บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 174 ปีนกำแพงตาย
ฉาจิ่นออกไปซื้ออาหาร ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา
ส่วนชายหนุ่มนามว่าหลิ่วหงฉีคนนี้กลับถีบประตูเข้ามา ซูอี้ไหนเลยจะไม่เข้าใจ?
เขานั่งสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น แอบคิดในใจว่าใช้ฉาจิ่นเป็นตัวล่อ ในที่สุดก็ตกได้กุ้งหอยปูปลามาตัวหนึ่ง
โจวจือหลีกับเจิ้งเทียนเหอหวาดผวาอย่างแรง
ถึงแม้ในโลกสามัญพวกเขาจะมีอำนาจล้นฟ้า ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสำนักวงเดือนซึ่งเป็นสำนักฝึกตนที่เหนือกว่าโลกสามัญเช่นนี้ ก็ยังคงไม่อาจสงบใจไม่ให้กลัวได้
ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มชุดขาวสะอาดตรงหน้าคนนี้ยังเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งของสำนักวงเดือนอีกด้วย!
สายตาของหลิ่วหงฉีสงบราบเรียบ แฝงไว้ซึ่งความหยิ่งทะนง “ข้ามาในครั้งนี้ เพียงเพื่อตัดขาดความแค้นส่วนตัว เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ข้าจะกลับอาณาจักรต้าเว่ยในทันที”
“ความแค้นส่วนตัว?” ฉางกั้วเค่อขมวดคิ้ว
หลิ่วหงฉีชี้นิ้วไปยังซูอี้ผู้ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายริมสระ “เขาคนนั้น”
สายตาของโจวจือหลีกับเจิ้งเทียนเหอเปลี่ยนไป แลดูพิกล ผู้ชายคนนี้โอหังมากไปแล้ว!
ฉางกั้วเค่อก็ตะลึงไปชั่วครู่หนึ่งเช่นกัน กล่าวราวกับไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าบอกว่าเจ้าจากอาณาจักรต้าเว่ยในครั้งนี้ก็เพื่อจะฆ่าคุณชายซู?”
หลิ่วหงฉีถอนใจบางเบาราวกับเย้ยหยันตัวเอง พลางกล่าว “น่าอับอายยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะคน ๆ นี้รังแกศิษย์หลานของข้า ด้วยสถานะของข้าไหนเลยจะคิดเล็กคิดน้อยกับคนตัวเล็ก ๆ ในโลกสามัญที่วุ่นวายเช่นนี้”
คนอื่น ๆ “…”
ถ่อมตัว? หรือยกตน?
หรือว่าการยึดมั่นในสถานะของตัวเองก็เป็นความทะนงตนไปอีกแบบ?
“หลิ่วหงฉี เจ้าจะโอหังเกินไปแล้ว คุณชายซูเป็นคนระดับใดอย่างเจ้าก็สามารถสบประมาทได้เช่นนั้นหรือ?”
ฉางกั้วเค่อแสยะยิ้ม สายตาส่องประกายเย็นยะเยือก
หลิ่วหงฉีหัวเราะน้อย ๆ พลางกล่าว “แน่นอน หลิ่วผู้นี้เข้าใจชัดเจนเช่นกัน ถึงแม้ซูอี้จะชั่วช้าสารเลว ทว่ามีพื้นฐานที่ไม่ธรรมดาเลย ฝึกตนอยู่ในช่วงขอบเขตรวบรวมลมปราณสามารถฆ่าปรมาจารย์ได้ และสามารถต้านทานแรงยันต์ดาบได้ จึงกล่าวได้ว่าเป็นคนเก่งมีความสามารถมากคนหนึ่ง”
“หากว่าเป็นเวลาอื่น เกรงว่าหลิ่วผู้นี้ก็คงจะเกิดความเสียดาย ต้องเชิญเขาไปฝึกตนที่สำนักวงเดือนเป็นแน่”
ฉางกั้วเค่อทนไม่ไหวบดขยี้เสียงหัวเราะออกมา แล้วกล่าวว่า “หลิ่วหงฉี ไม่ว่าเจ้าจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของคุณชายซูได้หรือไม่ แต่วันนี้ข้าฉางกั้วเค่ออยู่ตรงนี้ ไม่ยอมให้เจ้ามาทำรุ่มร่ามที่นี่เป็นอันขาด!”
