บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 170 คุณชายซูผู้มีพระคุณช่วยชีวิต
ได้รับการช่วยเหลือจากชายหนุ่มลึกลับ?
พวกของชิงจินให้ความสนใจขึ้นมา
นัยน์ตาของฉางกั้วเค่อเปล่งประกายย้อนรอยความทรงจำ กล่าว “คืนวันนั้น ฝนตกดั่งฟ้ารั่ว ขณะที่ข้าหาที่หลบฝนบังเอิญพบกับชายหญิงคู่หนึ่ง ตอนนั้นข้าคิดว่าคนหนุ่มชุดเข้มผู้นี้คงจะเป็นบุตรหลานวงศ์ตระกูลใหญ่โต เพราะเขาดูท่าทางแปลกประหลาดเสียเหลือเกิน เดินทางกลางป่าเขาลำเนาไพรไม่เพียงแต่พาหญิงรับใช้งดงามติดตามไปด้วย ยังนำเก้าอี้หวายสำหรับนอนพักผ่อนติดไปด้วย…”
โจวจือหลีหัวเราะขบขันพลางกล่าว “คน ๆ นี้ช่างรู้จักหาความสบายเสียจริง”
ชิงจินจ้องเขม่นดูเขา “อย่าพูดแทรก”
ฉางกั้วเค่อถอนใจ “เรื่องราวในลำดับถัดมาแสดงให้เห็นชัดแล้วว่าข้าดูคนผิดไป คนหนุ่มผู้นั้นดูคล้ายกับฝึกตนถึงขั้นขอบเขตรวบรวมลมปราณเท่านั้น ทว่ามีความรอบรู้ยิ่ง ล้ำลึกไม่อาจคาดเดา…”
พูดพลางน้ำเสียงของเขาแฝงความละอายออกมา จากนั้นจึงเล่าเรื่องการต่อสู้ในคืนนั้น
ฟังจบ เจิ้งเทียนเหอก็ยังอดไม่ได้ และกล่าวออกมาด้วยความตื่นตะลึง “ดาบชักพาฟ้าคำราม ฆ่าคนกลางอากาศ? นี่เป็นวิธีการของเทพเซียนเดินดินไม่ใช่หรอกรึ?”
ฉางกั้วเค่อกล่าวเห็นด้วย “หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ข้าก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน เป็นแค่พ่อหนุ่มคนหนึ่ง กลับมีฝีมือแก่กล้าเก่งกาจถึงเพียงนี้”
เวลานี้ สีหน้าของโจวจือหลีนิ่งตะลึงพลางกล่าว “ลักษณะเช่นนี้ …เหตุใดจึงคล้ายกับคุณชายซูนัก? ณ ลานฝึกฝนเตาหลอมขจีครั้งนั้น เขาเคยใช้ดาบชักพาวายุฝนฆ่าทหารในชุดเกราะจำนวนมากมายราวกับเทพเซียน สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนทั้งหลาย”
พูดถึงจุดนี้น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา “อีกทั้ง ระดับการฝึกตนที่แสดงออกมาจากตัวของคุณชายซูก็เป็นขอบเขตรวบรวมลมปราณ และก็มักจะใส่ชุดยาวสีเขียวเข้มด้วยเช่นกัน หรือว่าจะเป็นเขาจริง ๆ?”
“คุณชายซู?” ฉางกั้วเค่อนิ่งตะลึงไปชั่วครู่
โจวจือหลีเบนสายตามองไปที่ชิงจิน กล่าวถาม “ท่านอา ท่านคิดว่าเช่นใด?”
ชิงจินราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน ใบหน้าสับสน พลางกล่าว “น่าจะ… ใช่เขา…”
น้ำเสียงสับสน มีทั้งความตกใจและมีทั้งความเคียดแค้น
ขณะที่ฟังฉางกั้วเค่อเล่าเรื่องที่คนหนุ่มชุดเข้มคนนั้นฆ่าพวกของฮวาเหลียนซิ่วทั้งสามคน ชิงจินนึกถึงซูอี้ขึ้นมาในทันใด อีกทั้งมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าคนหนุ่มชุดเข้มคนนั้นก็คือซูอี้
เพียงแต่ว่า ชิงจินกลับไม่อาจลืมครั้งนั้น ตอนที่อยู่ศาลาคลื่นซัดทราย… ซูอี้ตบนาง!
