บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 173 ถีบประตูเข้าไป
มหานครกุ่นโจว
ภัตตาคารเตามัจฉาอชะเป็นภัตตาคารเก่าแก่ที่ได้รับการยกนิ้วให้เป็นภัตตาคารอันดับหนึ่ง อาหารขึ้นชื่อคือปลาเก๋าย่างกับแพะย่างเต็มตัว
ปลากับแพะ ประกอบกันเป็นคำว่า ‘มัจฉาอชะ’
นี่ก็คือที่มาของชื่อภัตตาคารเตามัจฉาอชะ
เมื่อฉาจิ่นเดินออกมาจากภัตตาคารมัจฉาอชะ ฟ้าก็เริ่มมืดลงมาบ้างแล้ว
ด้านหลัง มีบ่าวสองคนติดตามฉาจิ่นอยู่ด้านหลัง คนหนึ่งถือกล่องอาหารที่ซ้อนทับกันจนสูงลิ่ว ส่วนอีกคนหนึ่งหิ้วไหสุรา
“ไม่รู้เช่นกันว่าตานั่นจะหิวแล้วหรือยัง…”
ฉาจิ่นจ้างรถม้ามาคันหนึ่ง พาบ่าวสองคนนั้นกลับไปด้วย ไม่นานนักก็มาถึงตรอกที่ตั้งของเรือนพำนักหินศิลา
เพิ่งลงจากรถม้า พลันชายหนุ่มรูปงามในชุดสีแดงก็เดินมาต้อนรับ
“ศิษย์น้อง สุดท้ายก็รอจนพบเจ้าจนได้”
ชายหนุ่มรูปงามในชุดสีแดงแสดงความปลื้มปีติ
ฉาจิ่นนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ในใจนั้นกลับรู้สึกตื่นตระหนก กวาดตามองดูรอบด้านอย่างรวดเร็ว จากนั้นกล่าว “ศิษย์พี่ ตามข้า…เจอได้เช่นใด?”
ชายหนุ่มในชุดสีแดงตรงหน้าคนนี้นามว่าลู่หาว คือคนที่เคยใช้ยันต์ดาบฟาดฟันซูอี้ตอนที่อยู่มหานครอวิ๋นเหอตอนนั้น
และก็เป็นศิษย์พี่ของนาง
“ที่นี่ไม่เหมาะจะพูดคุย ตามข้ามา”
ลู่หาวกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยน
พูดพลาง เดินนำทางไปก่อน
“พวกเจ้ารอข้าตรงนี้”
ฉาจิ่นสั่นบ่าวสองคนที่ถือกล่องอาหารกับไหสุรา จากนั้นจึงเดินตามไป
อยู่ ๆ ก็พบกับลู่หาวผู้เป็นศิษย์พี่ที่มหานครกุ่นโจว เดิมทีนางควรจะดีใจ
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด นางกลับดีใจไม่ออก ในใจมีแต่ความตื่นตระหนกและกลัดกลุ้ม
ไม่นานนัก ลู่หาวก็พาฉาจิ่นไปนั่งที่โต๊ะในโรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึมโครม
ชายหนุ่มชุดสีขาวผู้งามสง่านั่งอยู่ที่นี่ก่อนหน้าแล้ว
ลู่หาวก้าวขึ้นมาประสานมือคารวะพลางกล่าว “อาจารย์อาหลิ่ว ศิษย์น้องมาแล้วขอรับ”
“อาจารย์อาหลิ่ว มาได้เช่นใดกัน?”
เห็นชายหนุ่มชุดขาวแล้ว ฉาจิ่นยิ่งตื่นตระหนกกว่าเดิม
หลิ่วหงฉี
ผู้อาวุโสสายนอกสำนักวงเดือนแห่งอาณาจักรต้าเว่ย และก็เป็นผู้อาวุโสน้อยที่สุดในบรรดาผู้อาวุโสสายนอกยี่สิบท่าน มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่ว
เขาอายุเพียงแค่ยี่สิบเจ็ดปีก็เป็นปรมาจารย์ขั้นสามแล้ว!