โจวจือหลีกับเจิ้งเทียนเหอก็หัวเราะเย็นชาเช่นกัน
ฤทธิ์เดชของสำนักวงเดือนนั้นเป็นที่น่าเกรงขามหวาดกลัวก็จริง ทว่าที่นี่คืออาณาจักรต้าโจว ไม่ใช่อาณาจักรต้าเว่ย!
และตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ซูอี้ก็นั่งนิ่งดูความมืดครอบงำแสงอาทิตย์อัสดงในสระทีละน้อยอยู่ตรงนั้นโดยตลอด
สรรพสิ่งล้วนมืดมิด เป็นภาพอาทิตย์ลับแสงที่สวยงามมากภาพหนึ่ง
ส่วนหลิ่วหงฉี ได้ตายไปนานแล้วในสายตาของซูอี้ ไหนเลยจะสามารถเปรียบได้กับทัศนียภาพคลุมเครือในเวลาใกล้ค่ำตรงหน้าได้?
“หลิ่วหงฉีไม่ทำสงครามที่ไร้ความมั่นใจ ครั้งนี้ในเมื่อกล้าที่จะมา ก็ย่อมมีความมั่นใจเต็มพร้อม พี่ฉาง ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้เอาตัวสอดแทรก”
ไม่ไกลนัก สายตาของหลิ่วหงฉีเย็นยะเยือกลง ชั่วขณะที่กะพริบตาแววตาเต็มไปด้วยอาฆาตมาดร้าย
ชิ้ง!
ฉางกั้วเค่อเอื้อมมือชักดาบด้านหลัง ร่างสูงใหญ่แผ่ขยายพลังอันน่าสะทกสะท้านออกมา น้ำเสียงแข็งกระด้าง “อย่าพูดมาก ลงมือ!”
หลิวหงฉีขมวดคิ้วน้อย ๆ ปลายนิ้วกระดิก
สวบ!
ดาบเปล่งประกายประดุจไฟเผาโฉบออกมา หมุนตัวเป็นเกลียว ลอยอยู่บนปลายนิ้วของหลิ่วหงฉี
ดาบเล่มนี้มีอักขระบิดงอเข้าใจยากแผ่อยู่ภายนอก ส่องประกายเจิดจ้า ไอดาบเย็นสยิว รับกับเขาผู้กลายร่างเป็นเซียนดาบ ใครเห็นล้วนต้องครั่นคร้าม
“ยันต์ดาบ!”
ม่านตาของฉางกั้วเค่อหดขยายอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นสมบัติชิ้นดีที่ผู้ฝึกในวิถีต้นกำเนิดสร้างขึ้น พลังแห่งการโจมตีถึงขั้นสามารถฆ่าปรมาจารย์ได้
สีหน้าของโจวจือหลีกับเจิ้งเทียนเหอเปลี่ยนไปในทันใดเช่นกัน เพียงแค่มองดูจากไกล ๆ ก็สามารถทำให้พวกเขาขนลุกขนพอง รู้สึกได้ถึงอันตรายที่คืบคลานจะเอาชีวิต
“ครั้งก่อน ตอนที่ลู่หาวศิษย์หลานของข้าถือยันต์ดาบสะบั้นฟ้านี้มาฆ่าซูอี้ เขาสกัดต้านทานไว้ได้ ครั้งนี้ ข้าจะดูสิว่าเขายังจะสามารถต้านทานได้อีกหรือไม่”
หงหลิ่วฉีพูดเสียงเนิบ
เป็นสมบัติล้ำค่าดาบอาคมเหมือนกัน ทว่าอยู่ในมือคนที่ต่างกัน อานุภาพที่ปล่อยออกมาจึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ฉางกั้วเค่อ ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ถอยไปเดี๋ยวนี้ ข้าไม่อยากฆ่าเจ้าในถิ่นของอาณาจักรต้าโจว หากทำเช่นนั้น เกรงว่าชื่อเสียงสำนักดาบมังกรเร้นของพวกเจ้าจะได้รับความเสียหาย”
หงหลิ่วฉีตวาด คำกล่าวบีบคั้น เสื้อผ้าที่ใส่พองลม
“เข้ามาสู้กัน!”
ฉางกั้วเค่อแสยะหัวเราะ ใบหน้าราบเรียบ ไร้ซึ่งความหวั่นเกรง ดาบใหญ่ในมือส่งเสียงดังกังวาน ตั้งท่าเตรียมพร้อม
“เจ้าต้องใช้กี่กระบวนท่าจึงสามารถฆ่าเขาได้?”
