บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 17 ไม้เสียดเมฆ
ตอนที่ 17 ไม้เสียดเมฆ
คุณชายซูแสดงการบ่มเพาะต่อหน้าพวกเขางั้นหรือ!?
เซียวเทียนเชวี่ยและจื่อจิ่นสบตากัน ทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
การเคลื่อนไหวของซูอี้นั้นนุ่มนวลและลื่นไหล… มันดูมีเสน่ห์เฉพาะตัวและลึกลับ
ในภวังค์นั้น จื่อจิ่นเหมือนกำลังเห็นนกกระเรียนบินอยู่เหนือสวรรค์ทั้งเก้า หกเหินอย่างสง่างามอยู่ในมวลเมฆ และโผบินไปมาอย่างอิสระ
และทันใดนั้น ภาพแปรเปลี่ยนเป็นต้นไม้ประหลาดสูงตระหง่านดูสง่างาม ราวกับเป็นเสาหลักที่ค้ำจุนภูผาและสายน้ำไว้ สูงใหญ่เกินคณานับ
จื่อจิ่นมิได้ตระหนักว่าตนจิตใจหลุดลอยไป นางมัวแต่ตกใจเป็นอย่างมาก นี่มัน…ทักษะเคล็ดวิชาอะไรกัน?
“หืม?”
ในขณะเดียวกัน ม่านตาของเซียวเทียนเชวี่ยหดลงเล็กน้อย
เขาเห็นพลังวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ ป่าหม่อนนั้นควบแน่นเป็นลักษณะเส้นสายหลั่งไหลพุ่งเข้าสู่ร่างของซูอี้ มันดูราวกับสายน้ำนับพันหวนคืนสู่ต้นกำเนิด
“เคล็ดวิชาอะไรกันจึงสามารถดึงพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายได้เช่นนี้?” จิตใจของเซียวเทียนเชวี่ยสั่นเทา
ตัวเขามีฐานพลังอยู่ในขอบเขตที่สามของวิถียุทธ์ หรือก็คือขอบเขตหลอมกำเนิด ซึ่งสำหรับอาณาจักรโจว ตัวตนเช่นเขานับได้ว่าเป็นปรมาจารย์ของเหล่าผู้บ่มเพาะ! สถานะของเขาเป็นที่เคารพนับถือ ทุกคนต่างเชิดชูเขา
แต่นี่คือครั้งแรกที่เขาพบเห็นวิธีการอันน่าอัศจรรย์อย่างนี้!
“ภาพมายาของต้นไม้ยักษ์ประหลาดและนกกระเรียน ลมหายใจเข้าออกแต่ละครั้งสามารถดึงพลังวิญญาณเข้ามาเสริมร่างกายได้ หรือนี่จะเป็น ‘เคล็ดวิชาลับบรรพกาล’?”
เซียวเทียนเชวี่ยตกตะลึง
เขาจดจำตำนานบางอย่างได้ จากคำกล่าวขาน เมื่อฐานการบ่มเพาะก้าวข้ามขอบเขตที่สี่ของวิถียุทธ์และเข้าสู่วิถีต้นกำเนิดได้ คนผู้นั้นถึงจะมีคุณสมบัติบ่มเพาะ ‘เคล็ดวิชาลับบรรพกาล’ ได้
พลังจาก ‘เคล็ดวิชาลับบรรพกาล’ ทั้งหลายนั้นสามารถผ่าขุนเขาตัดกระแสธารได้อย่างง่ายดาย ลมหายใจกลายเป็นสายฟ้า และสามารถทำให้เหาะไปในอากาศได้ราวกับเทพเซียน
และตามปกติแล้วผู้ที่บ่มเพาะ ‘เคล็ดวิชาลับบรรพกาล’ ทั้งหมดจะถูกเรียกด้วยอีกชื่อซึ่งก็คือ ‘เทพเซียนเดินดิน’
ในฐานะที่เป็นผู้บ่มเพาะที่โด่งดังมานาน เซี่ยวเทียนเชวี่ยโชคดีพอที่จะเคยเห็นบุคคลที่ถูกขนานนามว่าเทพเซียนเดินดิน
ดังนั้นเขาจึงมั่นใจมากว่าเคล็ดวิชาที่ตัวเองเห็นตอนนี้น่าจะเป็น ‘เคล็ดวิชาลับบรรพกาล’!
