บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 167 ซื่อหนี
ตอนที่ 167: ซื่อหนี
เหวินเหล่า!
หนึ่งในผู้ช่วยของอวี๋ไป๋ถิงผู้นำตระกูลอวี๋ และเป็นบุคคลเก่งกาจที่เชี่ยวชาญวิชาลับแปลกประหลาดคนหนึ่ง
…ไม่คิดว่าจะตายเช่นนี้!?
ก่อนหน้านี้ที่อยู่ด้านนอกห้องหรู เฉียวเหลิ่งไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้ใด ๆ เลยสักนิด ก่อนจะได้ยินแค่เสียงท่านเหวินเหล่าร้องตะโกน จึงได้สัมผัสถึงความผิดปกติและพุ่งเข้าไป
เมื่อเห็นเหตุการณ์ภายในห้อง และรับชมซูอี้ที่ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทำเหมือนกับไม่เคยเคลื่อนไหวใด ๆ
แต่ทั้งร่างของเหวินเหล่ากลับเหลือเพียงแค่เนื้อเยื่อหนึ่งชั้นกับกระดูกเท่านั้น!
ในหัวของเฉียวเหลิ่งถึงกับมึนงง เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น และมือเท้าก็เย็นเฉียบ
ฟู่!
ทันใดนั้น หัวกะโหลกของเหวินเหล่าก็แตกร้าว มีงูเล็กสีแดงเพลิงตัวหนึ่งทะลุออกมา ชั่วพริบตาเดียว มันก็อยากจะหลบหนีไป
แต่เมื่อเห็นซูอี้แกว่งแขนเสื้อ งูเล็กสีแดงตัวนั้นก็ถูบคีบอยู่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง มันแลบลิ้นส่งเสียงซี่ซี่ออกมา และดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ยังคงไร้ประโยชน์เช่นเดิม
“เป็น ‘งูพิษ’ นั้นงั้นรึที่ฆ่าเหวินเหล่า?”
เฉียวเหลิ่งเอ่ยเสียงหลง เขารู้จักงูเล็กสีแดงตัวนี้ และรู้ว่าเจ้าตัวเล็กนี่เป็นลูกสุดที่รักของเหวินเหล่า อีกฝ่ายเลี้ยงดูมันด้วยเลือดมาโดยตลอด
แต่ใครจะคิดเล่าว่า เหวินเหล่ากลับถูกสัตว์ปีศาจเล็กนี้ทำร้ายตัวเองจนตาย!
ซูอี้ออกแรงที่ปลายนิ้วและบีบมันเบา ๆ งูเล็กสีแดงตัวนี้ก็สลบทันที และถูกเก็บไว้ในแขนเสื้อ
จากนั้นเขาถึงได้เงยหน้ามองไปทางเฉียวเหลิ่ง “เจ้าวางแผนจะแก้แค้นให้เขาตอนนี้ หรือจะกลับไปรายงาน?”
เฉียวเหลิ่งสั่นไปทั่วร่าง สีหน้ามีความลังเล
เมื่อพบซูอี้ในหุบเขาวันนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายฝึกฝนในวิถียุทธ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณเท่านั้น แต่ที่จริงพละกำลังนั้นแข็งแกร่งมาก ทำให้ปรมาจารย์เช่นเขารู้สึกสั่นสะท้าน
แต่เขาไม่คิดเลยว่า คนที่แข็งแกร่งระดับเหวินเหล่าจะตายโดยไม่รู้สาเหตุใด ๆ เช่นนี้
นี่เป็นการเน้นย้ำถึงความน่ากลัวของซูอี้!
“คุณชาย นี่เท่ากับว่าท่านฉีกหน้าตระกูลอวี๋อย่างมากเลยนะ”
เฉียวเหลิ่งถอนหลายใจยาวออกมา ความรู้สึกนั้นยุ่งเหยิงมาก
เขาซาบซึ้งในบุญคุณของซูอี้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนที่มาเยี่ยมเยียนซูอี้เมื่อครู่ และเห็นท่าทางที่เผด็จการของอีกฝ่าย มันก็ทำให้เขาไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ซึ่งก็เป็นในตอนนี้ ที่เขาถึงได้รู้สึกอย่างลึกซึ้ง ว่าเหตุใดซูอี้ถึงกล้าที่จะเผด็จการเช่นนี้
แต่เขาก็เข้าใจเหมือนกัน ว่าเพราะการตายของเหวินเหล่า อวี๋ไป๋ถิงผู้นำตระกูลอวี๋ไม่อาจวางมือไปจากเรื่องนี้แน่!
