บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 172 ความสำเร็จเป็นของผู้ตั้งใจ
ตอนบ่ายคล้อย
ณ เรือนพำนักหินศิลา
ดอกบัวไหวเอนในสระ
ซูอี้เอนหลังอยู่บนเก้าอี้หวาย หลับตาพักเอาแรงภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงอันอบอุ่น
วันนี้ตอนที่อยู่ในหอศิลาทองคำ หลังจากที่ขายของที่ไม่ได้ใช้เสร็จ ได้มาเพียงแค่หินวิญญาณลำดับสามจำนวนสิบก้อนเท่านั้น
ช่วยไม่ได้ หินวิญญาณลำดับสามหายากและมีน้อย ไม่อาจเทียบได้กับหินวิญญาณลำดับสอง
ในเขตแดนของอาณาจักรต้าโจว เวลาที่ยอดยุทธ์ฝึกตนไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ใช้ของล้ำค่าเช่นนี้
ทว่าสำหรับซูอี้แล้ว ระยะกลางของขอบเขตรวบรวมลมปราณ มีแต่พลังบริสุทธิ์ที่อยู่ในหินวิญญาณลำดับสามเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งที่สุดให้กับเขาได้
ส่วนหินวิญญาณลำดับสอง ถึงแม้จะสามารถนำมาฝึกตนได้ ทว่าหากนำมาฝึกฝนรากฐานแล้ว ผลของมันยังด้อยไปสักหน่อย
“หินวิญญาณลำดับสามจำนวนสิบก้อน พอใช้ได้เพียงแค่สิบวันเท่านั้น” ซูอี้แอบบ่น
มิน่าเล่า ในโลกคนธรรมดาแห่งนี้ บุคคลประเภทปรมาจารย์จึงถูกชื่นชมจนกลายเป็นดั่งเทพมังกรบนสวรรค์ ทรัพยากรในการฝึกตนนั้นขาดแคลนเสียเหลือเกินเช่นนี้เอง
ของมีน้อยจึงล้ำค่า
ก็เหมือนกับราคาของหินวิญญาณลำดับสามที่แพงมากเช่นนี้ ก้อนเดียวเทียบเท่าได้กับหินวิญญาณลำดับสองถึงหนึ่งร้อยก้อน!
“ต่อไปหากยึดของมาได้ ก็สามารถนำไปขายให้กับหอศิลาทองคำได้ เช่นนี้ก็สามารถแลกหินวิญญาณลำดับสามได้อย่างพอเพียง”
ซูอี้กำลังครุ่นคิดตรึกตรอง ฉาจิ่นเดินมาจากอีกทาง “คุณชาย วันนี้ท่านอยากจะทานอะไร?”
นางเปลี่ยนไปใส่เสื้อสีรากบัวที่ตัดเย็บเรียบง่ายแต่งดงามกับกระโปรงสีน้ำเงินที่ตัดเย็บประณีต รับกับเอวกลมคอดบาง มวยผมขึ้นสูง ใบหน้าสว่างใสมีน้ำมีนวล เนตรงามชายมอง ริมฝีปากแดงระเรื่อ งดงามไปอีกแบบ
“มีสุรามีเนื้อก็พอแล้ว” ซูอี้เอ่ยขึ้นมาแบบไม่ใส่ใจ
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะออกไปซื้อเดี๋ยวนี้” ฉาจิ่นตอบเบา ๆ
ซูอี้โบกมือให้ “ไปเถิด”
ฉาจิ่นแอบโล่งอก นับตั้งแต่ต้องมาเป็นหญิงรับใช้ นางอยู่ข้างกายซูอี้ตลอดแทบไม่เคยออกห่างแม้ครึ่งก้าว ยังไม่เคยไปไหนมาไหนเพียงลำพัง
เดิมที นางยังกังวลอยู่ว่าซูอี้จะไม่รับปาก
ทว่าดูจากสภาพในตอนนี้แล้ว นางคงจะคิดมากไปเอง
“ก็สมควร วิญญาณของข้าถูกฝังด้วยบ่วงพันธนาการวิญญาณ คน ๆ นี้จึงไม่ต้องกลัวว่าข้าจะหนี…”
ฉาจิ่นแอบบ่นพึมพำ จากนั้นหมุนตัวแล้วจ้ำหน้าเดินออกไป
อาทิตย์ยามอัสดงส่องแสงสีแดงแกมส้ม น้ำสีเขียวใสในสระสะท้อนแสงระยิบระยับสวยงาม
มองดูทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ ทว่าซูอี้ที่เอนกายนอนบนเก้าอี้หวายกลับรู้สึกสับสนขึ้นมาเรื่องหนึ่ง
ที่แท้ไปตำหนักศึกษาเทียนหยวนก่อนดี หรือว่าไปหาเวิงอวิ๋นฉีเพื่อตรวจสอบชาติกำเนิดของชิงหว่านก่อนดี?