กระทั่งซูอี้ฝึกฝนเสร็จสิ้น เป็นตอนนี้เองที่เซียวเทียนเชวี่ยฟื้นคืนได้สติ และเมื่อมองไปที่ซูอี้อีกครั้งก็เห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น
“คุณชายซู ท่านกำลังฝึกเคล็ดวิชาอะไรหรือ คือ…มันทำให้ข้าเห็นภาพมายามากมาย…”
จื่อจิ่นอุทาน นางไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกว่าเคล็ดวิชาลับนี่ช่างน่าเหลือเชื่อ
“มันเป็นแค่เคล็ดวิชาที่เอาไว้บ่มเพาะวิถียุทธ์แรกเท่านั้น” ซูอี้ตอบเสียงเรียบ
“เอาไว้บ่มเพาะวิถียุทธ์แรก…” จื่อจิ่นตะลึงไปครู่หนึ่ง เคล็ดวิชาบ่มเพาะวิถียุทธ์แรกแบบไหนกันที่อัศจรรย์ขนาดนี้?
ซูอี้ไม่ได้อธิบายต่อ เขาเดินเข้าหาเซียวเทียนเชวี่ยก่อนจะกล่าวว่า “มีสองวิธีที่จะกำจัดอาการบาดเจ็บในร่างกายของเจ้า วิธีแรกคือข้าจะเขียนใบสั่งยาอีกใบหนึ่งให้ ภายในสิบวัน อาการบาดเจ็บก็จะหายไปโดยสิ้นเชิง”
“แต่หากทำเช่นนี้ เจ้าจะไม่อาจบรรลุขอบเขตพลังที่สูงกว่านี้ได้อีก”
จิตใจของเซียวเทียนเชวี่ยกลายเป็นตึงเครียด เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำ “ข้าขอถามคุณชายซู วิธีที่สองคืออะไรหรือ?”
ซูอี้ตอบกลับ “วิธีที่สองง่ายมาก ก็แค่บอกเคล็ดวิชาที่เจ้าฝึกฝนมาให้ข้า”
“หืม?” จื่อจิ่นอุทานออกมา เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกไม่ทันตั้งตัว
เคล็ดวิชาที่เซียวเทียนเชวี่ยปู่ของนางได้บ่มเพาะมาตลอดเรียกว่า ‘เคล็ดวิชาคลื่นทองคำ’ เป็นเคล็ดวิชาลับของบรรพบุรุษตระกูลเซียว แม้แต่ภายในตระกูลเซียวเองมีเพียงทายาทสายตรงเท่านั้นที่มีสิทธิ์จะได้ฝึกฝนมัน!
เคล็ดวิชาล้ำค่าเช่นนี้จะบอกต่อคนแปลกหน้าง่าย ๆ ได้อย่างไร?
เซียวเทียนเชวี่ยลังเลอย่างเห็นได้ชัด
การรั่วไหลของเคล็ดวิชาลับเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวพันกับรากฐานตระกูล แม้เขาจะเป็นถึงผู้บ่มเพาะยอดฝีมือก็ตาม เขาก็ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน
เขาสบฟันกรามแน่นก่อนจะกล่าวตอบ “ข้าขอเลือกวิธีที่สอง!”
จื่อจิ่นรู้สึกวิตกอย่างเห็นได้ชัด แต่เซียวเทียนเชวี่ยกลับส่ายหน้าเพื่อสื่อกับนางว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
ซูอี้พยักหน้าและตอบกลับ “เป็นตัวเลือกที่ฉลาดมาก”
เซียวเทียนเชวี่ยถ่ายทอด ‘เคล็ดวิชาคลื่นทองคำ’ ทันที
จื่อจิ่นฟังจากด้านข้างก็ตระหนักได้ว่าปู่ของตนไม่ได้ปิดบังอะไรเลย และเป็นตอนนี้เองที่หัวใจของนางสั่นไหวอีกครั้ง
นี่คือเคล็ดวิชาเฉพาะที่ส่งต่อมาโดยบรรพบุรุษของตระกูล!