ต้องเข้าใจว่าสำนักวงเดือนมีการฝึกตนที่เหนือกว่าโลกภายนอก อย่าได้มองว่าหลิ่วหงฉีเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์ขั้นที่สามเท่านั้น ด้วยในโลกภายนอกแห่งนี้ ระดับขั้นดังกล่าวนับได้ว่าเกินกว่าคนในขอบเขตเดียวกันจะสามารถเทียบได้
“รู้จากปากของศิษย์หลานลู่หาวว่าเจ้าประสบอันตราย ผู้อาวุโสในสำนักต่างพากันเป็นห่วง จะให้ข้าเพิกเฉยดูดายได้เช่นไร?”
หลิ่วหงฉียิ้มพลางกล่าว “หรือจะกล่าวว่า ครั้งนี้ข้ามาหาคนหนุ่มนามว่าซูอี้เป็นการเฉพาะก็ได้”
ชุดขาวของเขาขาวยิ่งกว่าหิมะ กิริยางดงาม ในความสุขุมแฝงไว้ซึ่งความทระนงที่ฝังลึกในกระดูก
ความเป็นจริง เขาสามารถจะทระนงได้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสายนอกของสำนักวงเดือนแห่งอาณาจักรต้าเว่ย เพียงพอที่จะมองยอดยุทธ์มากมายในโลกหล้าอยู่นอกสายตา
“มาเพราะซูอี้…”
หัวใจของฉาจิ่นยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น ไม่สนใจกับสิ่งอื่นอีก กล่าวขึ้นมาเบา ๆ “อาจารย์อา ฟังข้าพูดสักหน่อยได้หรือไม่?”
หลิ่วหงฉีนิ่งงัน พลันยิ้มอบอุ่น “ระหว่างข้ากับเจ้า ยังจะต้องเกรงใจอะไรอีก อย่าได้ทำห่างเหินเพียงนั้น”
ลู่หาวเห็นเช่นนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาตะหงิด ๆ
เขาชอบฉาจิ่นมาโดยตลอด และก็ทราบชัดเจนเป็นธรรมดาว่าหลิ่วหงฉีก็มีใจชอบฉาจิ่นมานานแล้วเช่นกัน
ไม่เช่นนั้น ไม่มีทางที่คนเย่อหยิ่งทระนงเช่นนี้รู้เรื่องแล้วจะรับอาสามาช่วยในทันที
ฉาจิ่นสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่งกล่าว “ขอเชิญอาจารย์อารีบกลับไปโดยเร็ว อย่าได้อยู่ในเขตแดนอาณาจักรต้าโจวอีก”
หลิ่วหงฉีนิ่งตะลึง นานมากจึงย่นหัวคิ้วถาม “เพราะเหตุอันใด?”
ฉาจิ่นสงบสติอารมณ์ พลางกล่าว “ซูอี้คนนั้นรอบรู้ไปทั่ว วิถีบำเพ็ญล้ำลึกยากจะหยั่งถึง หากเป็นปฏิปักษ์กับเขา อาจารย์อาอาจจะต้องเจอกับสิ่งไม่คาด…”
ไม่รอให้พูดจบ หลิ่วหงฉีก็ส่ายหน้าหัวเราะขึ้นมา “ข้ายังคิดว่าเป็นเพราะเรื่องอันใด ที่แท้เป็นเพราะซูอี้นี่เอง”
ลู่หาวที่อยู่อีกด้านก็หัวเราะพลางกล่าวเช่นกัน “ศิษย์น้องฉาจิ่น ข้าได้เล่าเรื่องของซูอี้ให้อาจารย์อาหลิ่วฟังหมดแล้ว ครั้งนี้อาจารย์อาเตรียมการมาพร้อม สามารถฆ่าโจรชั่วซูอี้ได้อย่างสบาย!”
“ไม่ผิด ซูอี้คนนี้สามารถใช้การฝึกตนขอบเขตรวบรวมลมปราณต้านทานการโจมตีของยันต์ดาบล้ำค่าจากเทพเซียนเดินดิน คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเทียบได้ แต่ก็เพราะเหตุนี้เช่นกัน ข้าจึงมาที่นี่ด้วยตนเอง”
หลิ่วหงฉีกล่าวเสียงเนิบ ”สำหรับเรื่องนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลต่อสิ่งใด”
ฉาจิ่นแอบร่ำร้องในใจ พลันกล่าวด้วยความร้อนใจ “อาจารย์อา ซูอี้คนนี้น่ากลัวมาก ไม่ได้ธรรมดาเหมือนดังที่พวกท่านคิดกันอย่างแน่นอน เขา…”
ลู่หาวอยากจะหัวเราะ เขาพูดตัดบท “ศิษย์น้อง ครั้งก่อนข้าเคยบอกไว้แล้วว่าเป็นเพราะเขาทำให้เจ้าตกใจ ยิ่งไปกว่านั้น หรือเจ้าคิดว่าอาจารย์อาหลิ่วไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นนั้นหรือ?”
