาจารย์!?
เขาสั่นไปทั่วร่าง แม้ลมปราณที่อยู่บนร่างของอีกฝ่ายจะเบาบาง แต่กลับคุ้นเคยเป็นอย่างดี นี่คือขอบเขตหลอมกำเนิดซึ่งตัวตนอย่างปรมาจารย์เท่านั้นถึงจะอยู่ได้!
“ขอริอาจถามผู้อาวุโส ท่านมีสิ่งใดจะสั่งหรือ?”
เฉินจินหลงคำนับด้วยความเคารพ และเผยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่แข็งทื่อออกมา
“ไม่ทราบว่าเพื่อนตัวน้อยจะเล่าเรื่องชายหนุ่มที่สวมชุดเขียวคนนั้นให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
ชายที่สวมชุดทหารคือเฉียวเหลิ่งนี่เอง
ก่อนหน้านี้เขาเห็น ซูอี้กับเฉินจินหลงเคยพูดคุยกันอยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยม และกำลังเตรียมหาโอกาสพูดคุยกับเฉินจินหลง
แต่ใครจะคิดว่า เฉินจินหลงจะเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม นี่คือการสัปหงกก็มีคนส่งหมอนมาให้จริง ๆ*[1]
“ชายหนุ่มสวมชุดเขียวคนไหนรึ?”
เฉินจินหลงนิ่งไปครู่หนึ่ง
“บุรุษกับสตรีที่เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมมงคลบรรจบเมื่อครู่ หนึ่งในนั้นมีชายผู้หนึ่ง…”
เฉียวเหลิ่งยังเอ่ยไม่ทันจบ เฉินจินหลงก็พลั้งปากเอ่ยออกมาทันที “ผู้อาวุโสกำลังถามถึงซูอี้? ข้ารู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีนักหากเจอกับชายหนุ่มคนนั้น!”
เมื่อเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไป ผนวกกับท่าทางที่กัดฟันเช่นนั้น เฉียวเหลิ่งก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ “เจ้ากับเขามีความแค้นต่อกันรึ?”
“นี่… เฮ้อ มันยากที่จะอธิบายออกมาสั้น ๆ ได้”
เฉินจินหลงถอนหายใจออกมา
เฉียวเหลิ่งเอ่ยด้วยความดีใจ “หากเพื่อนตัวน้อยไม่ถือสา พวกเราไปพูดคุยกันที่ร้านชาใกล้ ๆ นี้ดีหรือไม่?”
ครานี้เขาแค่จะสืบหาความจริงของซูอี้ หากสามารถได้รับเบาะแสจากปากเฉินจินหลงได้ก็จะยิ่งดีมาก
การเชื้อเชิญของปรมาจารย์ท่านหนึ่ง เฉินจินหลงจะไม่กล้าตอบรับได้อย่างไรกัน?
ไม่นาน ในร้านน้ำชาร้านหนึ่ง
ภายใต้การไถ่ถามที่สุภาพของเฉียวเหลิ่ง เฉินจินหลงที่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ในตอนแรก ก็ไม่อาจยับยั้งวาจา เริ่มที่จะคายความขื่นขมออกมา ราวกับเจอคู่ที่อยากระบายความในใจ เขาจึงพูดความอัดอั้นที่อยู่ในใจออกมาทั้งหมด
และในที่สุดเฉียวเหลิ่งก็ได้คำตอบในสิ่งที่เขาต้องการ เพียงแต่สีหน้าเขากลับมีความประหลาดใจเล็กน้อย
สำนักดาบชิงเหอทิ้งลูกศิษย์?
ลูกเขยตระกูลเหวินในเมืองกว่างหลิง?
