บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 169 ศิษย์คนที่สามของฮัวซง
มหานครกุ่นโจว
มีชื่อเสียงว่าเป็น ‘เมืองแห่งทะเลสาบนับพัน’ มาตั้งแต่อดีต ภายในมหานครนั้นมีทะเลสาบใหญ่เล็กมากมายนับไม่ถ้วน ราวกับกระจกใสเป็นแผ่น ๆ ฝั่งอยู่บนพื้นดินขนาดใหญ่
ในเมืองต่าง ๆ ภายในอาณาจักรต้าโจวทั้งหมด ระดับขนาดและความเจริญรุ่งเรืองของมหานครกุ่นโจวนั้น พอที่จะสามารถจัดอันดับอยู่ในสิบลำดับแรกได้
หากบอกว่ามหานครอวิ๋นเหอเป็นเหมือนชนชั้นกลาง เช่นนั้นมหานครกุ่นโจวก็เป็นดั่งศูนย์กลางของเหล่าชนชั้นกลางที่มีระดับอำนาจสูงกว่าหกเขตปกครองรอบข้าง
ระหว่างทั้งสองมหานครนี้ ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
อำนาจมากน้อยภายในมหานครกุ่นโจวนั้นเป็นสิ่งที่สลับซับซ้อน แต่อำนาจสูงสุดนั้น กลับมีเพียงแค่แปดกลุ่ม
แบ่งเป็นจวนเจ้าแคว้น ตำหนักเทียนหยวน กองกำลังเกล็ดแดง รวมถึงห้าตระกูลเก่าแก่ชั้นนำ
ในจำนวนนั้น จวนเจ้าแคว้นเป็นตัวแทนราชสำนักแห่งอาณาจักรต้าโจว และควบคุมอำนาจหกเขตการปกครองภายในแคว้นกุ่น
ตำหนักเทียนหยวนเป็นหนึ่งในสิบตำหนักใหญ่แห่งอาณาจักรต้าโจว
กองกำลังเกล็ดแดงอยู่ในการควบคุมของจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง เชินจิ่วซง ซึ่งประจำการอยู่ในค่ายทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ห่างจากมหานครกุ่นโจวไปสามสิบลี้
ส่วนห้าตระกูลเก่าแก่ชั้นนำนั้นแบ่งออกเป็นตระกูลจ้าว ตระกูลอวี๋ ตระกูลไป๋ ตระกูลเจิ้ง และตระกูลเสวีย!
และทั้งห้าตระกูลเก่าแก่ชั้นนำนี้ต่างก็ยิ่งใหญ่มโหฬาร มีทั้งกำลังและอำนาจ สามารถมีฐานะเท่าเทียมกับจวนเจ้าแคว้นได้เลยทีเดียว
…..
ด้านหน้าประตูมหานครกุ่นโจว
มีผู้คนเดินไปเดินมาทั่วทุกหนทุกแห่ง มีพ่อค้าซื้อขายสินค้า และมีนักรบที่เร่งรีบออกเดินทาง รถราวิ่งกันขวักไขว่ ดูแล้วครึกครื้นเป็นอย่างมาก
ซูอี้และฉาจิ่นลงมาจากรถม้า มุ่งหน้าเดินเข้าไปภายในประตูเมือง ภายใต้การนำทางของเฉินจินหลง
ทันทีที่เดินเข้าไปในประตูเมือง ก็มีเสียงเอะอะโวยวายจากด้านหน้าดังขึ้นมา
เมื่อมองไปรอบ ๆ จะเห็นถนนหนทางที่กว้างขวางสะอาดสะอ้าน ทั้งสองข้างทางมีสิ่งปลูกสร้างเรียงรายกันเป็นแถว มีผู้คนมากมายเดินอยู่บนถนน ผู้คนขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่ง เจริญรุ่งเรืองและคึกคักมาก
“สมกับที่เป็นเมืองเอกแห่งแคว้น และเป็นศูนย์กลางแห่งหกเขตการปกครอง”
เพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ซูอี้ก็เห็นผู้คนมากมายในขอบเขตหลอมกำเนิดเดินสวนไปมา
แม้จะตกใจไปแค่แวบหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ หายไปท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่มันก็น่าทึ่งมากอยู่ดี
ถึงอย่างไร ในโลกใบนี้ ปรมาจารย์ก็เหมือนกับมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ด้วยในมหานครอวิ๋นเหอและสถานที่อื่น ๆ คนเหล่ามีเพียงหยิบมือเท่านั้น
แต่ในมหานครกุ่นโจวแห่งนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าไม่เหมือนกัน
