บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 168 มีแผนการ
หลังเฉียวเหลิ่งเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ เขารู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก
การที่ท่านประมุขไม่มีท่าทีที่จะไปแก้แค้นทันที สิ่งนี้พิสูจน์ว่าเขาไม่ถูกความโกรธเข้าครอบงำ
ทว่าคำสั่งทั้งสามที่ได้รับมานั้นทำให้เฉียวเหลิ่งสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นดั่งเหล็กกล้า ที่อดทนต่อการหลอมตี เพื่อลับคมรอวันฟาดฟันสวนกลับศัตรูร้าย!
“การตัดสินใจถอนตัวจากเมืองหยางขู่ในคืนนี้ มีนัยว่า การตายของเหวินเหล่า ได้ทำให้ท่านประมุขรู้สึกถึงกลิ่นอายความอันตราย และรู้สึกได้ถึงความน่าหวาดกลัวของซูอี้”
“คนที่มีฐานะร่ำรวยมักจะไม่ไปเสี่ยงอันตราย เมืองหยางขู่ไม่ใช่อาณาเขตของตระกูลอวี๋ หากไปแก้แค้นในคืนนี้ ย่อมมีผู้บาดเจ็บล้มตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ท่านประมุขจึงทำได้เพียงแค่เก็บเอาไว้ในใจชั่วคราวก่อน”
“แต่คำสั่งข้อสอง กับข้อสามของเขานั้น เป็นการวางแผนการแก้แค้นอย่างไม่ต้องสงสัย!”
“การเข้าพบท่านเจ้าแคว้นเซี่ยงเทียนชิวในอีกครึ่งชั่วยาม อาจเป็นเพราะต้องการยืมพละกำลังของท่านเจ้าแคว้นไปจัดการซูอี้!”
“ถึงอย่างไร ซูอี้ก็เป็นคนขององค์ชายหก และท่านเจ้าแคว้นก็เป็นคนขององค์ชายรอง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อท่านประมุขพอดี”
“และตอนเที่ยงวันพรุ่งนี้ การที่ท่านประมุขคิดไปพบองค์ชายหกที่หอเสียดเมฆาก็พอเข้าใจได้ เพราะนั่นอาจเป็นการคิดใช้เงื่อนไขบางอย่างเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน บีบบังคับให้องค์ชายหกทิ้งซูอี้…”
เมื่อเฉียวเหลิ่งคิดมาถึงตรงนี้ ภายในใจก็รู้สึกหนาวเหน็บ
นี่คืออุบายและแผนการของคนใหญ่คนโตรึ?
ไม่นาน เฉียวเหลิ่งก็ส่ายหน้า ไม่กล้าคิดสิ่งใดมากอีก รีบลงมือทำทันที
แท้จริงนั้น เขาก็เป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง แต่เมื่อเข้ามาพัวพันเรื่องใหญ่ระหว่างตระกูลอวี๋ องค์ชายและท่านเจ้าแคว้นเช่นนี้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่คนคนหนึ่ง ยากที่จะไปเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้
…..
ครู่อึดใจต่อมา
กองขบวนของตระกูลอวี๋ก็เร่งรีบออกจากเมืองหยางขู่ เดินทางไปมหานครกุ่นโจวท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ณ มหานครกุ่นโจว จวนท่านเจ้าแคว้น
เซี่ยงเทียนชิวที่ได้รับข่าวแล้วนั่งอยู่ในตำหนัก พลางดื่มชาไปด้วยและรอไปด้วย
รูปร่างของเขานั้นอ้วนท้วน หนวดเคราสีขาวดำปะปนกันไป แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเฉียบคมเหมือนเหยี่ยว ในระหว่างที่มองไปรอบ ๆ ดูมีอำนาจเป็นอย่างยิ่ง
ฐานะของท่านเจ้าแคว้นแคว้นหนึ่ง จึงมีอำนาจควบคุมเปิดปิดชายแดนได้ดั่งใจ สามารถสยบศัตรูได้รอบทิศ!
และเซี่ยงเทียนชิวเองก็เป็นปรมาจารย์ขั้นสามผู้หนึ่งด้วย!