จู่ ๆ ซูอี้ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายก็เอ่ยถาม
ฉางกั้วเค่อลังเลอยู่พักใหญ่ ๆ จึงกล่าวตอบ “หากว่าสู้ตาย ข้ามั่นใจกึ่งหนึ่งว่าสามารถรับมือเขาได้”
อานุภาพของสมบัติล้ำค่าดาบอาคมนั้นยิ่งใหญ่มาก ทำให้เขาต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
หลิ่วหงฉีหัวเราะออกมาในทันใด “อย่าได้ประมาณตัวเองสูงจนเกินไปหน่อยเลย”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย มั่นใจเต็มพร้อม
“สู้ตาย มีความมั่นใจเพียงครึ่งเดียว… หากว่าให้เจ้าประมือกับเขา สะพานทางเดิน สระน้ำ ดอกไม้ใบหญ้าละแวกใกล้ ๆ เหล่านี้ไม่ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยหรอกหรือ?”
ซูอี้พูดจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายด้วยท่าทีเกียจคร้าน “เจ้าถอยไป ข้าลงมือเอง”
คนอื่น ๆ “…”
ในโลกนี้มีเหตุผลในการฆ่าคนอยู่มากมาย ทว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินว่าลงมือเพื่อไม่ให้ดอกไม้ใบหญ้าถูกทำลายเสียหาย
เมื่อมาคิดดูให้ดี เหมาะสมกับนิสัยของซูอี้อยู่มาก
คนระดับเขาเช่นนี้ สิ่งที่ให้ความใส่ใจมักจะแลดู… ไม่เหมือนใคร
“หึ ๆ ฆ่าเจ้าในดาบเดียว ดอกไม้ใบหญ้าเหล่านี้จะได้ไม่เสียหาย”
หลิ่วหงฉีก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน
ยังไม่หมดหางเสียง เขากระดิกนิ้วแตะมิติเสมือน
ชิ้ง!
ดาบสีแดงที่ลอยเด่นเป็นสง่าเล่มนั้นก็กลายเป็นแสงสีแดงอัคคีพุ่งไปยังซูอี้ที่อยู่ไม่ไกลนัก
ท่ามกลางมิติเสมือน รอยเพลิงเผาผลาญถูกลากออกเป็นแนวยาว ระยิบระยับพร่างพราว
ดาบนี้รวดเร็วมาก
ฆ่าศัตรูในระยะไกล ดุดันไร้คู่ต่อสู้
ลำพังเพียงแค่กลิ่นอายสะท้านที่แผ่ออกมาจากตัวดาบก็น่ากลัวจนแทงเข้ากระดูกแล้ว พวกของโจวจือหลีมองดูทั้งแสบตา ทั้งขนลุกจนตั้งชัน
“ดาบเล่มนี้อยู่ในมือของเจ้า จะต่างอะไรไปจากการเหยียดหยามดาบชั้นสวรรค์”
ท่ามกลางเสียงทอดถอนใจเบา ๆ แขนเสื้อกว้างของซูอี้โบกสะบัด สองมือวาดลวดลายกลางอากาศ มือขวาประคองธาตุหยาง มือซ้ายประคองธาตุหยิน เคลื่อนมือประดุจการเคลื่อนย้ายของไทเก๊ก ผ่อนคลายแผ่วเบาประดุจนกนางแอ่นแตะน้ำ
พลังไร้รูปร่างที่ก่อตัวขึ้นจากพลังแห่งธาตุแท้ผุดออกมาจากสองมือที่เคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ของซูอี้
สวบ!
สมบัติล้ำค่าดาบอาคมที่พุ่งเข้ามาจากกลางอากาศร้ายกาจรุนแรงถึงเพียงใด ถึงขั้นสามารถฟาดภูผาฟันสายน้ำและยังสามารถฟันหัวของปรมาจารย์ได้
ทว่าเมื่อเข้ามาใกล้ตัวซูอี้ ฉับพลันก็ร่วงหล่นราวกับดาวตกที่ไร้การควบคุม ถูกพลังไร้รูปร่างกดกระแทกพื้นเกิดเป็นเสียงดังสั่นสะท้าน
ราวกับปลาน้อยแหวกว่ายเข้าไปในชั้นน้ำแข็ง เกือบจะถูกความแข็งกระด้างบีบรัด
นัยน์ตาของหลิ่วหงฉีจับจ้อง ส่งเสียงร้องตวาดออกมา
“เปิด!”