เมืองนี้มีทรัพยากรเพียงพอต่อการฝึกฝนของตัวตนเช่นปรมาจารย์ คล้ายดั่งน้ำผึ้งรสหวานที่ดึงดูดเหล่าผึ้งงานเก่งกล้ารอบหกเขตการปกครองในแคว้นกุ่นมาที่เมืองนี้กันอย่างไม่ขาดสาย
“ศิษย์พี่ซู เมื่อผ่านถนนและตรอกสามสายนั้นแล้ว ก็จะถึงเรือนพำนักหินศิลาอันเป็นสถานที่พักแล้ว”
เฉินจินหลงรีบเอ่ยขึ้นระหว่างทาง
เห็นได้ชัดว่าเขามีความสุขไม่น้อย ถึงอย่างไรนี่ก็คือมหานครกุ่นโจว มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ไกลเกินกว่าที่จะเทียบกับมหานครอวิ๋นเหอได้
ในระหว่างทาง ซูอี้สังเกตเห็นโรงรับจำนำและร้านขายสมุนไพรไม่น้อย และมีแม้กระทั่งร้านค้าที่เชี่ยวชาญในการจำหน่ายหนังและเนื้อของสัตว์ป่า
ท่ามกลางผู้คนที่เดินไปมา เห็นนักรบถือดาบถือมีดไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ซูอี้เอ่ยถาม “หากข้าต้องการขายและซื้อเม็ดยากับวัตถุวิญญาณ ควรจะไปที่แห่งใด?”
“หอศิลาทองคำ”
เฉินจินหลงเอ่ยตอบทันที “นี่เป็นร้านชั้นสูงไม่กี่แห่งภายในมหานครกุ่นโจวแห่งนี้ ซึ่งเป็นร้านค้าที่มีทั่วทุกที่ในอาณาจักรต้าโจว ว่ากันว่าเจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลังนั้น เป็นชายแก่ลึกลับคนหนึ่งในนครหลวงอวี้จิง และถูกเรียกขานว่านัยน์ตาทองคำ”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง แววตาเขาก็เผยความปรารถนาอย่างแรงกล้า “หอศิลาทองคำเลื่องชื่อว่ามีของล้ำค่าแปลก ๆ ครอบคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เป็นเจ้าของของวิเศษแห่งดินแดนรกร้างแปดทิศ ขอเพียงแค่มีศิลาวิญญาณที่เพียงพอ ก็สามารถซื้อหายาวิเศษและวัตถุวิญญาณที่เหมาะสมกับการฝึกบำเพ็ญจนกระทั่งบรรลุถึงบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้”
“สรุปแล้ว เพียงแค่มีสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญ ไปที่หอศิลาทองคำก็ถูกต้องแล้ว”
ซูอี้พยักหน้า และจดจำชื่อร้านค้านี้ไว้
จู่ ๆ ฉาจิ่นเอ่ยเสียงเบา “คุณชาย ในอาณาจักรต้าเว่ยของพวกเราก็มีร้านค้าหอศิลาทองคำกระจัดกระจายไปทั่วทุกที่ เท่าที่ข้ารู้ เบื้องหลังของหอศิลาทองคำ อาจจะมีผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งควบคุมอยู่ เพียงแค่ไม่มีผู้ใดรู้เท่านั้นว่า ผู้ฝึกตนที่ว่าแข็งแกร่งเพียงใด? ”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
สามารถขยายการค้าจากอาณาจักรต้าโจวมาถึงอาณาจักรต้าเว่ยได้ จะต้องเป็นคนที่มีอำนาจไม่ธรรมดาแน่ถึงสามารถทำเช่นนี้ได้
ในขณะที่พวกเขาเดินไปพร้อมพูดคุยเรื่องต่าง ๆ จู่ ๆ ก็มีเสียงหยาบคายองอาจดังขึ้น
“คุณชาย แม่นาง พวกเจ้าก็มาที่มหานครกุ่นโจวรึ?”
ไม่ไกลนักเห็นร่างองอาจร่างหนึ่ง เป็นชายร่างสูงมีหนวดเครา ที่ด้านหลังสะพายดาบใหญ่ไว้เดินเข้ามา บนใบหน้าที่หนักแน่นราวกับหินผามีความตกใจและดีใจแฝงไว้ในนั้น
ฉางกั้วเค่อ!
ฉาจิ่นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ที่แท้ก็เป็นเจ้า”
ซูอี้เอ่ยหยอกล้อ “ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าเจ้าเจอะเจอเรื่องยุ่งยากอีกใช่หรือไม่?”