ไม่นาน อวี๋ไป๋ถิงที่สวมชุดคลุมยาวแขนกว้างก็มาถึง
เซี่ยงเทียนชิวลุกขึ้น ยิ้มพลางเดินไปต้อนรับ “ข้าได้ยินมาว่า พี่อวี๋ผ่อนคลายอารมณ์อยู่ที่เมืองหยางขู่มิใช่รึ เหตุใดถึงรีบกลับมาในตอนค่ำมืดเช่นนี้ หรือว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น?”
อวี๋ไป๋ถิงค่อย ๆ ยิ้มและเอ่ยขึ้น “จริง ๆ แล้วเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย เพียงแต่ที่ข้ามาในครั้งนี้ไม่ได้จะมาคุยเรื่องพวกนี้”
“เชิญนั่งลงก่อน”
ขณะที่เซี่ยงเทียนชิวเอ่ยอยู่ ก็สั่งให้คนนำน้ำชามาให้ แต่กลับถูกอวี๋ไป๋ถิงเอ่ยห้ามไว้ “นายท่านเซี่ยง อวี๋ผู้นี้พูดคุยจบก็จะเดินทางกลับแล้ว ไม่ต้องลำบากสิ่งใดหรอก”
เซี่ยงเทียนชิงมึนงงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเซี่ยงผู้นี้คงต้องตั้งใจฟังแล้วล่ะ”
อวี๋ไป๋ถิงคิดครู่หนึ่ง เอ่ยต่อ “พรุ่งนี้ก่อนเที่ยงข้าจะไปพบองค์ชายหกที่หอเสียดเมฆา”
เซี่ยงเทียนชิวหรี่ตา พลันบรรยากาศในห้องโถงใหญ่กลายเป็นอึดอัดขึ้น
ไม่นาน เขาถึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่อวี๋เร่งรีบมาในตอนค่ำมืดเช่นนี้ คงจะไม่ใช่เพื่อแสดงจุดยืนเลือกเข้าร่วมองค์ชายหกต่อข้าใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่”
อวี๋ไป๋ถิงเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ข้าเพียงแค่ต้องการยืมอำนาจของนายท่านเซี่ยง เพื่อเป็นเงื่อนไขในการคุยกับองค์ชายหก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เซี่ยงเทียนชิวขมวดคิ้ว
อวี๋ไป๋ถิงเอ่ยด้วยความไม่ใส่ใจ “มีพ่อหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายองค์ชายหกกวนโมโหลูกสาวข้า ทำให้นางไม่สบายใจ และข้าตั้งใจจะให้องค์ชายหกลงมือกำจัดเขาคนนั้นด้วยมือตัวเอง”
เซี่ยงเทียนชิวเอ่ยตอบด้วยความแปลกใจ “องค์ชายหกน่าจะไม่เอาชีวิตบุตรสาวของเจ้า มาบีบบังคับให้ผู้นำตระกูลอวี๋เข้าร่วมฝ่ายเขาหรอก แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงจะโง่งมเกินไปหน่อยแล้ว!”
อวี๋ไป๋ถิงส่ายหน้า “ข้าไม่เข้าใจความคิดขององค์ชายหก แต่ในเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแล้ว ก็จำต้องจัดการแก้ไขสักนิดหนึ่ง”
เซี่ยงเทียนชิวเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง “พี่อวี๋ หากท่านแสดงจุดยืนให้การสนับสนุนองค์ชายรอง ข้าเซี่ยงเทียนชิวรับรองว่า จะไม่ให้ท่านต้องลงมือเลยแม้แต่น้อย และจะทำให้องค์ชายหกกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่กล้าอุกอาจอีก!”
อวี๋ไป๋ถิงหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยตอบ “นายท่านเซี่ยงใจร้อนเกินไปแล้ว ข้าวต้องกินทีละคำ เส้นทางก็ต้องก้าวไปทีละก้าว ข้าเชื่อว่า ท่านก็ไม่หวังให้ตระกลูอวี๋ยืนข้างองค์ชายหก ใช่หรือไม่?”
เซี่ยงเทียนชิวหัวเราะเสียงดังและเอ่ยขึ้น “พี่อวี๋โปรดวางใจ หากพรุ่งนี้องค์ชายหกไม่ยอมจัดการพ่อหนุ่มคนนั้น เซี่ยงผู้นี้ก็จะไม่ยินยอมแล้ว!”