อักขระภายนอกดาบสีแดงแตกระเบิดเป็นลำแสง อานุภาพระเบิดสูงราวกับต้องการจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ
สีหน้าของซูอี้ไม่แสดงอาการสุขหรือทุกข์ ยังคงสงบราบเรียบเหมือนดังเดิม มีแต่เพียงสองมือที่เคลื่อนไหวสลับทิศทางราวกับกำลังดึงธาตุหยินรั้งธาตุหยาง พลันกดลงไป
ฉับพลันดาบสีแดงที่ยังดิ้นไม่หลุดถูกกดทับในมิติเสมือน มันลอยค้างอยู่ตรงหน้าซูอี้ มีแต่เพียงเสียงโอดครวญดังขับขานไม่หยุด
ฉางกั้วเค่อ โจวจือหลีมองภาพเหตุการณ์อันน่ามหัศจรรย์ไม่น่าเชื่อนั้นแล้วถึงกับอ้าปากตาค้าง
พลังอัศจรรย์เพียงใดกันจึงสามารถต้านทานสมบัติล้ำค่าดาบอาคมที่ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดทุ่มเทเลือดเนื้อกายใจหลอมสร้างขึ้นเล่มนี้?
เอื๊อก!
ไม่ไกลนัก หลิ่วหงฉีกระอักเลือด สีหน้าขาวซีดขึ้นมาทีละน้อย
ชั่วขณะนี้วิญญาณส่วนหนึ่งที่เขาตั้งสถิตอยู่บนดาบสีแดงถูกตัดขาดสะบั้น พลังกระชากกลับใส่ตัว
“เป็นไปได้เช่นใดที่ไอ้คนสมควรตายคนนี้ฝึกตนถึงแค่ขั้นขอบเขตรวบรวมลมปราณ?”
หลิ่วหงฉีทั้งโกรธทั้งตระหนก ความหวาดกลัวถาโถมซัดเข้ามาในจิตใจจนไม่อาจสงบได้อีก
เวลานี้ ซูอี้เอื้อมมือไปจับดาบสีแดงเล่มนั้นมาอยู่ในมือ พินิจมองดูสักครู่แล้วกล่าวด้วยความนึกเสียดาย “วัสดุไม่ธรรมดา วิธีหลอมบูชากลับหยาบกระด้างจนน่าขัน เปลืองวัตถุวิญญาณล้ำเลิศเช่นนี้เสียเปล่า”
ไม่ให้เขาเสียดายคงไม่ได้ หากให้เขาทำการหลอมบูชา อานุภาพของดาบเล่มนี้จะต้องเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้หลายเท่าอย่างแน่นอน ช่างหยาบกระด้างเหลือเกิน
น่าเสียดาย สมบัติล้ำค่าดาบอาคมเล่มนี้ไม่ใช่ดาบที่แท้จริง จึงไม่อาจหลอมบูชาและซ่อมแซมใหม่ได้ หากว่านำไปหลอมละลาย สิ่งที่ได้มาจะมีแต่เศษเหล็กกองหนึ่งเท่านั้น
ทันใด หลิ่วหงฉีชักดาบยาวที่เหน็บเอว พลันวิ่งเข้าหา
ชุดสีขาวสะอาดของเขา พลังวิถียุทธ์ในขอบเขตที่สามในตัวขับเคลื่อนเต็มกำลัง กลิ่นอายที่ปล่อยออกมาแข็งแกร่งยิ่งนัก คนขอบเขตเดียวกันในโลกสามัญยากนักจะเทียบเทียมได้
นี่คือผู้แข็งแกร่งที่ก้าวเดินออกมาจากสำนักอันมีระดับเหนือกว่าโลกสามัญอย่างสำนักวงเดือน แต่ละคนล้วนมีพื้นฐานน่ากลัว เหนือกว่าคนบนโลกสามัญในขอบเขตเดียวกัน
สำหรับบุคคลระดับอย่างหลิ่วหงฉีเช่นนี้ กระทั่งจะฆ่าผู้มีขั้นสูงกว่าในโลกสามัญก็ยังง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ
สวบ!