แต่… ต้องมารั่วไหลออกไปเช่นนั้น?
หากเรื่องนี้เป็นที่ล่วงรู้ไปถึงหูของคนในตระกูล นางเกรงว่าปู่ของตนคงจะต้องลำบากเพราะคำตำหนิและแรงกดดัน!
หรือยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลของนางอาจจะส่งผู้คนมารุมสังหารคุณชายซูเลยก็เป็นได้เพื่อปกปิดความลับ!
ในขณะที่ความคิดของจื่อจิ่นกำลังล่องลอย ซูอี้ก็กล่าวคำ “เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ เคล็ดวิชานี้มีข้อบกพร่องใหญ่อยู่ เจ้าสามารถใช้มันฝึกมาถึงขอบเขตที่สามของวิถียุทธ์ได้ แต่ก่อนหน้านี้เจ้าคงเคยประสบอันตรายร้ายแรงมาก่อนถูกต้องหรือไม่?”
“ข้อบกพร่อง??” จื่อจิ่นเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เชื่อ
นี่คือมรดกตระกูลเซียวของพวกเขาที่ได้รับสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นพันปี และได้รับการยอมรับว่าเป็นยอดเคล็ดวิชาอันดับต้น ๆ ของแคว้น!
สิ่งนี้… จะมีข้อบกพร่องได้อย่างไรกัน?
เมื่อได้ยินคำของซูอี้ เซียวเทียนเชวี่ยเหมือนจะจำบางอย่างในอดีตได้ เหงื่อของเขาแตกพลั่ก สีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนก่อนจะกล่าวว่า “คุณชายซูกล่าวถูกต้องแล้ว มีเรื่องอันตรายถึงชีวิตเกิดขึ้นถึงสามครั้งขณะที่ข้าบ่มเพาะเคล็ดวิชานี้ หนึ่งคือตอนที่ข้ากำลังผ่านขอบเขตรวบรวมลมปราณ และเข้าสู่ขอบเขตหลอมกำเนิด ส่วนอีกสองครั้งที่เหลือเกิดขึ้นในช่วงขอบเขตหลอมกำเนิด”
ซูอี้กล่าว “เอาล่ะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงบอกกับเจ้าว่าถ้าเจ้าเลือกใช้วิธีแรกที่ข้าเสนอไปจะช่วยเยียวยาอาการบาดเจ็บ เจ้าก็จะไม่สามารถทะลวงระดับการบ่มเพาะที่สูงขึ้นไปอีกได้ เพราะเจ้าจะต้องต้องพบกับเหตุอันตรายถึงชีวิตหากเจ้ายังฝึกเคล็ดวิชาคลื่นทองคำอีกครั้ง”
เซียวเทียนเชวี่ยไม่อาจสงบลงได้ขณะนี้ และกล่าวด้วยความวิตก “เช่นนั้น วิธีที่สอง…”
ซูอี้ยิ้มและกล่าว “แม้จุดบกพร่องของเคล็ดวิชาคลื่นทองคำจะใหญ่หลวง แต่ใช่ว่าข้าจะแก้ไม่ได้ ข้าจะช่วยเจ้าปรับปรุงแก้ไขมัน ด้วยการทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะเยียวยาอาการบาดเจ็บของตัวเองได้ แต่มันจะยิ่งช่วยเสริมให้การบ่มเพาะของเจ้าก้าวหน้าขึ้นไปอีกด้วย”
ขณะที่พูดจบ ซูอี้ยกมือขึ้นหักกิ่งต้นหม่อน และขีดเขียนอักษรลงบนพื้น
แกรก แกรก แกรก ~
อักษรตัวต่อตัวปรากฏขึ้นบนพื้นดินทราย ลายมือดูหยาบ ๆ ราวกับงูเลื้อย
สายตาเซียวเทียนเชวี่ยถูกดึงดูดมาโดยไม่รู้ตัว ในไม่ช้าใบหน้าเขาก็แสดงความตกตะลึง ยิ่งมองก็ยิ่งประหลาดใจ สุดท้ายแล้วใบหน้าของเขาจึงได้หลงเหลือไว้เพียงความประหลาดใจ
จื่อจิ่นก็เห็นเช่นกัน แต่ด้วยความรู้ด้านการบ่มเพาะยังตื้นเขิน นางจึงไม่ได้เข้าใจความลึกลับของเหล่าอักษรนั้น
หลังจากที่ซูอี้เขียนเสร็จแล้ว เขาก็โยนกิ่งไม้ทิ้งและพูดว่า “ข้าเขียนเสร็จแล้ว เจ้าจงจดจำทุกอักษรให้ได้อย่างแม่นจำ อย่าปล่อยใจเลื่อนลอยจนจำผิดสับสน”
เซียวเทียนเชวี่ยจ้องมองจดจำอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะถอนหายใจยาว
เขาโค้งคำนับซูอี้อย่างจริงจัง “ขอขอบคุณคุณชายซู ที่เมตตาชี้แนะแก้ไขเคล็ดวิชาของตระกูลข้าให้ ด้วยเคล็ดวิชาลับอันสมบูรณ์แบบนี้ ตระกูลเซียวของข้าจะได้ประโยชน์อย่างมากแน่ โปรดรับการเคารพจากเทียนเชวี่ยด้วย!”