อวี๋ไป๋ถิงลุกขึ้นในทันที และเอ่ยตอบ “มีคำพูดนี้ของนายท่านเซี่ยง อวี๋ผู้นี้ก็วางใจแล้ว เช่นนั้นข้าขอลา”
เมื่อเอ่ยจบ ก็รีบเดินออกไป
เมื่อมองตามอีกฝ่ายที่เดินออกไป เซี่ยงเทียนชิวทำท่าเหมือนคิดสิ่งใดอยู่ “ดูเหมือนผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นที่อยู่ข้างกายองค์ชายหก จะทำให้อวี๋ไป๋ถิงชายแก่ผู้นี้โกรธมากจริง ๆ ไม่เช่นนั้น ก่อนงานเลี้ยงน้ำชาจะเริ่มขึ้น เขาคงจะไม่มาพบกับข้าเช่นนี้หรอก…”
ไม่นานนัก เซี่ยงเทียนชิงก็ยิ้มขึ้น “เป็นเช่นนี้ก็ดี อวี๋ไป๋ถิงผู้นี้คิดอยากจะเป็นกลางมาโดยตลอด ไม่ช่วยเหลือทั้งสองฝ่าย แต่เรื่องที่เจอในครั้งนี้ เจ้ายังจะสามารถไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจนได้อีกหรือ?”
“ท่านพ่อ”
ทันใดนั้น ชายหนุ่มสวมชุดสีเงินเดินเข้ามา คิ้วปลายงอนดวงตาสว่างไสว ท่าทางสง่างาม มีรูปลักษณ์ที่สง่าผ่าเผย
เซี่ยงหมิง
บุตรชายของเซี่ยงเทียนชิว ท่านเจ้าแคว้นกุ่น!
เป็นศิษย์ของ ‘หวังเจี่ยนฉง’ รองเจ้าตำหนักเทียนหยวน และเป็นชายหนุ่มที่มีอิทธิพลที่สุดในมหานครกุ่นโจว
เมื่อเห็นเซี่ยงหมิงเดินเข้ามา เซี่ยงเทียนชิวก็เหมือนกับมองเห็นตัวเองในตอนที่ยังเป็นหนุ่ม แววตาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ปากเอ่ยว่า “ดึกดื่นเช่นนี้แล้ว เหตุใดถึงยังไม่นอนอีก?”
เซี่ยงหมิงเอ่ยเสียงต่ำ “ท่านพ่อ ครั้งก่อนข้าเคยเอ่ยกับท่าน ข้าอยากแต่งงานกับศิษย์น้องเหวินหลิงเจา”
เซี่ยงเทียนชิวขมวดคิ้วพลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ครั้งก่อนข้าได้ไหว้วานให้คนนำข่าวไปส่งให้จู้กู่ชิงแล้ว เพียงแค่เหวินหลิงเจาคนนั้นยินยอม ข้าจะออกไปพบด้วยตัวเอง และช่วยยกเลิกสถานะการแต่งงานของนาง แต่เจ้าก็รู้ เหวินหลิงเจาได้ปฏิเสธมาแล้ว”
เขาเคยเห็นเหวินหลิงเจาจากที่ไกล ๆ ช่างเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรูปโฉมโดดเด่นกว่าผู้ใดในใต้หล้า และงดงามจนหาที่เปรียบมิได้ อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ล้ำเลิศที่หาได้ยากยิ่ง
เพียงแต่มีปัญหาที่ฐานะเล็กน้อย เพราะนางเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว
แม้จะเป็นเพียงภรรยาในนาม แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียง ซึ่งทำให้ในใจของเซี่ยงเทียนชิวนั้นเอนเอียงไปทางต่อต้านเล็กน้อย
เซี่ยงหมิงสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยด้วยความจริงจัง “ท่านพ่อ ข้าอยากเชิญบิดาของศิษย์น้องหลิงเจามาเป็นแขกที่มหานครกุ่นโจว เพื่อเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าพวกเขาอย่างชัดเจน และจะดีมากหากสามารถจัดการสถานะการแต่งงานของศิษย์น้องหลิงเจาได้”
เซี่ยงเทียนชิวพ่นลมหายใจออกมา “แค่สตรีผู้หนึ่ง เจ้าหมกมุ่นเช่นนี้เชียวรึ?”