“ตระกูลอวี๋อะไรกัน? แค่ปรมาจารย์ผู้หนึ่งท่ามกลางนับพันเท่านั้น ไม่รู้สำนึกในบุญคุณ สงสัยข้าซูผู้นี้มีเจตนาร้ายแอบแฝง ช่างรนหาที่ตายจริง ๆ”
ซูอี้เอ่ยเย็นชา “ในเมื่อเจ้าไม่ได้วางแผนแก้แค้นให้กับคนตาย ก็จงกลับไปบอกผู้นำของพวกเจ้า คืนนี้ข้าซูผู้นี้จะรออยู่ที่นี่ หากเขาอยากมาแก้แค้น ก็ลงมือได้ทุกเมื่อ”
เฉียวเหลิ่งสูดหายใจเข้าลึก ๆ เอ่ยด้วยแววตาที่สับสน “คุณชาย ขออภัยในความกล้าของเฉียวผู้นี้ และขอถามได้หรือไม่ การกระทำของท่านในครั้งนี้ เป็นองค์ชายหกแนะนำให้ทำอยู่เบื้องหลังหรือไม่? ”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและเอ่ยขึ้น “ทำไมรึ จนถึงตอนนี้เจ้ายังคิดว่าข้ามีโจวจือหลีคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างนั้นหรือ?”
เฉียวเหลิ่งเอ่ยด้วยความยากลำบาก “หากไม่เป็นเช่นนั้น เฉียวผู้นี้ก็คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าเหตุใดคุณชายถึงทำเช่นนี้ ถึงอย่างไรการเผชิญหน้ากับตระกูลอวี๋ก็ไม่ส่งผลดีต่อท่านแน่”
“เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้…”
ซูอี้แสยะยิ้มเย็น “ข้ายื่นมือไปช่วยชีวิตพวกเจ้า ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้ต้องการให้พวกเจ้ามาซาบซึ้งในบุญคุณ แต่พวกเจ้ากลับมองว่าข้ามีเจตนาอื่นแอบแฝง และคืนนี้ยังมาตักเตือนและเหน็บแนมข้า เจ้าคิดว่า ภายใต้สถานการณ์นี้ข้าซูผู้นี้ยังอดทนอดกลั้นก้มหัวให้กับพวกเจ้ารึ?”
เฉียวเหลิ่งรีบส่ายหน้า “เฉียวผู้นี้มิกล้าคิดเช่นนั้นแน่”
“หากเจ้าคิดเช่นนั้น เจ้าก็ตายเหมือนกับเขาไปนานแล้ว”
ซูอี้ลุกขึ้นและเอ่ยว่า “นำคำพูดข้าตั้งแต่ต้นจนจบไปบอกคนในตระกูลอวี๋ หากคืนนี้พวกเขาไม่มา เช่นนั้นต่อไปนี้เมื่อไหร่ที่ข้าไม่มีความสุข ก็อย่าได้ถือสาหากข้าไปเยี่ยมตระกูลอวี๋ของพวกเจ้า” ขณะที่เอ่ยเขาก็เดินออกไปจากห้อง “อย่าลืมนำของกำนัลเหล่านั้นกลับไปด้วย”
สีหน้าเฉียวเหลิ่งมีความลังเล สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้าอย่างหมดหวัง และจัดการกับภาระงานตรงหน้า
เขาเก็บศพของเหวินเหล่าขึ้นมาก่อน จากนั้นก็นำกล่องของกำนัลที่อยู่บนโต๊ะติดตัวเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
…..
เมื่อกลับมาถึงที่พัก ฉาจิ่นที่กำลังป้อนเม็ดยาให้กับลูกสัตว์ปีศาจ ใบหน้าที่งดงามนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
เจ้าเด็กน้อยกินอย่างเอร็ดอร่อย และมักจะยื่นลิ้นสีชมพูไปเลียนิ้วมือของฉาจิ่น ทำให้นางยิ้มเบา ๆ ออกมา
“คุณชาย จัดการปัญหาได้แล้ว?”