ในใจของเขาอยากจะให้หลิ่วหงฉีแสดงฝีมือจัดการกับซูอี้เสียโดยเร็ว
ฉาจิ่นถึงกับพูดไม่ออก คำถามนี้เป็นคำถามตอบยาก
หลิ่วหงฉีหัวเราะน้อย ๆ หยิบจอกชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง กล่าว “เอาล่ะ เรื่องนี้ไว้ให้ข้าจัดการ”
“ศิษย์น้อง เจ้าคงยังไม่รู้ ข้ากับอาจารย์รู้เรื่องที่คนชั่วซูอี้จับเจ้าไปเป็นหญิงรับใช้ของเขาแล้ว การกระทำเช่นนี้ไม่อาจให้อภัยได้ สมควรต้องถูกฟันเป็นหมื่น ๆ ชิ้น!”
ลู่หาวกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบ
“พวกท่านรู้ได้เช่นใด?” ฉาจิ่นตะลึง
“ก่อนที่จะมามหานครกุ่นโจว พวกเราไปที่ศาลาคลื่นซัดทรายแห่งมหานครอวิ๋นเหอมา เรื่องนี้สืบได้ไม่ยาก ไม่อาจปิดบังซ่อนเร้นได้”
ในแววตาของลู่หาวแฝงไว้ซึ่งความทะนุถนอมสงสาร กล่าวเสียงอ่อนโยน “แต่ศิษย์น้อง เจ้าจงวางใจ เรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงของเจ้าเช่นนี้ ข้ากับอาจารย์อาจะไม่บอกให้ใครคนอื่นในสำนักรู้”
ฉาจิ่นรู้สึกสับสนวุ่นวายใจ ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเช่นใดดี
เรื่องเกี่ยวกับบ่วงพันธนาการวิญญาณ นางก็ยิ่งไม่อาจจะแย้มเอ่ยออกมาได้
ทว่าหากปล่อยให้หลิ่วหงฉี และลู่หาวไปหาซูอี้ดื้อ ๆ เช่นนี้ ก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากการก้าวหาความตายเลย
“จะทำเช่นใดดี?”
“ไปกันเถอะ พวกเราไปหาซูอี้กัน”
หลิ่วหงฉีลุกขึ้น ชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ สง่างามยิ่งนัก ดึงดูดสายตาคนในโรงน้ำชาจำนวนไม่น้อย
“ไม่ได้ จะไปไม่ได้เด็ดขาด!” ฉาจิ่นโพล่งออกมา
หลิ่วหงฉีตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นถอนใจเบา ๆ “ดูท่าแล้ว เจ้าคงจะโดนโจวรชั่วซูอี้ข่มขู่จนกลัวจริง ๆ ช่วงหลายวันมานี้เจ้าถูกบังคับไปเป็นหญิงรับใช้ของโจรชั่วนั่น… คงจะลำบากมากเลยกระมัง?”
“เอ่อ…” ฉาจิ่นนิ่งเงียบไป
“ข้า หลิ่วหงฉีเกลียดที่สุดก็คือคนเลวที่ชอบรังแกผู้หญิง ลู่หาว เจ้านำทาง พวกเราไปฆ่าคนชั่วกัน”
หลิ่วหงฉีมือไพล่หลัง ประกายเย็นยะเยือกผุดขึ้นในสายตา
“ขอรับ”
ลู่หาวพยักหน้าพลางเดินออกไปจากโรงน้ำชา
“พวกเจ้ารู้ว่าเขาอยู่ที่ใดเช่นนั้นหรือ?” ฉาจิ่นตกใจรีบไล่ตามไป
“พวกเราสามารถตามมาจนถึงที่นี่ได้ ย่อมรู้เป็นธรรมดาว่าเวลานี้เขาอยู่ที่ใด”
หลิ่วหงฉียิ้มเผยอยิ้มบาง ๆ มั่นใจในตัวเองอย่างเต็มที่ “หากไม่ใช่เพราะเป็นห่วงว่าลงมือแล้วจะกระทบกระเทือนไปถึงเจ้า พวกเราไปสถานที่ที่ชื่อว่าเรือนพำนักหินศิลาเพื่อฆ่าเขาตั้งนานแล้ว”
สีหน้าของฉาจิ่นเปลี่ยนไปเล็กน้อย เวลานี้นางจึงรู้แล้วว่าหลิ่วหงฉีกับลู่หาวใช่ว่าเพิ่งมาถึงมหานครกุ่นโจว
มิเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่จะรู้จักแม้กระทั่งเรือนพำนักหินศิลา
อีกทั้ง มหานครกุ่นโจวกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ มีประชากรจำนวนหลายล้านคน ทว่าพวกเขากลับตามหาตนเองพบอย่างถูกจังหวะ เช่นนี้มันบังเอิญเกินไปแล้ว
“อาจารย์อาหลิ่ว ที่แท้พวกท่านตามหาข้าเจอได้เช่นใด?”