เซี่ยงหมิงคุกเข่าลงบนพื้นทันที ปากเอ่ยด้วยสีหน้าที่มั่นคง “ขอท่านพ่อสนับสนุนข้าด้วย!”
เซี่ยงเทียนชิวมีสีหน้าลังเล ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ ข้ารับปากเจ้าได้ แต่เจ้าต้องยอมรับเงื่อนไขทั้งสองประการของข้า”
เซี่ยงหมิงเอ่ยด้วยความดีใจ “ขอให้ท่านพ่อชี้แนะอย่างชัดเจน”
“ประการแรก หากเจ้ามีโอกาสได้แต่งงานกับเหวินหลิงเจา ทั้งชีวิตนี้ นางจะเป็นได้แค่ภรรยาน้อยของเจ้า”
เซี่ยงเทียนชิวเอ่ยด้วยเสียงต่ำ “ประการที่สอง อีกไม่นาน ข้าก็จะลงจากตำแหน่งเจ้าแคว้น และเดินทางไปนครหลวงอวี้จิงเพื่อช่วยเหลือองค์ชายรอง เมื่อถึงตอนนั้น เจ้ากับข้าจะต้องเดินทางไปนครหลวงอวี้จิงด้วยกัน และอยู่ข้างกายองค์ชายรองเพื่อปฏิบัติรับใช้พระองค์”
เมื่อฟังจบ เซี่ยงหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง และกัดฟันเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ ลูกรับปาก!”
เซี่ยงเทียนชิวพยักหน้า พลางโบกมือเอ่ยว่า “รีบไปนอนเถอะ”
……
ณ โรงเตี๊ยมมงคลบรรจบ
จนกระทั่งถึงฟ้าสาง ก็ไม่มีสิ่งใดแปลก ๆ เกิดขึ้น
ทำให้ฉาจิ่นที่นอนไม่ค่อยหลังทั้งโล่งอกและสับสนเล็กน้อย
ตระกูลอวี๋เป็นหนึ่งในห้าตระกูลชั้นนำแห่งแคว้นกุ่น เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ยังอดทนเก็บไว้ในใจได้อีกหรือ?
“เตรียมสัมภาระให้พร้อม พวกเราจะออกเดินทางไปมหานครกุ่นโจวทันที”
ซูอี้ตื่นแล้ว เขายืดเอวชั่วครู่หนึ่ง เปิดประตูหน้าต่าง ลมบริสุทธิ์และแสงแดดยามเช้าตกกระทบบนร่างชายหนุ่ม ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
ฉาจิ่นรีบลุกขึ้นจากเตียงยาว ดึงแขนเสื้อขึ้น เตรียมข้าวของให้พร้อม จากนั้นออกจากห้อง สั่งให้โรงเตี๊ยมเตรียมอาหารให้
ต้องบอกว่า นางค่อย ๆ เริ่มคุ้นชินกับบทบาท ‘สาวใช้’ นี้แล้ว
และไม่รู้ว่าเป็นความสำเร็จในการสอนของซูอี้ หรือเป็นเพราะจิตใจนางเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบ ๆ กันแน่
จนกระทั่งทานอาหารเสร็จ และออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว ซูอี้พลันเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่
เป็นเฉินจินหลงนั่นเอง! เขาออกเดินมาแต่ไกลพร้อมใบหน้าซึ่งปกคลุมไปด้วยความกังวล “ศิษย์พี่ซู ข้ารออยู่ที่นี่นานแล้ว”
ซู้อี้ชี้ไปที่รถม้าพลางเอ่ย “เจ้าเตรียมมารึ?”
เฉินจินหลงรีบเอ่ยตอบ “ถูกต้อง แต่ก่อนที่จะออกเดินทางไปมหานครกุ่นโจว ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องขอโทษท่าน”
ซูอี้ขมวดคิ้ว “ขอโทษ?”