เมื่อเห็นซูอี้ ฉาจิ่นก็รีบหุบยิ้ม และลุกขึ้นแสดงความเคารพ
“ไม่ได้”
ซูอี้เอ่ยออกมาทันที “ตอนแรกข้าไม่ต้องการให้พวกเขามาตอบแทนบุญคุณ แต่พวกเขากลับตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาติดค้างบุญคุณของข้า อีกไม่นานก็คงจะกลับมา”
“ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น…”
นัยน์ตางามของฉาจิ่นฉายแววความโกรธออกมาเล็กน้อย “ต้องเป็นหญิงสาวที่คิดว่าตัวเองถูกคนนั้นพูดจาให้ร้ายแน่”
ซูอี้จับจอกเหล้าที่อยู่บนโต๊ะ เทให้ตัวเองหนึ่งถ้วย และดื่มจนหมด “เรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญแล้ว”
เขานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงหยิบเอางูเล็กสีแดงตัวหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ และส่งให้กับฉาจิ่น “ให้เจ้าตัวเล็กนั่นกินซะ นี่เป็นที่หายากไม่น้อย”
ฉาจิ่นนิ่งไปครู่หนึ่ง
และไม่รอให้นางตอบโต้กลับ ลูกพยัคฆ์เพลิงเนตรครามพลันวิ่งออกมาจากอ้อมกอด เข้ามาคาบงูเล็กสีแดงตัวนั้นเอาไว้ในปาก จากนั้นก็ทิ้งตัวอย่างแรงลงบนพื้น
มันไม่สนใจสิ่งใด นอนหมอบเพลิดเพลินไปกับอาหารอร่อยที่อยู่บนพื้น และกินจนปากของมันเต็มไปด้วยเลือด
ฉาจิ่นย่นจมูกและเอ่ยขึ้น “เจ้าตัวเล็กน่ารักขนาดนี้ เหตุใดถึงสามารถกินของที่มีกลิ่นคาวเลือดและน่าขยะแขยงนี้ได้นะ”
“น่ารัก?”
ซูอี้ยิ้มเยาะ “ในอนาคต ไม่ช้าก็เร็วมันจะเติบโตกลายเป็นราชาปีศาจ แม้แต่ของเล่นเล็ก ๆ นี้ยังกินไม่ได้ ยังจะสามารถเรียกว่าราชาปีศาจได้รึ?”
ฉาจิ่นกลอกตาไปรอบ ๆ และเอ่ยขึ้น “คุณชาย ท่านจะตั้งชื่อให้กับมันไหม?”
ที่จริงแล้ว นางคิดชื่อไว้มากมายแล้ว เพียงแต่นางไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง
เป็นอย่างที่คิดไว้ แค่ได้ยินการตั้งชื่อที่เป็นเรื่องเล็กนั่น ซูอี้ก็คร้านที่จะคิด เขาโบกมือและเอ่ยว่า “เจ้าจัดการตามที่เห็นสมควรเลย”
ฉาจิ่นเอ่ยด้วยความดีใจ “คุณชาย เจ้าตัวเล็กเป็นทายาทของพยัคฆ์เพลิงเนตรคราม ตามที่ท่านว่าไว้ ภายในร่างของมันอาจจะมีเลือดแท้ของซวนหนี และตามที่ข้าคิดแล้ว หากตั้งว่า ‘ซื่อหนี’ เล่า ท่านว่าอย่างไร?”
ซูอี้เอ่ยโดยไม่ได้คิดอะไร “ได้”
ฉาจิ่นรู้สึกพอใจและมีความสุขขึ้นมาในทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ตัดสินใจตั้งแต่นางกลายเป็นสาวรับใช้ และได้รับการอนุญาตจากซูอี้ ดังนั้นความหมายแฝงของสิ่งนี้ก็นับได้ว่าไม่ธรรมดาเลย!
“คืนนี้เจ้านอนบนเตียง”
ซูอี้เอ่ยขึ้นอย่างฉับพลันไร้หัวท้าย
“เอ๋?”