ฉาจิ่นทนไม่ไหวถามขึ้นมา
“ตอนที่ข้าออกจากสำนัก อาจารย์ของเจ้าบอกแก่ข้า อาศัยพลังของหยกพยับไขสะท้านก็สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอาย ‘ดาบคู่จันทรคราส’ ที่เจ้าพกติดตัวอยู่”
หลิ่วหงฉีเอ่ยความลับออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…”
ฉาจิ่นจึงเข้าใจขึ้นมา ดาบคู่จันทรคราสเป็นอาวุธที่อาจารย์ของนางมอบให้ สามารถใช้วิธีเช่นนี้ตามหานางจนพบ ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
เห็นว่าหลิ่วหงฉีกับลู่หาวเดินเข้าไปในตรอกอันเป็นที่ตั้งของเรือนพำนักหินศิลาแล้ว ฉาจิ่นสะดุ้งวาบ ไม่มีเวลาให้คิดมาอีก นางจึงรีบไล่ตามไป
“อาจารย์อา…”
ฉาจิ่นกำลังจะเข้าห้าม หลิ่วหงฉีกลับหยุดนางไว้พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ฆ่าซูอี้เสร็จแล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับสำนัก”
พูดจบก็มีเสียงดังปัง ไม่ไกลนักประตูใหญ่ของเรือนพำนักหินศิลาถูกลู่หาวเตะกระเด็น
“อาจารย์อาหลิ่ว เชิญ!”
ลู่หาวเบี่ยงตัวหลีกทางให้
หลิ่วหงฉีพยักหน้า แล้วกล่าว “เจ้าดูแลฉาจิ่นให้ดี ข้าไปประมือกับคน ๆ นั้นคนเดียวก็พอ”
พูดแล้วก็เดินส่ายอาด ๆ เข้าไปในเรือนพำนักหินศิลา
ฉาจิ่นโมโหจนแทบบ้า
ตัวเองพยายามเตือนอยู่หลายครั้ง เหตุใดจึงไม่ยอมฟังกันบ้าง?
นางย่างเท้าเตรียมจะวิ่งเข้าเรือนพำนักหินศิลา กลับโดนลู่หาวขวาง และกล่าวว่า “ศิษย์น้อง หากว่าเจ้าเข้าไปแล้ว จะทำให้อาจารย์อาหลิ่วเสียสมาธิ พวกเราอยู่รอฟังข่าวดีของอาจารย์อาหลิ่วอยู่ตรงนี้ดีแล้ว”
สายตาของเขาอ่อนโยน น้ำเสียงอ่อนหวาน “ฆ่าซูอี้แล้ว หากว่าเจ้าไม่อยากจะกลับสำนักพร้อมอาจารย์อาหลิ่ว พวกเราสองคนไปที่อื่นด้วยกัน อย่างไรเสียเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าก็จะอยู่กับเจ้าที่นั่น”
แถบดำผุดขึ้นเต็มสมองฉาจิ่น โมโหจนแทบคลั่ง
นี่มันเวลาอะไรกันแล้ว เหตุใดยังพูดถึงเรื่องเหล่านี้อยู่อีก?