หรือว่าจะไปจวนตระกูลอวี๋ก่อน?
ฉับพลัน เสียงเคาะประตูดังมาแต่ไกล…
“คุณชายซูอยู่หรือไม่?”
หลังจากนั้นเสียงของโจวจือหลีก็ดังตามมา
ซูอี้นิ่งตะลึงไปชั่วครู่ พลันเข้าใจขึ้นมา เกรงว่าเรื่องนี้คงจะเกี่ยวข้องตระกูลอวี๋
เพราะอย่างไรเสีย เมื่อคืนนี้ตอนที่อยู่เมืองหยางขู่ ตนเองยังถูกคนอื่นเข้าใจผิดว่าเป็นลูกน้องของโจวจือหลี วันนี้โจวจือหลีมาหาถึงที่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลอวี๋
“ปีนกำแพงเข้ามา”
ซูอี้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายไม่ขยับเขยื้อน
เรือนพำนักหินศิลากินเนื้อที่กว้าง บัดนี้แม้กระทั่งบ่าวรับใช้สักคนก็ไม่มี ซูอี้ขี้เกียจจะไปเปิดประตูด้วยตนเอง
นอกเรือนพำนักหินศิลา
ปีนกำแพง?
โจวจือหลี ฉางกั้วเค่อ เจิ้งเทียนเหอ ทั้งสามคนต่างมองหน้ากัน ด้วยสถานะของพวกเขา หากว่าทำเช่นนี้จะแตกต่างอะไรจากโจรขโมย?
“คุณชายซูไม่มีพิธีรีตอง ไม่ต้องสนใจเรื่องเหล่านี้”
โจวจือหลีกระแอมขึ้นมาทีหนึ่ง จากนั้นปีนกำแพงก่อนเป็นคนแรก
ฉางกั้วเค่อกับเจิ้งเทียนเหอรีบตามติด กระทั่งองค์ชายหกยังไม่สนใจกับเรื่องเหล่านี้ พวกเขาไหนเลยจะกล้าเก็บมาใส่ใจ
อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็มองเห็นซูอี้ผู้ที่นอนเอนหลังอยู่บนเก้าอี้หวายริมสระ
“พี่ซู พวกเรามาโดยไม่ได้รับเชิญ ถือวิสาสะมารบกวน ได้โปรดให้อภัยด้วย”
โจวจือหลียิ้มพลางประสานมือคารวะ
ซูอี้ส่งเสียงอืมตอบ เมื่อเห็นฉางกั้วเค่อถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ “เจ้าปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?”
ฉางกั้วเค่อสีหน้าเจื่อนไปชั่วขณะ ประสานมือกล่าว “เรียนคุณชาย บัดนี้ฉางผู้นี้อยู่รับใช้ข้างกายองค์ชายหก”
โจวจือหลีอธิบายอย่างใจเย็น “พี่ซู ท่านคงจะยังไม่รู้ อาจารย์ลุงฉางก็เหมือนกับอาจารย์อาชิงจิน ล้วนมาจากสำนักดาบมังกรเร้น ลงเขามาครั้งนี้ก็เพื่อมาช่วยเป็นกำลังให้ข้า”
ซูอี้ร้องอ้อ จากนั้นจึงเข้าใจ “มิน่าเล่า ทั้งที่เป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นสอง แต่กลับกล้าท้าทายพยัคฆ์เนตรคราม ที่แท้ก็มาจากสำนักมีชื่อ มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม”
ฉางกั้วเค่ออดสั่นสะท้านไม่ได้ รู้สึกตะหงิด ๆ ว่าคำกล่าวของซูอี้แฝงด้วยความเย้ยหยัน
“พี่ซู ท่านนี้คือญาติผู้พี่ของข้า เจิ้งเทียนเหอนายใหญ่แห่งตระกูลเจิ้งของมหานครกุ่นโจว เขาได้ยินกิตติศัพท์ของท่านแล้ว รู้สึกชื่นชมนับถือในตัวท่านมาก”
โจวจือหลียิ้มพลางแนะนำสถานะของเจิ้งเทียนเหอ
“เจิ้งผู้นี้คารวะคุณชาย!”