ดาบยาวในมือหลิ่วหงฉีราวกับสายรุ้งที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ไอดาบคุกรุ่น พลังห้ำหั่นฉวัดเฉวียนท่ามกลางฟ้าดิน ยิ่งใหญ่รุนแรงไร้ผู้ทัดเทียม
รับรู้ความแข็งแกร่งของซูอี้แล้ว ดาบนี้ของเขาจึงใส่พลังอย่างเต็มที่
เจิ้งเทียนเหอหนาวสันหลังจนเหงื่อไหล
ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้ใช้สมบัติล้ำค่าดาบอาคมอีกแล้ว ทว่าลำพังเพียงแค่ดาบนี้ดาบเดียวก็ทำให้คนระดับเดียวกันซึ่งอยู่ในปรมาจารย์ขั้นสามรู้สึกได้ถึงความสยดสยองและสิ้นหวัง!
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
นี่คือพลังแท้จริงของผู้สืบทอดสำนักวงเดือนเช่นนั้นหรือ?
กลับเห็นซูอี้ยื่นมือขวาออกมา วาดลายบางอย่างในอากาศ
ครู่ถัดมา ดาบที่หลิ่วหงฉีฟันลงมาก็ถูกหนีบระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลางจนขยับเขยื้อนไม่ได้
ทุกคนในเหตุการณ์เงียบกริบ
กำลังแห่งนิ้วมือกลับต้านทานดาบสยองอันหนักหน่วงราวกับอัสนีพิฆาตได้!
ไอดาบที่น่ากลัวเช่นนั้นกลับถูกกำลังนิ้วของซูอี้รับไว้ได้อย่างง่ายดาย กระทั่งริ้วรอยบาดแผลสักนิดบนผิวก็ยังไม่มี
“มีความสามารถเพียงเท่านี้หรือ?”
ประกายเย้ยหยันผุดขึ้นในสายตาของซูอี้
พื้นฐานน่ากลัวอันขับหลอมจาก ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ หลังจากการฝึกตนย่างเข้าสู่ระยะกลางของขอบเขตรวบรวมลมปราณแล้ว ทำให้เขาไม่เกรงกลัวอันตรายอันเนื่องจากพลังระดับนี้อีก
ควรต้องรู้ว่าตอนที่ห้ำหั่นกับพยัคฆ์เพลิงเนตรครามในตอนนั้น การฝึกตนของเขายังไม่สำเร็จ ทว่าสามารถกำราบสัตว์อสูรได้ด้วยมือเปล่า!
ส่วนพยัคฆ์เพลิงเนตรครามก็เป็นสัตว์อสูรระดับเก้าซึ่งหาพบได้ยากยิ่งกว่าปรมาจารย์ขั้นที่ห้าเสียอีก!
ขณะนี้ สีหน้าของหลิ่วหงฉีเปลี่ยนไปมาก เข้าใจถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว เขาทิ้งดาบหนีเอาตัวรอดแทบจะในทันที
ซูอี้ปล่อยไปเพียงสองกระบวน สามารถควบคุมสมบัติล้ำค่าดาบอาคมอย่างง่ายดายก่อนในตอนแรก ต่อมารับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของเขาได้อย่างงดงามมีรูปกระบวน โดนต้านรับสองครั้งเช่นนี้เปรียบได้กับโดนค้อนยักษ์ทุบทำลายความหยิ่งลำพอง ความมั่นใจ และเกียรติศักดิ์ศรีในใจของเขาจนย่อยสลาย!
ไหนเลยที่เขาจะไม่รู้ว่าครั้งนี้เตะโดนแผ่นเหล็กกล้าเข้าให้แล้ว?
ถึงแม้ในใจจะมีความสงสัยเพียงใด ไม่เข้าใจแค่ไหน ตื่นตระหนกมากเท่าไร ก็ยังทำได้แค่เพียงหนีเอาตัวรอดก่อนเท่านั้น!
“หนีไปเช่นนี้ เจ้าจะเผชิญหน้ากับความภาคภูมิใจในฐานะศิษย์ของสำนักวงเดือนได้เช่นใดกัน?”
ในน้ำเสียงที่เราบเรียบ ซูอี้ขยับข้อมือ นิ้วมือที่หนีบกระบี่ยาวอยู่ก็สะบัด
สวบ!
กระบี่ที่เดิมทีเป็นของหลิ่วหงฉีเล่มนี้กลายเป็นแสงเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วประดุจเพลิงไฟยิงออกไป
เอื๊อก!
หลิ่วหงฉีผู้ปีนกำแพงได้หนีไปไกลโขแล้ว ทว่ายังคงโดนดาบแทงทะลุจากข้างหลัง!