ฉางกั้วเค่อรู้สึกเก้อเขินทันที “เรื่องในครั้งก่อน ฉางผู้นี้รู้สึกละอายใจและรู้สึกซาบซึ้งใจมาโดยตลอด ไม่อาจที่จะลืมได้”
เฉินจินหลงพลันกลับกลายเป็นกังวลใจ เขารีบไปอยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง ภายในใจนั้นปั่นป่วน ด้วยไม่อาจจะจินตนาการได้… ว่าเหตุใดปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ถึงได้เกรงใจต่อซูอี้!
“พอแล้ว เรื่องครั้งก่อนผ่านไปนานแล้ว ไม่ต้องเอ่ยขึ้นมาอีก”
ขณะที่ซูอี้เอ่ยอยู่ เขาก็เอามือไขว่หลังและเดินจากไป
ฉาจิ่นก็รีบตามไปทันที
ส่วนฉางกั้วเค่อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าซูอี้ไม่อยากจะเกี่ยวข้องใด ๆ กับเขาอีก?
“ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร บุญคุณนี้ต้องตอบแทนกลับไป ไม่เช่นนั้น ต่อจากนี้ไปข้าฉางกั้วเค่อจะมีหน้าไปพบผู้อื่นได้อย่างไร?”
ฉางกั้วเค่อเอ่ยอย่างเงียบ ๆ
ไม่นานนัก ราชรถคันหนึ่งก็มาหยุดอยู่ข้าง ๆ ฉางกั้วเค่อ
หลังผ้าม่านเปิดออก มันก็เผยให้เห็นใบหน้าขาวสะอาดและงดงามออกมา
ชิงจิน!
เมื่อเห็นฉางกั้วเค่อ นัยน์ตาที่ราวกับคมมีดของนางก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ไม่พบกันนาน”
ฉางกั้วเค่ออดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้ม เขาเอ่ยด้วยความรู้สึกปลงออกมา “จากตอนนั้นที่เจ้าลงมาจากเขาจนถึงตอนนี้ พวกเราไม่ได้เจอกันมาหนึ่งปีแล้ว”
ชิงจินเอ่ยทักทาย “ขึ้นรถเร็ว องค์ชายหกรออยู่ เมื่อถึงที่นั่นแล้ว พวกเราก็ค่อย ๆ พูดคุยกัน”
“เช่นนั้นก็ดี”
ฉางกั้วเค่อเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล
…..
ตระกูลเจิ้ง
เป็นหนึ่งในห้าตระกูลเก่าแก่ชั้นนำแห่งมหานครกุ่นโจว
ในตำหนักที่โอ่อาสง่างาม โจวจือหลีนึกไตร่ตรองบางอย่าง “ท่านพี่ ท่านว่าเหตุใดอวี๋ไป๋ถิงถึงเลือกที่จะพบข้าที่หอเสียดเมฆาอย่างกะทันหันเช่นนี้?”
ที่นั่งด้านตรงข้าม มีผู้นำตระกูลเจิ้ง เจิ้งเทียนเหอนั่งอยู่ คนผู้นี้มีความสัมพันธ์เป็นลูกพี่ลูกน้องทางฝ่ายแม่ของโจวจือหลี
เพียงแต่ ภายในมหานครกุ่นโจวมีเพียงแค่คนส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้ถึงความสัมพันธ์นี้
สาเหตุนั้นเพราะมารดาของโจวจือหลี ในตอนนี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในนางสนมมากมายข้างกายจักรพรรดิโจว ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวไม่สูงมากนัก และไม่มีอิทธิพลเทียบเท่ากับลูกชายนาง
ประกอบกับตอนนี้จักรพรรดิแห่งต้าโจวนั้นมีนิสัยที่เฉยชา และห้ามให้ตระกูลทางฝ่ายภรรยาเข้าไปแทรกแซงเรื่องราชการแผ่นดิน ฉะนั้นตระกูลเจิ้งจึงไม่กล้าแสดงฐานะเป็นญาติสนิทของเชื้อพระวงศ์
“ชายแก่อวี๋ไป๋ถิงมีแผนการลึกซึ้งนัก สีหน้าดีใจหรือโกรธไม่เคยเผยออก เช่นเดียวกับความคิดที่ยากคาดเดา”
เจิ้งเทียนเหอเอ่ยอย่างพิจารณา “แต่ ในเมื่อเขาสมัครใจเข้าพบฝ่าบาท ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ไม่เลว ฝ่าบาทน่าจะถือโอกาสนี้รับการสนับสนุนจากตระกูลอวี๋ งานเลี้ยงน้ำชาสิบวันจากนี้ จะต้องมีโอกาสได้รับชัยชนะแน่”
รูปร่างของเขานั้นอ้วนจ้ำม่ำ และมีหนวด คล้ายกับเศรษฐีทั่ว ๆ ไป
โจวจือหลีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี อีกครู่หนึ่งข้าจะไปหอเสียดเมฆา ไปพบผู้คุมหางเสือของตระกูลอวี๋ผู้นี้”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมากจากด้านนอกตำหนัก
ชิงจินที่มีใบหน้างดงามกับฉางกั้วเค่อที่มีรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามา
รับชมดังนั้นใบหน้าของโจวจือพลันเผยความดีใจออกมา เขาลุกขึ้นต้อนรับ “ท่านอา ท่านนี้คือผู้อาวุโสศิษย์สำนักเดียวกันกับท่านใช่หรือไม่?”