ใบหน้าแดงเรื่อของฉาจิ่น มือไม้กลายเป็นเกะกะทำอะไรไม่ถูก ไม่นานนางก็กัดฟันเอ่ยขึ้น “คุณชาย ข้าน้อย…ข้าน้อยสามารถปฏิเสธได้หรือไม่?”
คำพูดนั้นตะกุกตะกัก คล้ายกับใช้แรงทั่วร่างออกมาทั้งหมดก็ไม่ปาน
เมื่อเอ่ยจบ นางก็ใจเต้นรัว นี่มันเร็วเกินไปแล้ว!
เพ้ย! ข้าจะนอนร่วมเรียงเคียงหมอนกับศัตรูผู้นี้ได้อย่างไรกัน!?
นี่ไม่ใช่กลายเป็นแค่ของเล่นหรืออย่างไรกัน?
เพียงแต่… หากเขาใช้กำลัง ข้าจะต่อต้านได้อย่างไรกัน?
โธ่!
เหตุใดเขาถึงได้เอ่ยออกมาตรง ๆ เช่นนี้? ไม่รู้ว่าเมื่อถูกปฏิเสธไป จะทำร้ายความรู้สึกกับศักดิ์ศรีของเขาหรือไม่?
อีกอย่าง ข้าจะมีความรู้สึกกับเขาได้อย่างไร…
ฉาจิ่นมีสีหน้าลังเล ชั่วพริบตาหนึ่งนางรู้สึกเสียวซ่าน และมีหลากหลายความคิดพรั่งพรูเข้ามา
แต่เมื่อเห็นซูอี้มึนงงครู่หนึ่ง จากที่ไม่เข้าใจในตอนแรกก็เข้าใจขึ้นมา เขาจึงเอ่ยหยอกล้อด้วยสายตาที่แปลก ๆ “เจ้าไม่ยินยอมรึ?”
ใบหน้าฉาจิ่นแดงก่ำราวกับต้องแสง รู้สึกอึดอัดและเก้อเขิน ทั้งอับอายทั้งกลัดกลุ้ม สองมือจับชายเสื้อไว้แน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่น “หากคุณชายใช้กำลัง ข้าคงต่อต้านไม่ได้แน่ แต่หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ข้า… ข้าจะเกลียดคุณชายไปทั้งชีวิตนี้…”
ซูอี้ยิ้มขึ้นมา และไม่เย้าแหย่นางอีก “เจ้าคิดมากแล้ว เรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิง ข้าซูผู้นี้เกลียดการบีบบังคับผู้หญิงเสมอมา เมื่อก่อนข้าไม่ทำ ต่อจากนี้ข้าก็ไม่ทำ เจ้าสบายใจได้”
เป็นเรื่องตลกนัก เมื่อชาติก่อน หากเขาซูเสวียนจวินอยากได้ เขาก็ไม่ต้องใช้กำลังเลยสักนิด แค่กวักนิ้วเรียกมา พวกเหล่านางเซียนที่โดดเด่นมากมายก็เสนอตัวมาให้!
เหตุใดถึงต้องใช้กำลัง?
ใช้กำลังจะถือว่าเป็นบุรุษได้อยู่หรือ?
ฉาจิ่นราวกับโล่งอกขึ้นมาทันที ร่างบางที่ตึงเครียดในตอนแรกก็ผ่อนคลายลง นางรู้ว่า นิสัยของซูอี้ทะนงตัวมาก และจะไม่ผิดคำพูดอย่างแน่นอน
ไม่นาน นางก็กัดริมฝีปากสีเลือดฝาดเบา ๆ “เช่นนั้น… เมื่อครู่คุณชายหมายความว่าอย่างไร?”
“คืนนี้อาจจะมีอันตรายเกิดขึ้น ข้าจะนอนบนเตียงยาวนั่น จะได้สะดวกจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด”
ขณะที่ซูอี้เอ่ย เขาก็เอนกายลงนอนบนเตียงยาวนั้นอย่างเกียจคร้าน “จำไว้ให้ดี ต่อจากนี้ไปข้าจะไม่อธิบายเรื่องแบบนี้อีก”
พรึ่บ!