เฉินจินหลงเอ่ยด้วยความขมขืน “เมื่อวานนี้ ข้าถูกขู่บังคับจากปรมาจารย์ท่านหนึ่ง และได้เผยความลับที่เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ซูออกไป เมื่อคิดไปคิดมา ก็รู้สึกไม่สบายใจจริง ๆ ดังนั้นจึงไม่กล้าปิดบัง ดังนั้นวันนี้จึงมารออยู่ที่นี่ในตอนเช้าตรู่ เพื่อขอให้ศิษย์พี่ซูยกโทษและให้อภัยข้าด้วย ”
ซูอี้มึนงงไปครู่หนึ่ง “มิน่าเล่า ทันทีที่เฉียวเหลิ่งและชายชราคนนั้นเห็นข้า ราวกับพวกเขาล่วงรู้รายละเอียดที่แท้จริงของข้า”
เฉินจินหลงตกตะลึงในทันทีและเอ่ยด้วยเสียงสั่น “ศิษย์พี่ซู ท่านก็รู้ว่าการฝึกฝนของข้านั้นต่ำต้อยมาก ตอนนั้นที่ถูกขู่บังคับ ข้าไม่กล้า…”
“พอแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยขึ้นมาอีก” ซูอี้โบกมือ
เฉินจินหลงโล่งอก รีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ซู เชิญท่านมาเร็ว หากนั่งรถม้าไป ไม่เกินสองชั่วยาม ก็ถึงมหานครกุ่นโจวแล้ว”
ในท้ายที่สุดพวกเขาก็นั่งรถม้าออกเดินทางไปจากเมืองหยางขู่ด้วยกัน
“ศิษย์พี่ซู หลังจากที่ถึงมหานครกุ่นโจวแล้ว ท่านมีที่พักแล้วหรือยัง?”
ขณะที่เดินทาง เฉินจินหลงก็ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
เขารู้สึกได้ว่า ซูอี้ไม่ได้กีดกันเขา และไม่มีท่าทางยกตนข่มท่าน เขาถึงได้กล้าเอ่ยถามขึ้นอย่างกล้าหาญ
ซูอี้ส่ายหน้า “เจ้ารู้จักโรงเตี๊ยมแห่งไหนในเมืองที่พักสบายที่สุดหรือไม่?”
เฉินจินหลงเอ่ยตอบ “ไม่ว่าโรงเตี๊ยมใดจะดีที่สุด มันย่อมมีผู้คนพลุกพล่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากศิษย์พี่ซูไม่ถือสา ก็สามารถไปพักในบ้านพักแห่งหนึ่งที่ทางบ้านข้าจัดซื้อเอาไว้ได้”
“บ้านเจ้า?”
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้น
เฉินจินหลงเอ่ยอธิบาย “หลายปีก่อน ท่านพ่อข้าได้จัดซื้อที่พักบางส่วนในมหานครกุ่นโจว และถูกทิ้งว่างไว้มาตลอด หนึ่งนั้นก็มีหลังที่ชื่อว่า ‘เรือนพำนักหินศิลา’ ซึ่งเป็นที่สงบเงียบมากที่สุด หากศิษย์พี่ซูไม่รังเกียจ เมื่อถึงมหานครกุ่นโจวแล้ว ก็สามารถเข้าไปพักได้
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบตั๋วเงินหนึ่งมัดส่งไปให้ “เอาเช่นนี้แล้วกัน เจ้าพาข้าไปที่พักแห่งนั้น ส่วนข้าจะจ่ายค่าเช่าห้องให้เจ้า ตั๋วเงินนี้เจ้ารับไปก่อน”
เฉินจินหลงรีบเอ่ยปฏิเสธ “ศิษย์พี่ซู นี่ถือว่าเราสองคนเป็นคนนอกกันแล้วใช่หรือไม่ เมื่อก่อนพวกเราเคยฝึกฝนที่สำนักดาบชิงเหอ ก็ถือเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ข้าจะรับเงินท่านโดยไม่ละอายใจได้อย่างไร”
“รับไปเถอะ”
ซูอี้ค่อย ๆ ขมวดคิ้ว
เฉินจินหลงสั่นไปทั่วร่าง เร่งรีบรับตั๋วเงินนั้นทันที และถอนหายใจอย่างโล่งใจ
เป็นอย่างที่คิดไว้ ซูอี้ผู้นี้ไม่ไห้โอกาสเขาได้ประจบประแจงเลยสักนิด!
ขณะพูดคุยกันเช่นนี้ สองชั่วยามต่อมา ในที่ไกลออกไปเริ่มเห็นเค้าโครงเมืองที่ใหญ่โตและทรงพลังแห่งนี้บ้างแล้ว
พวกเขามาถึงมหานครกุ่นโจวแล้ว!