ฉางกั้วเค่อค่อย ๆ คารวะและเอ่ยขึ้น “ฉางกั้วเค่อ ยินดีที่ได้พบองค์ชายหก”
ชิงจินเอ่ยแนะนำอยู่ด้านข้าง “ศิษย์พี่ฉางเป็นผู้อาวุโสศิษย์สายนอกของสำนักดาบมังกรเร้น และเป็นลูกศิษย์คนที่สามของอาจารย์ข้า ‘เซียนฮัวซง’ ฝึกฝนจนบรรลุถึงปรมาจารย์ขั้นสอง ใช้เคล็ด ‘วิถีดาบแปดขั้ว’ …ทำให้ปรมาจารย์ขั้นสามทั่วไปในโลกหล้า ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์พี่ฉาง หากนับลำดับแล้ว เจ้าควรเรียกเขาว่าอาจารย์ลุง ”
ในคำพูดนั้นมีความเคารพนับถืออยู่
“อาจารย์ลุง เชิญเข้ามาเร็ว!”
โจวจือหลีเผยอารมณ์ออกทางใบหน้า และยิ่งแสดงความดีใจออกมาเรื่อย ๆ
ในตอนที่ออกจากมหานครอวิ๋นเหอ ชิงจินเคยพูดเอาไว้ สำนักของนางจะส่งคนมาช่วยสนับสนุนเขา
ในตอนนั้นเขายังคาดเดาอยู่ว่าคนที่มานั้นจะเป็นใคร
แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นปรมาจารย์ขั้นสองท่านหนึ่ง ที่เป็นถึงหนึ่งในศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักดาบมังกรเร้น ‘เซียนฮัวซง’!
ด้วยเพราะฐานะทายาทลูกหลานมังกรของจักรพรรดิโจว โจวจือหลีจึงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังมาไม่น้อย เช่นฐานะของเซียนฮัวซงนั้นช่างอยู่เหนือกว่าสิ่งใดเหลือเกิน คนผู้นี้เป็นดั่งเทพเซียนเดินดินอย่างแท้จริง การฝึกฝนของเขานั้นได้บรรลุถึงสี่ขอบเขตแห่งวิถียุทธ์แล้ว!
เจิ้งเทียนเหอตะลึงไปหลังได้ยินถ้อยคำก่อนหน้า เขารีบเดินไปข้างหน้าทำความเคารพ “ที่แท้ก็เป็นยอดฝีมือจากสำนักดาบมังกรเร้น ข้าน้อยเจิ้งเทียนเหอ ยินดีที่ได้พบผู้อาวุโสเซียนฉาง”
ชิงจินที่อยู่ข้าง ๆ ได้ทำการแนะนำฐานะของเจิ้งเทียนเหอให้กับฉางกั้วเค่อ
ฉางกั้วเค่อที่ได้ยินพลันคารวะและเอ่ยขึ้น “ผู้นำตระกูลเจิ้งไม่ต้องเกรงใจ ฉางผู้นี้ยังเรียกว่าเป็น ‘ผู้อาวุโสเซียน’ ยังไม่ได้”
ไม่นาน ทุกคนก็แยกย้ายไปนั่งกับที่
“ศิษย์พี่ฉาง พี่มาถึงช้ากว่าเวลาที่ส่งข่าวสองวัน หรือว่าระหว่างทางเกิดเรื่องล่าช้าอันใดขึ้น?”