คำกล่าวนั้นเสียงดัง มีแววความตื่นเต้น หวาดหวั่น และตกใจปะปน
จื่อจิ่นตื่นตระหนก นี่มัน…
ซูอี้ยอมรับการคารวะโดยสงบ ก่อนโบกมือกล่าว “เอาล่ะ ปัญหาถูกแก้ไขแล้ว ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับสักที”
หลังกล่าวจบ เขาหันหลังกลับ
“คุณชายซู โปรดอยู่รอก่อน!”
เซียวเทียนเชวี่ยรีบวิ่งตามเขาไป ก่อนนำป้ายหยกออกมาจากอกเสื้อของตนและยื่นให้ด้วยสองมือ เขากล่าวด้วยความเคารพ “คุณชายซู นี่เป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลเซียวของข้า หวังว่าท่านจะยอมรับมันในฐานะสินตอบแทนจากผู้น้อย”
ซูอี้เลิกคิ้วและถาม “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เซียวเทียนเชวี่ยรีบอธิบาย “ข้ารู้ดีว่าท่านนั้นไม่ธรรมดาและไม่อาจเทียบได้ แต่การเดินทางในโลกย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบเรื่องหยุมหยิมมากวนใจ และด้วยอุปนิสัยของท่าน ท่านก็คงจะไม่ต้องการถูกรบกวนด้วยเรื่องทางโลกเหล่านั้น”
“ด้วยป้ายนี้ อย่างน้อยในสิบเก้าหัวเมืองของเขตปกครองอวิ๋นเหอ มันก็น่าจะเพียงพอสำหรับแก้ปัญหาพวกนั้นได้ เพียงรับมันไว้… นี่เป็นของเล็กน้อยจากตระกูลเซียว”
เขาหยุดชั่วขณะก่อนจะกล่าวเสริม “แน่นอนว่าความเมตตาของท่านวันนี้ยังห่างไกลนักที่ข้าจะตอบแทนได้หมด ดังนั้นในอนาคตหากท่านมีเรื่องปัญหาใด ตระกูลเซียวย่อมยินดีบุกน้ำลุยไฟแทนท่าน!”
ซูอี้ยอมรับและกล่าว “ในเมื่อเจ้ายืนยันความตั้งใจเช่นนี้ งั้นข้าคงไม่ขัด ขอบใจเจ้ามาก”
หลังกล่าวจบ เขาจึงหันหลังไป
เซียวเทียนเชวี่ยมองตามกระทั่งร่างของซูอี้หายไป เขาผ่อนคลายลง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนแก้มผอม ๆ สุดท้าย… เขาก็ได้ผูกสัมพันธ์กับคุณชายซู!
“ท่านปู่ เคล็ดวิชาคลื่นทองคำที่คุณชายซูแก้ไขนั้นมัน… ยอดเยี่ยมมากเลยหรือ?”