ลูกสัตว์ปีศาจซื่อหนีกระโดดขึ้นมาอยู่บนอกของซูอี้ และต้องการใช้หัวถูกับแก้มของซูอี้อย่างสนิทสนม
แต่กลับถูกซูอี้ใช้ฝ่ามือตบบินออกไป ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น “บนปากเต็มไปด้วยเลือด ยังคิดอยากจะถูบนตัวข้า ช่างเป็นมารผจญน้อยจริง ๆ”
เจ้าเด็กน้อยตกไปบนพื้นและกลิ้งไปสองสามครั้ง เมื่อลุกขึ้นมาได้ หัวก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย มองไปที่ซูอี้อย่างน้อยใจ ราวกับว่าไม่เข้าใจเหตุใดถึงได้ตีมัน
เมื่อฉาจิ่นเห็น นางก็เจ็บปวดใจเสียจนรีบอุ้มเจ้าเด็กน้อยขึ้นมาทันที และปลอบโยนมันเบา ๆ
“แม้แต่เจ้าเด็กน้อยที่น่ารักขนาดนี้ก็ยังลงมือได้ ช่างไร้ความเมตตาเกินไปแล้ว…” ฉาจิ่นพึมพำกับตัวเองเงียบ ๆ
แต่ซูอี้ไม่ได้คิดสิ่งใดมาก
เขาคร้านที่จะคิดด้วยซ้ำว่าคนของตระกูลอวี๋จะมาแก้แค้นหรือไม่
“พรุ่งนี้หลังจากถึงมหานครกุ่นโจวแล้ว ควรหาที่พักก่อน จากนั้นค่อยไปทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ในมหานคร นำวัตถุที่ไม่ได้ใช้ไปขายให้หมด รอจัดการเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว ก็ไปตำหนักเทียนหยวนสักรอบหนึ่ง…”
ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ในหัวของซูอี้ก็มีร่างของเหวินหลิงเสวี่ยปรากฏออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ตามมาด้วยร่างที่เย็นชาของเหวินหลิงเจาปรากฏออกมา…
…..
ณ โถงใหญ่ในคฤหาสน์
อากาศคล้ายกับเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง กดดันและน่าอึดอัด
อวี๋ไป๋ถิงที่นั่งอยู่บนที่นั่งแขก มองดูซากศพเหวินเหล่าเหลือแค่กระดูกที่อยู่บนพื้นไม่ไกลนักด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก และไม่เอ่ยสิ่งใดเป็นเวลานาน
เฉียวเหลิ่งรีบมาอยู่ข้างซากศพ ในใจเต้นระรัว แค่เพียงหายใจเข้าออกก็รู้สึกลำบาก
ก่อนหน้านี้ เขาได้นำเรื่องที่เจอมาบอกออกไปชัดเจน
อวี๋ไป๋ถิงไม่มีความเดือดแค้นใด ๆ เขาแค่นั่งอยู่เช่นนั้น มองซากศพของเหวินเหล่าด้วยแววตาที่เย็นชา และไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาเลยสักนิด
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เฉียวเหลิ่งนั้นหนักใจมาก
และไม่รู้ว่านานเท่าใด อวี๋ไป๋ถิงถึงเริ่มเอ่ยออกมาทันที “เฉียวเหลิ่ง นำคำสั่งข้าไปทำสามเรื่องนี้”
แววตาเขานั้นสงบนิ่ง น้ำเสียงที่ส่งออกมานั้นเย็นชาและไร้ความรู้สึก ดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่
“ให้ผู้คนในคฤหาสน์เก็บสัมภาระให้พร้อม หลังจากหนึ่งเค่อ เราจะออกเดินทางกลับมหานครกุ่นโจวกัน”
“ใช้นกส่งสารส่งข่าวไปให้ท่านเจ้าแคว้นเซี่ยงเทียนชิว บอกว่าหลังจากหนึ่งชั่วยาม ข้าจะเดินทางไปเยี่ยมเยียน ปรึกษาหารือเรื่องงานเลี้ยงน้ำชาในอีกสิบวันหลังจากนี้”
“ในขณะเดียวกัน ก็ส่งข่าวให้องค์ชายหก หากเขาอยากจะคุยกับข้า พรุ่งนี้ก่อนเที่ยงวัน ข้าจะรออยู่ที่ ‘หอเสียดเมฆา’ หากเกินเวลาข้าก็จะไม่รอ!”