ชิงจินเอ่ยถามเสียงเบา
ฉางกั้วเค่อถอนหายใจออกมา แล้วจึงเอ่ยตอบโดยไม่ปกปิดสิ่งใด “ระหว่างทางเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย เมื่อวันก่อน ข้าไปเจอเข้ากับพยัคฆ์เพลิงเนตรครามในหุบเขาลึกตัวหนึ่ง เมื่อเห็นก็รู้สึกดีใจ และคิดที่จะดักจับฆ่าสัตว์ร้ายตัวนี้…”
ว่าแล้วชายหนวดหงิกก็บอกเล่าเรื่องระหว่างทางที่เจอกับพยัคฆ์เพลิงเนตรคราม รวมทั้งเรื่องที่ถูกฮวาเหลียนซิ่ว จี๋ชางเหอ และอินถงทั้งสามคนไล่ฆ่าออกมา
ทุกคนที่ได้ฟังต่างอกสั่นขวัญหายไปชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าที่เปลี่ยนอยู่แล้วก็เปลี่ยนไปอีก
ถึงอย่างไร พวกเขาต่างก็รู้ว่าพยัคฆ์เพลิงเนตรครามเป็นสัตว์อสูรระดับเก้า ซึ่งเทียบได้กับปรมาจารย์ขั้นห้า!
แต่ฉางกั้วเค่อกลับกล้าที่จะไปล่าสังหารสัตว์ร้ายนี้ เหตุใดคนผู้นี้ช่างน่าทึ่งเช่นนี้?
แม้ว่าสุดท้ายจะพลาดโอกาสไป แต่ความกล้าหาญนั้นน่ายกย่องนัก!
แต่เมื่อได้ยินว่าฉางกั้วเค่อถูกฮวาเหลียนซิ่วและพวกไล่ฆ่า พลันใบหน้าของโจวจือหลีกับชิงจินก็ครึ้มลง
เพราะปรมาจารย์ทั้งสามคนนี้ เป็นคนขององค์ชายสาม!
โจวจือหลีเอ่ยด้วยท่าทางโกรธจัด “ไม่คิดเลย ว่าพี่สามจะมีความกล้ามากเช่นนี้ ถึงได้กล้าลงมือกับอาจารย์ลุงฉาง หรือว่าจะไม่เกรงกลัวความโกรธเกรี้ยวของเซียนฮัวซง?”
“ฝ่าบาท ตามกฎของสำนักดาบมังกรเร้น คือเมื่อเข้ามาอยู่บนโลกเบื้องนอก ล้วนต้องทำตามกฎของที่แห่งนั้น”
ฉางกั้วเค่อเอ่ยอย่างไตร่ตรองขึ้น “ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ขององค์ชายสาม คือรองเจ้าสำนักดาบมังกรเร้น ที่เขาทำเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะได้รับข่าวมาก่อนแล้วเป็นแน่ และได้ยินว่าข้าจะมาคอยช่วยเหลือฝ่าบาท จึงได้ตั้งใจส่งคนมาฆ่าข้าในระหว่างทาง ”
สำนักดาบมังกรเร้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในการบำเพ็ญอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรต้าโจว และดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่โดดเด่นที่สุดบนโลกใบนี้
แต่มีเพียงแค่ฉางกั้วเค่อและชิงจิน… มีพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่า ระหว่างพวกคนใหญ่คนโตภายในสำนักดาบมังกรเร้นกับราชวงศ์แห่งอาณาจักรต้าโจวนั้นมีความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนโยงใยกันไปหมด
อย่างเช่นอาจารย์ขององค์ชายหก คือผู้อาวุโสสำนักดาบมังกรเร้น ‘ตานฉางเก๋อ’ ซึ่งเป็นศิษย์คนที่สี่ของเซียนฮัวซง
เช่นเดียวกับอาจารย์ขององค์ชายสาม ซึ่งคือรองเจ้าสำนักดาบมังกรเร้น ‘ฉือเฟิงหลิว’
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่โจวจือหลีกลับซ่อนความโกรธเอาไว้ไม่ได้ เขาเพิ่งจะรู้ว่า พี่รองกับพี่สามอาจจะร่วมมือกัน และมองน้องหกเช่นเขาเป็นศัตรู!
ชิงจินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ ตอนนั้นท่านรอดจากพวกเขาที่ตามไล่ฆ่าได้อย่างไร?”
แววตาฉางกั้วเค่อเปลี่ยนเป็นแปลกใจทันที “เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ข้าสามารถมีชีวิตรอดมาได้ในตอนนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะชายหนุ่มลึกลับที่ไม่รู้ที่มาที่ไปผู้หนึ่งช่วยเอาไว้”