เจิ้งเทียนเหอประสานมือคารวะ กล่าวด้วยความยินดี
หากว่าเป็นอดีต ตอนที่ยังไม่รู้ที่มาที่ไปของซูอี้ เห็นเขานั่งแช่อยู่ตรงนั้น ไม่รู้จักลุกขึ้นแสดงความเคารพตอบ เจิ้งเทียนเหอต้องโกรธเกรี้ยวเป็นแน่
ทว่าเมื่อรู้กิตติศัพท์ที่ผ่านมาของซูอี้แล้ว และยังเห็นว่าองค์ชายหกกับฉางกั้วเค่อแสดงความเคารพนบนอบต่อเขาถึงเพียงนี้อีก เจิ้งเทียนเหอไหนเลยจะสนใจพิธีรีตองเหล่านี้อีก?
ท่าทางเกียจคร้านแบบอหังการอย่างที่สุดของซูอี้เสียอีกที่ทำให้เจิ้งเทียนเหอเข้าใจว่าเช่นนี้จึงจะเหมาะสมกับคำว่า ‘เทพเซียน’!
ฉับพลัน สายตาที่เขามองดูซูอี้จึงแฝงเร้นไว้ซึ่งความเคารพ ในใจเริ่มครุ่นคิดขึ้นมาว่าควรจะสานสัมพันธ์กับคนหนุ่มผู้รอบรู้ทุกด้านคนนี้ได้เช่นใด
“ทุกท่านทำตัวตามสบาย ที่นี่ไม่มีบ่าวรับใช้ หากว่าต้องการดื่มชา เชิญหาเองได้”
ซูอี้เอ่ยขึ้นมา
เจิ้งเทียนเหอได้ฟังความยิ้มพลางตอบรับในทันใด “พวกเจ้าคุยกันไป เจิ้งผู้นี้จะไปต้มชา”
เขาไม่เกรงใจอีก ตรงไปยังหอที่อยู่ห่างออกไปเพื่อหาของมาต้มชา
เจิ้งเทียนเหอมีพฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้ซูอี้อดประหลาดใจไม่ได้ กล่าว “ผู้อาวุโสเจิ้งท่านนี้รู้จักยืดหยุ่น วางตนได้เป็นอย่างดี”
เป็นถึงหนึ่งในห้าของผู้กุมอำนาจสูงสุดแห่งแคว้นกุ่น เพียงแค่กระทืบเท้าทีเดียวก็สามารถพลิกผันชะตากรรมของหกเขตปกครองแคว้นกุ่นได้ เวลานี้กลับเต็มอกเต็มใจลดตนมาเป็นคนต้มชา!