จื่อจิ่นเห็นภาพก่อนหน้ากับตา ทำให้ใจนางรู้สึกสับสน และบัดนี้นางก็อดถามไม่ได้
เซียวเทียนเชวี่ยกล่าวด้วยอารมณ์ “เพียงฟังคำอธิบายเกี่ยวกับเคล็ดวิชาคลื่นทองคำครั้งเดียวก็ทราบถึงอันตรายที่ข้าเจอในการฝึก และช่วยแก้ไขข้อบกพร่องนั้นได้ในครู่เดียว วิธีของเขานั้นวิเศษยิ่งกว่าการเล่นแร่แปรธาตุใด ๆ มันเหนือยิ่งกว่าการเปลี่ยนหินให้เป็นก้อนทอง เปลี่ยนของเสียให้เป็นของวิเศษ!”
จากนั้นเขาก็มองจื่อจิ่นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนจะกล่าวว่า “หลานปู่ เจ้ายังเด็กนัก จึงไม่เข้าใจว่าหลังจากที่คุณชายซูแก้ไขแล้ว เคล็ดวิชาที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเรากลับกลายเป็นต่างไปโดยสิ้นเชิง ในอนาคต ตระกูลเซียวของเรา…จะมียอดฝีมือปรากฏอีกมากมาย!”
จากนั้นจื่อจิ่นจึงเข้าใจ และอดกล่าวด้วยความตื่นเต้นมิได้ “น…นี่มันประเสริฐยิ่ง!”
“ทีนี้ เจ้ายังกล้าปฏิบัติกับคุณชายซูในฐานะเขยตระกูลเหวินหรือเปล่า?” เซียวเทียนเชวี่ยถามด้วยรอยยิ้ม
จื่อจิ่นรู้สึกเสียหน้าก่อนจะกล่าวอย่างเขินอาย “ท่านปู่ ก่อนหน้านี้ข้าช่างตาบอดและโง่เขลาจริง ๆ”
เซียวเทียนเชวี่ยมองหลานสาวหน้าตาดีและกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “ครั้งนี้ผู้คนยังไม่รู้ว่ามีไม้เสียดเมฆก่อกำเนิด กระทั่งรอมันเริ่มสูง ทว่าคุณชายซูยังหนุ่มและอยู่ปนเปในโลกมนุษย์ แต่เขาก็ได้กลายเป็นไม้เสียดฟ้าที่แทบไม่มีใครมองเห็นแล้ว คนสูงส่งเช่นนี้ เมื่อเราได้พบก็ควรผูกมิตรกับเขาด้วยใจจริง!”
จื่อจิ่นถามเสียงใส “ท่านปู่ ท่านคิดจะดึงคุณชายซูมาเข้าร่วมกับเราหรือเปล่า?”
“ดึงเขามาเข้าร่วมงั้นหรือ?”
เซียวเทียนเชวี่ยหัวเราะ “เทพเซียนอย่างคุณชายซูจะอยู่ใต้บังคับบัญชาคนอื่นได้อย่างไร ด้วยวิธีการของเขา ผู้บ่มเพาะอย่างข้ายังทำได้เพียงเงยหน้ามอง บางที…อาจมีเพียง ‘เทพเซียนเดินดิน’ ที่พอมีสิทธิ์นั่งคุยกับคุณชายซูได้”
มีเพียงเทพเซียนเดินดินกระมังที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าคุณชายซู?
ยิ่งจื่อจิ่นได้ฟังก็ยิ่งตื่นตระหนก
“ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายซูก็ยังหนุ่ม ความสำเร็จที่ถูกลิขิตในภายภาคหน้าไม่ใช่เรื่องที่เราจะจินตนาการได้!”
แววตาของเซียวเทียนเชวี่ยส่องประกายเจิดจ้า “การผูกมิตรกับคนเช่นนี้ เราต้องปฏิบัติกับพวกเขาด้วยความจริงใจ”
“และบัดนี้ เราก็ต่อติดกับคุณชายซูได้ขั้นหนึ่งแล้ว นี่เป็นวาสนาอันใหญ่ยิ่งสำหรับข้าและตระกูลเซียวของเรา!”
จิตใจของจื่อจิ่นสั่นไหว นางไม่อาจสงบลงได้เป็นเวลานาน
จากนั้นไม่นาน ดวงตาเป็นประกายดาวของนางก็ค่อย ๆ แสดงความแน่วแน่ ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “ท่านปู่อย่าได้กังวล ข้าจะคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างแน่นอน!”