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเอ่ยถึงซูอี้ขึ้นมา สีหน้าที่แสดงออกมาในเวลานี้จึงสับสน
สายตาของโจวจือหลีส่อประกาย พลางกล่าวว่า “อาจารย์ลุงฉาง พรรณนารูปลักษณ์ของชายหญิงคู่นั้นให้พวกเราฟังได้หรือไม่?”
ฉางกั้วเค่อคิดสักครู่ จากนั้นจึงเล่าออกมา
โจวจือหลีตบขาฉาดใหญ่ หัวเราะพลางกล่าว “ต้องเป็นคุณชายซู ซูอี้แน่นอน! หญิงสาวข้างกายเขาคนนั้นก็คงจะเป็น… อืม แม่นางฉาจิ่น”
พูดถึงฉาจิ่น ในใจของเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างประหลาดเช่นกัน รู้สึกแปลบปลาบขึ้นมา
“ฝ่าบาท คุณชายซู ซูอี้ที่ท่านเอ่ยกล่าวมานั้นที่แท้เป็นผู้วิเศษจากแห่งหนใดกัน?”
เจิ้งเทียนเหออดไม่ได้จึงถามขึ้น เขาฟังจนจิตใจฮึกเหิม จึงอดรู้สึกเคารพนับถือขึ้นมาด้วยไม่ได้
“ไม่ผิด ข้าก็สงสัยเช่นกันว่าผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าท่านนี้มีประวัติความเป็นมาเช่นใด” ฉางกั้วเค่อก็อยากจะรู้เช่นกัน
โจวจือหลีตอบ “เขาน่ะหรือ… เป็นบุคคลลึกลับและมีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา เปรียบประดุจเซียนจากสวรรค์ เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป ยังจำตอนที่พบกันเมื่อครั้งแรกได้…”
ครู่ถัดมา เขาเล่าตั้งแต่ครั้งแรกเจอกับซูอี้บนเรือได้อย่างไร จนกระทั่งถึงเรื่องที่พบเจอ ณ มหานครอวิ๋นเหอด้วยความภาคภูมิใจ
เล่าจนถึงท้ายสุดคิ้วงามโยกย้าย บนใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าเทิดทูนยกย่อง
ฉางกั้วเค่อกับเจิ้งเทียนเหอฟังจบก็พลอยสูดหายใจเฮือกตามราวกับว่าคนหนุ่มคนนี้สมควรแล้วที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเซียนจากสวรรค์!
มีแต่เพียงชิงจินเท่านั้นที่ในใจมีแต่ความสับสนคับข้อง
นางเคยปฏิเสธข้อเสนอที่ให้ไปเป็นหญิงรับใช้ของซูอี้ และเคยถูกซูอี้ตบหน้าอย่างแรงอีกด้วย
เดิมที นางเคยสาบานไว้ในใจว่าสักวันจะต้องกู้หน้าตัวเองกลับคืนมา
แต่ใครเลยจะคิดว่าซูอี้กลับเป็นผู้ช่วยชีวิตศิษย์พี่ของนางในค่ำคืนฝนตกหนักกลางป่ารกร้าง…
เรื่องนี้ทำให้นางไม่อาจเคียดแค้นซูอี้ได้อีก
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ครั้งนี้คุณชายซูไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตอาจารย์ลุงเท่านั้น ยังเท่ากับเป็นการช่วยข้าฆ่าองครักษ์ระดับปรมาจารย์สามคนของพี่สามอีกด้วย! สาแก่ใจ สาแก่ใจจริง ๆ!”
โจวจือหลีหัวเราะเสียงดัง รู้สึกผ่อนคลายสบายไปทั้งตัว
องครักษ์ระดับปรมาจารย์ แต่ละคนล้วนมีบทบาทที่สำคัญมาก
สามารถกล่าวได้ว่าการตายของพวกฮวาเหลียนซิ่วสร้างความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อโจวจือเจิ้น พี่สามของเขาอย่างแน่นอน!