หากไม่ใช่เพราะความซื่อสัตย์จริงใจของเฉินจินหลง และคำพูดที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เฉียวเหลิ่งคงสงสัยว่าเจ้าหนุ่มคนนี้กำลังหลอกเขาอยู่
แต่เขาก็ได้รับเบาะแสที่ล้ำค่ามาเล็กน้อย
เช่น ซูอี้มีแผ่นป้ายของตระกููลหลานหลิงเซียวอยู่ในมือ เคยได้รับความช่วยเหลือจากผู้ว่าเขตปกครองหย่งเหอ มู่จงถิงกับชายหนุ่มทายาทตระกูลสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง และเชิญจางจือเหยียนผู้นำตระกูลจางกับผู้นำระดับสูงอื่น ๆ ในมหานครอวิ๋นเหอมาดื่มอวยพรเป็นการส่วนตัว…
หลังจากระบายความทุกข์ในใจออกมาหมด เฉินจินหลงก็รู้สึกสบายใจมาก และอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ใช่แล้ว ขอริอาจถามผู้อาวุโสว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร?”
“เพื่อนตัวน้อยไม่รู้จะดีกว่า หากข้าสร้างปัญหาให้เจ้าอีก มันจะทำให้ข้ารู้สึกเสียใจมาก”
ขณะที่เอ่ยอยู่ เฉียวเหลิ่งก็ลุกขึ้น “ตอนนี้สายมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
เฉินจินหลงรีบลุกขึ้นส่งทันที
จนกระทั่งมองร่างเงาของเฉียวเหลิ่งหายไป เฉินจินหลงก็ตระหนักเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ คืนนี้เขาเปิดเผยความลับไปหลายเรื่อง หากซูอี้รู้เข้า… “เหตุใดข้าถึงไม่ควบคุมปากนี้ไม่ได้น่ะ!”เฉินจินหลงใช้ฝ่ามือตบปากของตัวเอง
…..
ณ ฝั่งตรงข้ามโรงเตี๊ยมมงคลบรรจบ ในร้านขายอาหารร้านหนึ่ง
มีชายชราสวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินเข้มคนหนึ่งนั่งอยู่เงียบ ๆ
ในระหว่างนิ้วมือข้างซ้ายที่แห้งเหี่ยวของเขา มีงูตัวเล็กสีแดงตัวหนึ่งพันรอบไปมาอย่างมีชีวิต
งูเล็กสีแดงตัวนี้มีความหนาเพียงแค่ตะเกียบเท่านั้น ทั่วตัวเป็นสีแดงสดเหมือนเลือด หัวของงูนั้นแบบราบ ดวงตาราวกับเพชรสีเลือดที่เล็กมากและเปล่งประกายด้วยแสงที่ยั่วยวน
มันเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างนิ้วมือข้างซ้ายของชายชรา และมักจะแลบลิ้นส่งเสียงซี่ซี่ออกมา ซึ่งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ
“ผู้เฒ่าเหวิน หากข้าเดาไม่ผิด ชายสูงศักดิ์ที่อยู่กับมู่จงถิงนั้นต้องเป็นองค์ชายหกอย่างแน่นอน”
เฉียวเหลิ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามชายชราสวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้มเอ่ยเสียงต่ำ “ในมหานครกุ่นโจวมีใครไม่รู้บ้างว่าองค์ชายหกตั้งใจจะผลักดันมู่จงถิง?”
ผู้เฒ่าเหวินที่อยู่ตรงข้าม เป็นหนึ่งในผู้ช่วยของท่านผู้นำตระกูลอวี๋ ความเป็นมานั้นลึกลับมาก
ในมหานครกุ่นโจว น้อยคนนักที่จะรู้ว่าผู้เฒ่าเหวินยังมีชีวิตอยู่ และส่วนมากก็จะมองเขาเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายอวี๋ไป๋ถิง และชื่อเสียงเขานั้นไม่ชัดเจนนัก
แต่เฉียวเหลิ่งรู้ ผู้เฒ่าเหวินเรียนรู้คาถาลับที่แปลกประหลาดและคาดไม่ถึงมากมาย การฝึกฝนของเขานั้นก็น่าหวาดกลัวมากเช่นกัน!