—–
เรือนพำนักหินศิลา ด้านหนึ่งของสระ
“พี่ซู อีกสิบวันให้หลัง งานเลี้ยงน้ำชาที่เซี่ยงเทียนชิวจัดขึ้นจะเปิดฉาก ณ ยอดเขาซีซานที่นอกเมือง”
“ถึงเวลานั้น จวนเจ้าแคว้น กองกำลังเกล็ดแดง กับห้าผู้นำใหญ่ของตระกูลเก่าแก่จะพาคนเข้าไปร่วมงานด้วย”
“บอกว่าเป็นงานเลี้ยงน้ำชา ความจริงแล้วเป็นการงัดข้อกันระหว่างข้ากับเสด็จพี่รอง ดูว่าท้ายสุดใครจะเป็นผู้คว้าตำแหน่งเจ้าแคว้นไว้ในอุ้มมือ”
โจวจือหลีพูดรัว “บัดนี้ ตระกูลเจิ้งที่ท่านพี่ของข้าอยู่สนับสนุนข้าแล้ว ผู้นำใหญ่ของตระกูลเสวียก็รับปากแล้วเช่นกันว่าจะอยู่ข้างเดียวกับข้า…”
ฟังถึงตรงนี้ ซูอี้เริ่มหมดความอดทน ยกมือขึ้น “ไม่ต้องบอกในสิ่งเหล่านี้ ข้าถามเจ้าเพียงแค่ว่า ถึงเวลานั้นจะมีการประมือกันหรือไม่?”
“เรื่องนี้…”
โจวจือหลีลังเลสักครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “หากว่าเจรจาไม่เป็นผล ก็มีแต่ต้องใช้กำลังมาตัดสิน”
ซูอี้ยิ้มหยัน “กล่าวด้วยวาจานั้นไร้น้ำหนักที่สุด ตามความเห็นของข้า ถึงเวลานั้นจะต้องมีการประมือเป็นแน่”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้…
ปัง!
เสียงถีบประตูก็ดังขึ้น
โจวจือหลี ฉางกั้วเค่อ เจิ้งเทียนเหอพากันนิ่งตะลึง เกิดเรื่องอันใดขึ้น?
ซูอี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายย่นคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย วันนี้ตนเองเพิ่งเข้ามาพักในเรือนพำนักหินศิลาก็มีคนมาหาเรื่องถึงที่แล้วหรือ?
อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มมือไพล่หลังในชุดเสื้อผ้าสีขาวสะอาดเดินมาจากอีกด้านหนึ่ง
ร่างของเขาสูงใหญ่ โดดเด่นไม่เหมือนใคร ดาบยาวในฝักเหน็บที่ข้างเอว ผมยาวสยายพลิ้ว งามสง่าทระนง
“หลิ่วหงฉี?”
ฉางกั้วเค่อลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายประกาย
สำนักดาบมังกรเร้นแห่งอาณาจักรต้าโจวกับสำนักวงเดือนแห่งอาณาจักรต้าเว่ยเป็นคู่ปรับเก่า ต่างฝ่ายต่างมีความแค้นยิ่งใหญ่ เขาจะไม่รู้สถานะของผู้ชายชุดขาวคนนี้ได้เช่นใด?
มองเห็นฉางกั้วเค่อแล้ว ฝีเท้าของหลิ่วหงฉีหยุดนิ่งไปชั่วครู่ หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยด้วยความคาดไม่ถึง “เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่ได้?”
ฉางกั้วเค่อสบถ “ข้าต่างหากที่ควรจะถามเจ้า ใครมอบความกล้าให้แก่เจ้า จึงบังอาจแอบเข้ามาในเขตแดนอาณาจักรต้าโจวของข้าได้?”
“อาจารย์ลุงฉาง คนที่ถีบประตูเข้ามาคนนี้คือใครกัน?” โจวจือหลีอดไม่ได้ถามขึ้นมา
ฉางกั้วเค่อตอบด้วยไม่คิดนาน “หลิ่วหงฉี ผู้อาวุโสสายนอกที่อายุน้อยที่สุดของสำนักวงเดือนแห่งอาณาจักรต้าเว่ย เป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกตนขอบเขตขั้นสาม อาจารย์ของเขา ‘ผู้หยั่งรู้อวี้หมิง’ คือผู้อาวุโสลำดับรองของสำนักวงเดือน”
สำนักวงเดือน!
สีหน้าของโจวจือหลีกับเจิ้งเทียนเหอเปลี่ยนไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทว่าซูอี้กลับไม่ค่อยเข้าใจมากนัก