หากพูดออกไป เกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ด้วยสถานะของพี่ซู เพียงพอจะให้ท่านพี่ของข้าต้มให้ด้วยตนเอง”
โจวจือหลีหัวเราะขึ้นมา
ซูอี้ชายตามองดูเขาครู่หนึ่ง กล่าว “มีเรื่องอันใด”
โจวจือหลีมองดูรอบด้าน เห็นว่าไม่มีเก้าอี้ตัวอื่นอีกจึงนั่งลงกับพื้น แล้วกล่าวออก
“วันนี้ตอนกลางวัน ข้าได้รับเชิญให้ไปพบอวี๋ไป๋ถิงที่หอเสียดเมฆา…”
พูดจบเขาก็เล่ารายละเอียดในการพบกัน
ได้ฟังความ ซูอี้ก็ยังอดไม่ได้ถึงกับนิ่งตะลึง ทว่าทันใดก็หัวเราะ “ข้ายังไม่ได้ไปคิดบัญชีกับตระกูลอวี๋ เขาก็เริ่มวางแผนจะแก้แค้นข้าแล้ว”
โจวจือหลีถือโอกาสนี้รีบถาม “พี่ซู ที่แท้แล้วเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”
ซูอี้ขี้เกียจจะสาวความยืดเรื่องเหล่านั้นอีก เขากล่าว “รอให้ฉาจิ่นกลับมา ให้นางเล่าให้ฟัง”
“อ้อ…”
โจวจือหลีกวาดมองดูรอบด้าน ไม่พบฉาจิ่น ทว่าเขาก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้ต่ออีก
ไม่นานนัก เจิ้งเทียนเหอก็ยกโต๊ะกับอุปกรณ์ต้มชามา ทั้งยังยกเก้าอี้มาให้โจวจือหลี ฉางกั้วเค่อ กับตัวเองนั่งด้วย จากนั้นเริ่มต้มชาที่ริมสระ ไม่มีท่าทางของคนใหญ่คนโตแม้แต่น้อย
ฉับพลันโจวจือหลีก็ลุกขึ้น แสดงความเคารพอย่างนอบน้อม “พี่ซู ข้ามาในครั้งนี้เพื่อขอบคุณที่ช่วยกำจัดองครักษ์ทั้งสามข้างกายพี่สามของข้า! บุญคุณยิ่งใหญ่นี้ วันข้างหน้าข้าโจวจือหลีจะตอบแทนท่าน!”
ซูอี้แสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
ฉางกั้วเค่อกล่าวอธิบายในทันใด “ที่องค์ชายกล่าวนั้นหมายถึงพวกของฮวาเหลียนซิ่วทั้งสามคนที่ถูกคุณชายฆ่าตายในคืนวันนั้น” ซูอี้จึงเข้าใจ สายตาที่มองดูฉางกั้วเค่อดูแปลกประหลาดไป เขากล่าว “เรื่องเดือดร้อนในตัวของเจ้ามีเยอะเสียจริง”
ฉางกั้วเค่อปั้นหน้ายาก
เขาเป็นคนมีคุณธรรมซื่อตรง ไม่ยึดติดกับสิ่งอันใด และก็เป็นผู้เก่งกาจของสำนักดาบมังกรเร้น กระทั่งโจวจือหลีก็ยังต้องให้ความยำเกรงต่อเขา
ทว่าเวลาที่อยู่ต่อหน้าซูอี้ เขากลับเงยหน้าไม่ขึ้น ถึงแม้จะถูกซูอี้มองว่าเป็นตัวเดือดร้อนอยู่หลายครั้งหลายครา ก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะโต้เถียงและแสดงความโกรธออกมา
“เฮ้อ ข้าก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า เสด็จพี่รองกับเสด็จพี่สามของข้าจะร่วมมือกัน เป็นเหตุสร้างความเดือดร้อนมาถึงอาจารย์ลุงฉาง” โจวจือหลีทอดถอนใจ
ซูอี้กล่าวเสียงราบเรียบ “เจ้าไม่ได้นำความเดือดร้อนมาให้แค่เขาเท่านั้น ยังมีข้าด้วย หากว่าองค์ชายสามรู้ว่าคนของเขาถูกข้าฆ่าตาย ต้องไม่นิ่งดูดายเป็นแน่ ส่วนตระกูลอวี๋เป็นเพราะคิดว่าข้าทำงานให้เจ้า เมื่อคืนจึงได้เกิดการปะทะขึ้น”
โจวจือหลีนั่งไม่ติดอีก ลุกพรึ่บขึ้น กล่าวรับรองเฉียบขาด “พี่ซูจงวางใจ เรื่องเดือดร้อนเหล่านี้มอบให้เป็นหน้าที่ข้าจัดการ!”
“เจ้า?”