“แต่เสียดาย คุณชายซูท่านนี้ไม่ได้อยู่มหานครกุ่นโจว มิเช่นนั้น เจิ้งผู้นี้จะต้องเชิญเขามาเป็นแขก แล้วรับรองด้วยสุราหมักอย่างดีที่เก็บรักษามานาน”
เจิ้งเทียนเหอถอนใจเบา ๆ
“ไม่ คุณชายซูอยู่ในเมือง”
ฉางกั้วเค่อเอ่ยขึ้นมาในทันใด “เมื่อสักครู่ตอนที่ข้ารอศิษย์น้องชิงจิน ข้าบังเอิญพบกับเขา”
“อะไรนะ? คุณชายซูก็มามหานครกุ่นโจวด้วยเช่นนั้นหรือ?”
โจวจือหลีกล่าวด้วยความตื่นเต้นดีใจ “อาจารย์ลุงฉาง รู้หรือไม่ว่าเวลานี้เขาอยู่ที่ใด?”
ฉางกั้วเค่อส่ายหน้ายิ้มฝืด ก่อนจะตอบกลับ “คนระดับอย่างเขาเช่นนั้น ไม่ยินดีจะเกี่ยวพันกับข้ามากนัก ไม่รู้ว่าไปที่ใดแล้ว”
“เรื่องนี้ไม่ยาก ตระกูลโจวของข้ายังพอมีอำนาจอยู่บ้าง ต้องการจะสืบเสาะที่พักของคุณชายซูไม่ใช่เรื่องยาก”
เจิ้งเทียนเหอหัวเราะหึหึพลางกล่าว
โจวจือหลีกล่าวเตือนในทันใด “ท่านพี่ เวลาที่ตามหาคุณชายซู จะกระทำล่วงเกินไม่ได้เป็นอันขาด เขาดูเรียบง่าย ทว่าในกระดูกเต็มไปด้วยความทระนง จะล่วงละเมิดไม่ได้”
เจิ้งเทียนเหอพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง กล่าว “วางใจเถิด เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ข้า”
เห็นว่าพวกเขาใส่ใจกับเรื่องของซูอี้ถึงเพียงนี้ ชิงจินทนไม่ไหวจึงกล่าวขึ้นมา “ฝ่าบาท วันนี้จะต้องไปหอเสียดเมฆาตามนัดไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงอยู่แล้ว”
โจวจือหลีสะดุ้ง นึกขึ้นได้ว่ามีนัดกับอวี๋ไป๋ถิง จึงลุกขึ้นพลางกล่าว “ได้ พวกเราไปพบกับอวี๋ไป๋ถิงในตอนนี้ ใช่แล้ว ท่านพี่ส่งคนไปแจ้งต่อใต้เท้ามู่ด้วย ให้เขาไปกับข้า”
“อาจารย์ลุงฉางก็ไปด้วยกัน” เขาออกปากเชิญ
ฉางกั้วเค่อพยักหน้า
——
ณ เรือนพำนักหินศิลา
มีพื้นที่ทั้งสิ้นห้าไร่ ภายในสวนมีป่าไผ่ดกดื่น สะพานน้อยน้ำหลาก หอแต่ละหลังรูปทรงโบราณ ปลูกไว้อย่างวิจิตรบรรจง
ใจกลางสวน ยังมีสระเล็ก ๆ สำหรับปลูกดอกบัว บรรยากาศเยือกเย็นสงบสุขยิ่งนัก
“ศิษย์พี่ซู ท่านคิดว่าเรือนที่พักแห่งนี้เป็นเช่นใด?”
เดินบนสะพานทางเดินคดโค้งไปสู่ห้องโถงกลาง เฉินจินหลงถามอย่างระมัดระวัง
“ไม่เลว”
ซูอี้พยักหน้า “แต่ อีกประเดี๋ยวเจ้าไปย้ายบ่าวรับใช้ที่พักอาศัยอยู่ที่นี่ออกให้หมด”
เฉินจินหลงตะลึง ถึงแม้จะรู้สึกประหลาดใจ ทว่ายังคงพยักหน้า พลางกล่าว “ถ้าเช่นนั้นท่านต้องการจะให้ซื้ออะไรเพิ่มเติมหรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้า “ไม่ต้อง”
ไม่นานนัก เห็นว่าซูอี้ไม่สนใจจะพูดคุยต่ออีก เฉินจิ่นหลงจึงกล่าวลาไป
บนชั้นสองของหอโบราณหลังคากระดกหลังหนึ่ง
ซูอี้ยืนมือไพล่หลังอยู่ที่ริมหน้าต่าง มองดูดอกบัวสีชมพูเบ่งบานในสระกลางสวนแล้วพยักหน้าชื่นชม
อาศัยอยู่ที่นี่ สงบเงียบราบรื่น ดีกว่าอยู่ที่โรงเตี๊ยมเป็นไหน ๆ
“เจ้าไปจัดเก็บข้าวของก่อน ประเดี๋ยวพวกเราไปกินข้าวด้วยกัน เดินชมมหานครกุ่นโจวเพื่อให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม แล้วแวะไปที่หอศิลาทองคำด้วย”
ซูอี้สั่งกำชับ
ฉาจิ่นกำลังต้มชาไม่ไกลนักรีบตอบรับ นางอยากจะซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนใส่ชุดกระโปรงสวย ๆ ตั้งนานแล้วเช่นกัน
——
หอเสียดเมฆา
ถือเป็นภัตตาคารชั้นยอดในมหานครกุ่นโจว สูงถึงร้อยวา
ในตำหนักชะเง้อดาว
เมื่อโจวจือหลี ชิงจิน มู่จงถิง ฉางกั้วเค่อมาถึง อวี๋ไป๋ถิงผู้เป็นใหญ่ในตระกูลอวี๋ก็มารออยู่ก่อนแล้ว
“ขออภัยที่ให้ผู้อาวุโสอวี๋มารอ”
พอเดินเข้าตำหนัก โจวจือหลียิ้มพลางประสานมือคารวะ
อวี๋ไป๋ถิงลุกขึ้น เพียงแต่พยักหน้าน้อย ๆ กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “องค์ชายหก นั่งเถิด”
เห็นว่าเขามีท่าทีเย็นชาเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของโจวจือหลีก็พลอยเลือนหายไปด้วยเช่นกัน เขานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอวี๋ไป๋ถิง
มองดูอาหารโอชะแต่ละอย่างบนโต๊ะแล้ว โจวจือหลีจึงกล่าวว่า “ผู้อาวุโสอวี๋เรียกข้ามาในวันนี้ เพื่อกินข้าวดื่มสุรา หรือว่ายังมีเรื่องอื่นอีก?”
อวี๋ไป๋ถิงหัวเราะด้วยสีหน้าราบเรียบ กล่าว “ฝ่าบาทช่างตรงไปตรงมาจริง ๆ ถ้าเช่นนั้นอวี๋ผู้นี้ก็จะพูดตามตรง”
“น้อมหูรับฟัง”โจวจือหลีพยักหน้า
อวี๋ไป๋ถิงนั่งยืดตัวตรง ความน่าเกรงขามอย่างไร้ตัวตนแผ่กระจายออกมา แล้วกล่าวตอบ “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ทำให้ข้ารู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก อวี๋ผู้นี้บังอาจอยากจะทำการค้าบางอย่างกับฝ่าบาท”
โจวจือหลีขมวดคิ้ว ถามด้วยความสงสัย “เมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นเช่นนั้นหรือ?”
อวี๋ไป๋ถิงร้องฮึ พลางกล่าว “ฝ่าบาท ถึงเวลานี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีก”
โจวจือหลีสงสัยหนักยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “ผู้อาวุโสอวี๋ เจ้าเข้าใจผิดแล้วกระมัง เมื่อคืนนี้ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น”
“ฝ่าบาทมีสถานะสูงส่งถึงเพียงนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะกระทำเรื่องชั่วช้าเลวทราบเช่นนั้นด้วยตนเอง”
แววตาของอวี๋ไป๋ถิงราบเรียบน่ายำเกรง “แต่ฝ่าบาทคงจะไม่ลืมหรอกกระมังว่าคนหนุ่มข้างกายนามว่าซูอี้คนนั้น เมื่อคืนนี้ได้ทำเรื่องอันใดไว้?”
น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งการย้อนถาม
ท่าทางเช่นนี้ทำให้โจวจือหลีไม่ชื่นชอบเอามาก ๆ
ทว่า เมื่อได้ยินคำว่าซูอี้ เขาถึงกับนิ่งตะลึง ก่อนจะกล่าวว่า “เกี่ยวกับคุณชายซู?”
ชิงจิน ฉางกั้วเค่อ มู่จงถิงก็ตะลึงเช่นกัน นี่มันเรื่องอันใดกัน หรือว่าซูอี้สร้างความเดือดร้อนแก่ตระกูลอวี๋เข้าแล้ว?
อวี๋ไป๋ถิ่งกล่าว “ฝ่าบาท คนอยู่ในที่สว่างไม่พูดจาหมกเม็ด ข้าขอถามเพียงแค่ประโยคเดียว ซูอี้คนนี้เป็นผู้ใต้บัญชาของฝ่าบาทใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่” โจวจือหลีส่ายหน้า “เขาเป็นสหายของข้า แต่ข้าไม่ได้เจอหน้าเขามาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว…”
ไม่รอให้เขาอธิบาย อวี๋ไป๋ถิงหยุดมือตัดบท “ฝ่าบาท ไม่จำเป็นต้องอธิบายอีก เจ้ายอมรับแล้วว่ามีความเกี่ยวข้องกับซูอี้ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
เห็นว่าอวี๋ไป๋ถิงมีท่าทีไร้ความเกรงใจเช่นนี้ โจวจือหลีก็หงุดหงิดเช่นกัน กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ผู้อาวุโสอวี๋หาข้าในวันนี้เพื่อจะคาดคั้นเอาความผิดเช่นนั้นหรือ?”
บรรยากาศในตำหนักใหญ่เปลี่ยนไป มีความกดดันอึดอัดมาแทนที่
“ไม่ ต่อให้อวี๋ผู้นี้กล้าดีถึงเพียงใดก็ไม่บังอาจผิดใจกับฝ่าบาทได้”
อวี๋ไป๋ถิงสีหน้าราบเรียบกล่าว “อวี๋ผู้นี้เพียงแค่ต้องการจะทำข้อตกลงกับฝ่าบาทเท่านั้น ขอเพียงฝ่าบาทฆ่าซูอี้คนนั้น ข้ารับรองว่าจะสนับสนุนคนที่ฝ่าบาทเสนอในงานประชุมเลี้ยงน้ำชา”
“ฆ่าซูอี้?”
โจวจือหลีตะลึงงัน กล่าวด้วยความโมโห “ผู้อาวุโสอวี๋ ซูอี้ไม่ใช่ผู้ใต้บัญชาของข้า หรือต่อให้เขาเป็นผู้ใต้บัญชาของข้าจริง ข้าก็ไม่มีทางจะรับปากในเรื่องนี้!”
ล้อเป็นเล่นไป บุคคลอย่างซูอี้ ไม่ใช่ระดับที่ปรมาจารย์ในโลกธรรมดาเช่นนี้จะเทียบชั้นได้ มีแต่เพียงคนโง่เขลาเบาปัญญาเท่านั้นจึงจะกระทำในเรื่องงี่เง่าเช่นนั้นได้!
อวี๋ไป๋ถิงสีหน้าเคร่งขรึมลง พลางกล่าว “อวี๋ผู้นี้ขอกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม เมื่อคืนวาน ข้าได้พบกับเจ้าแคว้นเซี่ยงเทียนชิวแล้ว ฝ่าบาทมั่นใจหรือว่าเพื่อซูอี้เพียงคนเดียวถึงกับยอมสูญเสียการสนับสนุนจากตระกูลอวี๋ของข้า?”
“ข้าขอให้ฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาตรึกตรองให้ดี อย่าได้วู่วาม เพราะอย่างไรเสีย ข้าก็ไม่ต้องการจะสร้างความขัดเคืองแก่ฝ่าบาทเพื่อคนหนุ่มคนนี้เพียงคนเดียว”
น้ำเสียงเย็นชาและราบเรียบ
พูดจบ อวี๋ไป๋ถิงก็ยกสุราขึ้นดื่มเงียบ ๆ