เมื่อครู่ เฉียวเหลิ่งนำเรื่องที่สืบได้มาจากเฉินจินหลงเล่าออกไปทีละอย่าง ไม่มีการปกปิดเลยแม้แต่น้อย
“ที่แท้ก็เป็นไปตามที่นายท่านคิดไว้ ชายหนุ่มสวมชุดสีเขียวนามว่าซูอี้ผู้นี้เป็นคนขององค์ชายหก”
น้ำเสียงที่แหบแห้งของผู้เฒ่าเหวิน คล้ายกับเสียงแลบลิ้นที่มืดครึ้มและหนาวเย็นของงูพิษ ทำให้รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
เฉียวเหลิ่งผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ “เฮ้อ ข้าก็มองพลาดไป ดูเหมือนตอนนี้ซูอี้น่าจะมีแผนช่วยเหลือผู้คนจึงตั้งใจเข้าใกล้คุณหนู และข้าคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
“บนโลกใบนี้จะมีเรื่องบังเอิญมากมายได้อย่างไรกัน”
แววตาของผู้เฒ่าเหวินเผยความอำมหิตและเย็นชาออกมา “ไม่ว่าองค์ชายหกจะส่งคนผู้นี้มาทำอะไร หรือด้วยเหตุผลอันใด สิ่งนี้ได้ฝ่าฝืนข้อห้ามและได้สะกิดต่อมโทสะของนายท่านแล้ว”
เฉียวเหลิ่งเอ่ยด้วยความลังเลใจ “ผู้เฒ่าเหวิน เช่นนั้นพวกเรายังต้องไปพบซูอี้ผู้นี้อยู่หรือไม่?”
“เหตุใดจะไม่ไปพบล่ะ?”
ขณะที่เอ่ยอยู่ ผู้เฒ่าเหวินก็ลุกขึ้น “พวกเราจะต้องทำให้ชายหนุ่มนามว่าซูอี้ได้รู้ หากเข้าใกล้คุณหนูอีก ต่อให้มีองค์ชายหกหนุนหลังอยู่ มันก็ต้องตาย!”
ในใจเฉียวเหลิ่งยุ่งเหยิงเล็กน้อย
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มผู้นี้จะมีแผนเข้าใกล้คุณหนู
ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่ แต่ระหว่างที่เจอเรื่องอันตรายในตอนนั้น หากซูอี้ไม่ปรากฏตัวออกมาทันเวลา คุณหนูและพวกเขาทั้งหมดคงตายไปแล้ว!
“ข้าแค่หวังว่าเขาจะรู้จักถอยหากอยู่ในสภาวะที่ลำบาก และอย่าเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องในตระกูลอวี๋เลย…”
เฉียวเหลิ่งพึมพำในใจ
…..
ณ โรงเตี๊ยมมงคลบรรจบ
ในห้องหนึ่ง ฉาจิ่นกัดริมฝีปากเบา ๆ ในใจรู้สึกกังวลเล็กน้อย
ไม่คิดเลยว่าโรงเตี๊ยมบ้านี่ จะเหลือเพียงแค่ห้องเดียว!
แค่คิดว่าคืนนี้จะต้องค้างคืนอยู่ในห้องเดียวกันกับซูอี้ ฉาจิ่นจึงรู้สึกกังวลใจจนพูดไม่ออก
ทว่าซูอี้นั้นดูสบายมาก เขาเอนกายนอนอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน ใช้สองแขนรองศีรษะ ทั่วร่างดูผ่อนคลาย
ในหัวก็คิดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนทันที
“ขั้นสองของเขตรวบรวมลมปราณคือการเบิกชีพจร ด้วยพื้นฐานของข้า ภายใต้เหตุการณ์ที่ไม่ขาดทรัพยากรในการฝึก หากอยากเปิด ‘ชีพจรวิญญาณ’ ทั้งสิบสองจุด คงต้องใช้เวลาประมาณสองเดือนกว่า…”
สี่ขอบเขตแห่งวิถียุทธ์ ประกอบด้วยขอบเขตโคจรโลหิต ขอบเขตรวบรวมลมปราณ ขอบเขตหลอมกำเนิดและขอบเขตไร้แพร่งพราย
ขอบเขตรวบรวมลมปราณเป็นระดับขอบเขตที่สอง แบ่งเป็นขั้นหนึ่งเบิกปัญญา ขั้นสองเบิกชีพจร และขั้นสามแปรสภาพ
ขั้นสองเบิกปัญญา เป็นการเบิกวิญญาณที่อยู่ในร่างกาย
ตอนนี้ ซูอี้ได้เปิดทั้งหนึ่งร้อยแปดจุดออกแล้ว และได้สร้างพื้นฐานที่มั่นคงในระดับเกินกว่าช่วงเวลาเดียวกันในชาติก่อน
และการฝึกฝนของเขา ก็บรรลุจากขั้นแรกในขอบเขตรวบรวมลมปราณเข้าไปในขั้นสอง ‘เบิกชีพจร’ ซึ่งมนุษย์เรานั้นมีจุดเบิกวิญญาณหนึ่งร้อยแปดจุด และมีจุดชีพจรวิญญาณอีกสิบสองจุด
ชีพจรวิญญาณสิบสองจุดนี้ ถูกเรียกว่า ‘สะพานเชื่อมฟ้าและดิน’ เชื่อมโยงระหว่างจุดเส้นลมปราณภายในร่างกาย
เมื่อจุดชีพจรวิญญาณทั้งสิบสองจุดเปิดออกทีละจุด ก็เท่ากับว่าได้สร้างสะพานเชื่อมระหว่างตัวคนและสวรรค์
ตัวของผู้ฝึกยุทธ์ก็เหมือนกับการสร้างสะพานที่เชื่อมระหว่างฟ้าและดิน เมื่อฝึกฝนบำเพ็ญเพียร ก็จะสามารถดูดซับพลังวิญญาณมหาศาลได้อีกขั้นหนึ่ง
ในอาณาจักรต้าโจวและเหล่าอาณาจักรทั่วดินแดน แทบจะมีผู้ฝึกยุทธ์ไม่มากนักที่สามารถเปิดจุดชีพจรวิญญาณทั้งสิบสองจุดได้
แม้แต่กองกำลังสูงสุดของสิบตำหนักใหญ่ ผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถเปิดจุดชีพจรวิญญาณทั้งสิบสองจุดได้นั้น ก็มีแค่เพียงหยิบมือเท่านั้น
และทั้งหมดก็ถูกมองว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถที่สุดแห่งยุค ถือกำเนิดมาพร้อมดวงชะตาที่พบได้ยากในหนึ่งร้อยปี
หรือต่อให้อยู่ในเก้าแคว้น ก็มีเพียงผู้สืบทอดกองกำลังระดับสูงเท่านั้น ถึงจะสามารถเปิดจุดชีพจรวิญญาณทั้งสิบสองสุดได้อย่างสบาย ๆ
แต่สำหรับซูอี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร
ในฐานะที่เคยถูกเรียกว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้ยิ่งใหญ่ ซูอี้ยังรู้ความลับใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในขั้นสองเบิกชีพจรของขอบเขตรวบรวมลมปราณ
ก็คือ ภายในร่างกายมนุษย์นอกจากชีพจรวิญญาณทั้งสิบสองจุดแล้ว ยังมีชีพจรลับอยู่อีกจุดหนึ่ง!
ชีพจรลับนี้ ผสานร่างกายและจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์เอาไว้ และเชื่อมจุดชีพจรวิญญาณทั้งสิบสองจุด มีเพียงผู้ที่ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ เท่านั้นถึงจะสามารถสัมผัสถึงได้!
ในตอนนั้นชิงถังศิษย์เล็กของซูอี้ก็เคยเปิดชีพจรลับนี้
นี่คือสิ่งที่ในชาติก่อนซูอี้ไม่เคยทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้ และมันทำให้เขานึกถึงชาติก่อนในตอนที่มีวิถียุทธ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณ การฝึกบำเพ็ญของเขานั้นยังคงมีความผิดพลาดและมีข้อบกพร่องอยู่
อย่างไรเสีย จิตวิญญาณของเขาในตอนนั้นก็เปิดจุดได้เพียงเจ็ดสิบสองจุด ไม่สามารถ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ ได้ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่สามารถสัมผัสถึงชีพจรลับนี้ได้
แต่ซูอี้ในชาตินี้จะไม่พลาดอีกเป็นอันขาด!
ในขณะที่คิดอยู่ ซูอี้ก็ถอนหายใจออกมา และตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่ง
สมุนไพรและหินวิญญาณของเขานั้นเหลือไม่มากแล้ว และวัตถุวิญญาณที่ต่ำกว่าระดับสองก็เติมเต็มการบำเพ็ญในวิถียุทธ์ขอบเขตรวบรวมวิญญาณไม่ได้…
กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ต่อจากนี้ไปเขาต้องการยาวิเศษ สมุนไพร และหินวิญญาณที่มีระดับสองขึ้นไป ถึงจะสามารถรักษาความเร็วในการฝึกฝนให้เป็นไปตามปกติ
และหากอยากให้การฝึกฝนบรรลุไปอย่างก้าวกระโดด เกรงว่าจะต้องไปหา ‘โอกาส’ เองเสียแล้ว!
‘หวังว่าการเดินทางไปมหานครกุ่นโจว จะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ…’
ซูอี้เอ่ยในใจเงียบ ๆ
มหานครกุ่นโจวเป็นพื้นที่ที่ห่างไกลทะเล มีความเจริญรุ่งเรืองมาก และมีทรัพยากรที่สามารถเติมเต็มการฝึกฝนของปรมาจารย์ได้
แม้ซูอี้จะยังไม่ได้เป็นปรมาจารย์ แต่เส้นทางในการบำเพ็ญของเขานั้นพิเศษมาก แม้กระทั่งปรมาจารย์ธรรมดาก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ และสำหรับเงื่อนไขของทรัพยากรในการใช้ฝึกฝนนั้นก็ยากยิ่งกว่า!
ตอนนี้ เขาทำได้แค่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะอยู่ในมหานครกุ่นโจวนี้ได้ และสามารถได้รับทรัพยากรในการบำเพ็ญที่เหมาะสมกับตัวเอง
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลดังขึ้นภายในห้อง
ซูอี้เหลือบตามอง และอดไม่ได้ที่จะตกใจ
เขาเห็นลูกของพยัคฆ์เพลิงเนตรครามกำลังใช้กรงเล็บอ่อนเขี่ยหน้าอกอวบอิ่มของฉาจิ่นไม่หยุด และร้องด้วยความเศร้าโศกออกมา ราวกับว่าหิวจะแย่แล้ว…
แต่ฉาจิ่นกำลังสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าที่งดงามแดงเรื่อ เรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก และนัยน์ตางามคู่นั้นเผยความเขินอายออกมา
เมื่อเห็นซูอี้มองมา ฉาจิ่นรู้สึกว่าใบหน้านางนั้นร้อนผ่าว นางอดไม่ได้ที่จะกดหัวเจ้าเด็กน้อยด้วยความโกรธ ความอับอายพรั่งพรูออกมาภายในใจจนพูดไม่ออก แย่แน่ ภาพที่น่าอับอายนี้ต้องถูกชายหนุ่มผู้นี้เห็นแล้วแน่ ๆ …
ซูอี้ลุกขึ้นมาจากเตียง นำเม็ดยาระดับหนึ่งออกมาหนึ่งเม็ด และเอ่ยว่า “นำสิ่งนี้หักให้แตกและให้มันกิน”
ฉาจิ่นรีบส่งเสียงตอบกลับไป และรับยานั่นมา
ในขณะเดียวกันนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
[1] เมื่อสัปหงกก็มีคนส่งหมอนมาให้ เป็นสำนวนจีน หมายถึง อยากได้สิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น