ซูอี้ชายตามองดูเขาครู่หนึ่งพลันส่ายหน้า “กระทั่งคนอย่างอวี๋ไป๋ถิงเช่นนั้นก็ยังกล้าแปรพักตร์ต่อเจ้า เห็นได้ว่าในใจของเขา องค์ชายหกอย่างเจ้าไม่เอาไหนเลย”
คำกล่าวนี้ไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย ทำให้โจวจือหลีรู้สึกอึดอัด ความหมองหม่นไม่พอใจผุดขึ้นบนสีหน้า
เจิ้งเทียนเหอทำหน้าที่ต้มชาอยู่ตลอดถึงกับแอบตกใจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าซูอี้จะกล้าจนถึงขั้นว่ากล่าวและสบประมาทองค์ชายหกถึงเพียงนี้
สิ่งที่ทำให้เขาตื่นตระหนกยิ่งกว่าก็คือองค์ชายหกกลับไม่กล้าแสดงความโกรธและตอบโต้…
เห็นองค์ชายหกถูกต่อว่าจนก้มหน้าเงียบแล้ว ฉางกั้วเค่อนึกสงสารขึ้นมา พลางกล่าว “คุณชาย ถึงแม้องค์ชายหกจะไม่ได้มีกำลังแข็งแกร่งเหมือนดังองค์ชายรอง แต่หาได้แย่ถึงเพียงนั้นไม่…”
ซูอี้ตัดบท “เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเองยังเดือดร้อนไม่พออีกเช่นนั้นหรือ?”
ฉางกั้วเค่อพูดไม่ออก หน้าซีดหน้าดำสลับสับเปลี่ยน
เห็นว่าบรรยากาศเริ่มอึมครึมอึดอัด เจิ้งเทียนเหอรีบแก้สถานการณ์ “คุณชายอย่าได้โกรธไป อันที่จริง…”
“พอได้แล้ว”
ซูอี้ยกมือห้ามพลางถอนหายใจ สายตามองไปยังโจวจือหลี กล่าว “อีกสิบวันให้หลังที่งานเลี้ยงน้ำชา ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
พอโจวจือหลีผู้นิ่งเงียบด้วยสภาพจิตใจที่หมองเศร้าได้ยินก็ตื่นตัวขึ้นมาในฉับพลัน กล่าวราวกับยากนักจะเชื่อ “พี่ซู ท่านจะช่วยข้าจริงหรือ?”
เป็นเพราะตื่นเต้น น้ำเสียงจึงมีอาการสั่นสะท้าน
ฉางกั้วเค่อกับเจิ้งเทียนเหอมองตากัน รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาด้วยเช่นกัน ไม่นึกเลยว่าซูอี้จะรับปากช่วยเหลือขึ้นมาเอง
เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย
“เรื่องเดือดร้อนมาหาข้าแล้ว ข้าไม่ช่วยเจ้าได้หรือ?”
ซูอี้นวดหัวคิ้ว พลางกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนตอนที่อยู่อวิ๋นเหอ เจ้าก็ถือได้ว่าช่วยข้าจัดการสภาพย่ำแย่ถึงสองครั้ง อย่างไรเสีย ข้าก็ไม่อาจทนเห็นเจ้าถูกคนอื่นรังแกได้เช่นกัน”
โจวจือหลีรู้สึกดีใจและตื่นเต้นเต็มทรวง มุมริมฝีปากสั่นระริก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขารู้สึกราวกับน้ำตาอยากจะไหลริน…
เช่นนี้กระมังที่เรียกว่าความสำเร็จเป็นของผู้ตั้งใจ?
ที่แท้ในใจของซูอี้ยังคงคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ข้าทำเพื่อเขา!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินประโยคที่ว่า ‘ข้าก็ไม่อาจทนเห็นเจ้าถูกคนอื่นรังแกได้เช่นกัน’ หัวใจของโจวจือหลีรู้สึกอบอุ่นผ่าว ๆ
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เกิดความซาบซึ้งจนแทบไม่ทันตั้งตัว
ฉางกั้วเค่อกับเจิ้งเทียนเหอมองเห็นภาพนี้แล้ว ในหัวใจก็พลอยตื้นตันขึ้นมาเช่นกัน
เห็นองค์ชายหกซาบซึ้งจนขั้นนี้แล้ว ทำให้พวกเขาเข้าใจได้ว่ากว่าจะเชิญซูอี้ให้มาช่วยได้ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย!