บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 175 สองทางเลือก
ที่ด้านนอกเรือนพำนักหินศิลา
เมื่อได้ยินเสียงดาบประหาร ใบหน้าของลู่หาวจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง “ยามนี้ยันต์ดาบถูกใช้ในมือของผู้อาวุโสหลิ่ว อำนาจของมันน่าทึ่งนัก แม้ไม่ได้อยู่ใกล้เคียงจิตวิญญาณยังสั่นคลอนมิอาจควบคุม!”
ทว่าหัวใจของฉาจิ่นตึงเครียดไม่อาจสงบ ใบหน้างดงามของนางแปรเปลี่ยนเป็นกังวลอย่างเด่นชัด เสียงประหัตประหารที่เกินขึ้นด้านในหาได้น่ายินดีไม่ นางรู้ดีว่าถัดจากนี้จะมีชีวิตที่ปลิดปลิวและชีวิตนั้นย่อมไม่ใช่ของซูอี้!
นางหันกลับและรีบเร่งเข้าไปในเรือนพำนักหินศิลา
แต่ทันใดนั้นลู่หาวเข้าขวางไว้ และเอ่ยอย่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ศิษย์น้องอย่าได้ใจร้อน ผู้อาวุโสหลิ่วได้เริ่มแล้ว ต่อให้เจ้าเข้าไปตอนนี้ เจ้าก็หาได้มีโอกาสจะหยุดยั้งสิ่งที่เกิด ยิ่งไปกว่านั้น ซูอี้จะตายในไม่ช้า เจ้าควรจะมีความสุขไม่ใช่หรือ?”
ฉาจิ่นแทบจะระเบิดอารมณ์ ถ้อยคำเอ่ยออกอย่างรุนแรง “ข้าหาได้กังวลเกี่ยวกับชีวิตของซูอี้! สิ่งที่ข้ากังวลขณะนี้คือผู้อาวุโสหลิ่วจะถูกสังหาร ศิษย์พี่อย่าได้ขวางข้า รีบให้ข้าเข้าไปก่อนทุกอย่าง…”
ทว่าก่อนที่นางจะพูดจบ ทันใดนั้น ทั้งฉาจิ่นและลู่หาวต่างแลเห็นร่างของผู้อาวุโสหลิ่วในชุดขาวพลันปรากฏทะยานเหนือกำแพง
ลู่หาวหัวเราะอย่างมีความสุขทันที “ดูเถิดสาวน้อย ผู้อาวุโสหลิ่วเขา…”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดคำว่า ‘ชนะ’ เขาเห็นร่างของหลิ่วหงฉีแข็งค้างในทันใด และทันใดนั้นปลายคมดาบทะลวงออกทางช่องท้องน้อยของชายหนุ่ม เลือดสาดกระเซ็นประหนึ่งน้ำพุ
จากนั้นร่างของหลิ่วหงฉีที่ลอยค้างอยู่เหนือกำแพงพลันร่วงหล่นราวกับใบไม้ร่วงกลับเข้าไปด้านในอาณาเขตของเรือน
พลั่ก!
เสียงตกกระทบดังขึ้นด้านหลังกำแพง
“นี่…”
ลู่หาวเบิกตากว้างในทันใด
ฉาจิ่นหนังศีรษะชาหนึบยามได้เห็นฉากนี้ ทั้งมือและเท้าของนางเย็นเยียบ เพียงไม่กี่ลมหายใจหลังจากเสียงดาบดังขึ้นในเรือน ขณะนี้ผู้อาวุโสหลิ่วพ่ายแพ้อีกทั้งชีวิตยังมอดม้วย
แลเห็นสีหน้าตกตะลึงของลู่หาว ฉาจิ่นจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกอย่างเร่งร้อน “รอที่ตรงนี้อย่าได้ไปไหน ข้าต้องไปประนีประนอมกับซูอี้ก่อน!”
พูดจบ ฉาจิ่นก็รีบเข้าไปในเรือนพำนักหินศิลาทันที
เมื่อนางเข้าไปด้านใน นางก็เห็นซูอี้กำลังนอนอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้านอยู่ที่ริมทะเลสาบ
ส่วนร่างของหลิ่วหงฉี นอนไม่ไหวติงอยู่ข้างกำแพง เลือดไหลนองออกจากร่างไม่ขาดสาย
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นดิน สีหน้ายังคงฉายแววตกตะลึงและตื่นตระหนก ราวกับว่าเขาไม่อยากเชื่อจนกระทั่งเขาสิ้นชีพ
ฉาจิ่นรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว มือและเท้าของนางเย็นเยียบทั้งที่วันนี้อากาศร้อนจัด ร่างกายที่บอบบางของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น สีหน้าแข็งค้างไม่รู้จะทำสิ่งใดต่อไปดี
“ถีบประตู ทะยานหนีข้ามกำแพงจากนั้นจึงตกตาย ผู้อาวุโสสำนักวงเดือนผู้โด่งดังแห่งต้าเว่ยจบชีวิตเช่นนี้ ช่างน่าสังเวชแก่ผู้พบเห็น”
เจิ้งเทียนเหอถอนหายใจด้วยอารมณ์
เพียงไม่กี่ลมหายใจ ตัวตนน่าสะพรึงกลัวปรมาจารย์วิถียุทธ์ขั้นสามแห่งสำนักวงเดือนถูกฆ่าตายเช่นนี้ เจิ้งเทียนเหอ ผู้นำแห่งตระกูลเจิ้งอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านอยู่ภายใน
“เป็นเพราะหยิ่งผยองจนเกินไป หากเตรียมตัวมาล่วงหน้าเขาจะต้องรู้ว่าพี่ซูหาใช่คนที่เขายั่วยุได้ไม่ ในความคิดของข้า การตายของเขานั้นสมควรแล้ว”
โจวจือหลีพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา
ฉางกั้วเค่อมองไปที่ฉาจิ่นแล้วเอ่ยถาม “สาวน้อย เจ้าสบายดีหรือไม่”
ฉาจิ่นสะดุ้งฟื้นสติ สะบัดหัวรัวเร็ว ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำอย่างขมขื่น “ข้าพยายามเกลี้ยกล่อมเขาไม่ให้มาแล้ว แต่…”
“เราพยายามแล้วที่จะเกลี้ยกล่อมเขา แม่นางฉาจิ่น เจ้าไม่อาจโทษพี่ซูเรื่องนี้ได้ เจ้าไม่รู้หรอกว่าชายผู้นี้หยิ่งผยองเพียงไรยามที่เข้ามา อีกทั้งเขาคือคนแรกที่ชักดาบ”
โจวจือหลีอธิบายอย่างรวดเร็ว
ฉาจิ่นส่ายหัวและเอ่ยว่า “คาดไม่ผิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น…”
“ไอ้สารเลวแซ่ซู! รอข้าก่อนเถิด เรื่องนี้ย่อมไม่จบลงง่าย ๆ!”
ทันใดนั้น บริเวณประตู ลู่หาวกรีดร้องด้วยโทสะ
ฉาจิ่นหัวเสีย นางโกรธมากจนแทบจะอาเจียนเป็นเลือด ศิษย์พี่ของนางคงวิ่งโร่กลับไปที่สำนักอีกครั้งเป็นแน่แท้ แล้วจากนั้นเขาคงพาคนกลับมาให้ซูอี้เชือด!
ทว่าเมื่อนางกำลังจะไล่ตามออกไป ฉางกั้วเค่อก็พุ่งผ่านนำนางออกไปก่อนแล้ว
แต่จากนั้นไม่นานนัก ฉางกั้วเค่อกลับมาพร้อมกับส่ายหัว ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำผิดหวัง “เขาหนีไปแล้ว”
โจวจือหลีและเจิ้งเทียนเหอมองหน้ากัน ก่อนสายตาทั้งคู่จะมองไปยังฉาจิ่น
เหตุการณ์นี้ฉาจิ่นย่อมเป็นผู้รู้สาเหตุดีที่สุด
ใจของฉาจิ่นปริ่มจะแหลกสลาย
นางพยายามห้ามหลิ่วหงฉีและลู่หาวตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ไม่มีใครฟังนางแม้เพียงหนึ่ง
ขณะนี้ผลลัพธ์ประจักษ์แก่สายตา หลิ่วหงฉีผู้อาวุโสอายุน้อยสุดของสำนักเสียชีวิตอย่างน่าอดสู!
สิ่งที่ทำให้ฉาจิ่นยอมรับไม่ได้มากขึ้นไปอีกก็คือลู่หาวยังคงโง่เขลากล้าตะโกนหวังจะแก้แค้นในภายหน้า…
ผ่านไปครู่หนึ่งฉาจิ่นสูดหายใจเข้า สงบสติอารมณ์ลง
“นายท่าน ข้า…”
ฉาจิ่นเพิ่งเปิดปากของนาง ทว่าซูอี้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายกลับย้อนถามอย่างเฉยเมย “อาหารเย็นที่เจ้าออกไปซื้ออยู่ที่ใดกัน?”
“เอ่อ…”
ฉาจิ่นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และพูดอย่างไม่รู้ตัวว่า “อยู่นอกตรอก”
“ยังรีรออะไรอยู่ ไปเอามันมาเสีย”
ซูอี้โบกมือ
“อือ”
ฉาจิ่นหันหลังกลับและรีบออกไปอย่างไม่รู้ตัว ทว่าเมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง นางเพิ่งได้สติว่านางยังไม่ได้อธิบายสิ่งใดแก่ซูอี้เลย…
นางถอนหายใจอย่างลับ ๆ พยายามปรามความสับสนภายในใจของตนเอง หลังออกไปนอกตรอก นางกวาดสายตามองหาคนรับใช้สองคนซึ่งนางสั่งให้ถือกล่องอาหารและขวดสุราตามนางมา
ที่ข้างทะเลสาบซูอี้เอ่ยขึ้นว่า “ช่วยข้าค้นหาของในตัวเขาและกำจัดศพเขาออกไปเสีย”
ฉางกั้วเค่อลุกขึ้นทันทีและเริ่มตรวจสอบสิ่งของบนตัวหลิ่วหงฉีอย่างรวดเร็ว การค้นนั้นชำนาญและละเอียดยิ่ง ทุกสัดส่วนของร่างกายหลิ่วหงฉีถูกค้นจนทั่ว ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเส้นผม ใต้วงแขน แม้แต่ชุดชั้นในยังถูกดึงกลับไปมา
โจวจือหลีรู้สึกทึ่งในทักษะของอีกฝ่าย ในชั่วพริบตา เขาตระหนักได้ว่าฉางกั้วเค่อผู้นี้คือ ‘มือฉมัง’ ในการค้นศพ!
ไม่นานนักสิ่งของมากมายก็กองอยู่เต็มพื้น
หลังจากเสร็จสิ้นการค้นหาของล้ำค่า ฉางกั้วเค่อก็หยิบขวดหยกขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อของตนเอง ก่อนจะเปิดฝาและเทผงหลากสีลงบนร่างกายของหลิ่วหงฉีเล็กน้อย
เพียงชั่วพริบตาสายตาของโจวจือหลีและเจิ้งเทียนเหอแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจอย่างยิ่งยวด ร่างกายของหลิ่วหงฉีซึ่งยังคงสมประกอบค่อย ๆ สลายไปทีละน้อย จนท้ายที่สุดกระดูกทั้งหมดกลายเป็นขี้เถ้าสีดำ เมื่อลมยามเย็นพัดผ่านมา แม้แต่ขี้เถ้าเหล่านั้นก็หายไป
“นี่… นี่คือวิธีการทำลายศพของสำนักดาบมังกรเร้นไม่ใช่หรือ?”
เจิ้งเทียนเหออุทานด้วยความหวาดกลัว
ฉางกั้วเค่อกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ถ้อยคำกล่าวอย่างเขินอาย “ผู้ที่ชื่นชอบในการพเนจรเช่นตัวข้า ย่อมเผชิญต่อเรื่องฆ่าฟันและปล้นชิงอยู่บ่อยครั้ง เพื่ออำพลางและหาทางหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้า ข้าจึงต้องเตรียมวิธีการที่เหมาะสมไว้จัดการกับเหล่าศพ ไม่นึกเลยวันนี้ข้าทำให้พวกท่านต้องหัวเราะตัวข้าแล้ว”
ขณะเดียวกัน ฉาจิ่นก็กลับมาพร้อมกล่องอาหารและขวดสุราแล้ว แต่เมื่อนางแลเห็นเสื้อผ้าสีขาวเปื้อนเลือดของหลิ่วหงฉีแผ่อยู่บนพื้น แต่ร่างกายของผู้เป็นเจ้าของกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย นางจึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าแสดงออกอย่างซับซ้อน
“พี่ซู เรื่องนี้จบลงแล้วข้าคงต้องขอตัวก่อน”
โจวจือหลีกล่าวอำลาอย่างนอบน้อม
ซูอี้พ่นลมหายใจและกล่าวว่า “เมื่อใดที่งานเลี้ยงน้ำชาเริ่ม จงมาหาข้าก็แล้วกัน”
โจวจือหลีพยักหน้ารับคำอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้าเขาก็จากไปพร้อมกับเจิ้งเทียนเหอและฉางกั้วเค่อ
ท้องฟ้ายามราตรีเป็นสีดำประหนึ่งหมึกย้อม ดวงดาวและดวงจันทร์กระจัดกระจาย
ในห้องที่สว่างไสว ซูอี้กำลังกินดื่มเพลิดเพลินกับปลาและเนื้อแกะย่างอย่างผ่อนคลาย
หลังจากกินจนเหลือแต่กระดูกแล้ว เขาก็โยนมันทิ้งไปที่ด้านข้างของลูกเสือซึ่งกำลังนั่งแลบลิ้นอยู่ที่พื้น
ลูกเสือน้อยสูดกลิ่นก่อนจะหลีกเลี่ยงมันด้วยความรังเกียจ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉาจิ่นจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเล็กน้อย นี่คือทายาทของพยัคฆ์เพลิงเนตรคราม หาใช่สุนัขจรจัดข้างทาง มันจะกินกระดูกได้อย่างไร?
“นายท่าน ท่านโกรธข้าต่อเหตุการณ์ที่เกิดวันนี้บ้างหรือไม่?”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉาจิ่นจึงถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้าจะโกรธไปเพื่ออะไร สาเหตุที่ข้าให้เจ้าอยู่เคียงข้างเป็นเพราะต้องการล่อศิษย์พี่ของเจ้าให้ปรากฏกายออกมาตั้งแต่แรก”
ซูอี้กระดกสุรารวดเดียวจนหมดจอกก่อนจะเอ่ยถ้อยคำอย่างเฉยเมยต่อ “หากพูดให้ถูกต้อง มันควรเป็นเจ้าเสียมากกว่าที่จะเกลียดข้า”
ฉาจิ่นรู้สึกขมขื่นและสับสนในใจ
ใช่ ข้าควรจะเกลียดชายผู้นี้ แต่เหตุใดในใจของข้าจึงไม่อาจรู้สึกเกลียดชังเขาได้เลย?
ตรงกันข้าม ข้ากลับไม่พอใจต่อผู้อาวุโสหลิ่วและศิษย์พี่ลู่หาว เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
ทันใดนั้น ซูอี้เบนสายตาจ้องไปยังฉาจิ่น และเอ่ยว่า “หลังจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ข้าพบว่าโทสะในใจของข้าหายไปสิ้นแล้ว ข้าให้ทางเลือกเจ้าสองทาง หนึ่งคือข้าจะปลดผนึกของเจ้าออกเสียและปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระไปตามทางของเจ้าเอง”
“อย่างที่สอง อยู่เคียงข้างข้าในฐานะสาวใช้ ในทางกลับกัน ข้าจะชี้แนะวิธีฝึกฝนให้เจ้าเพื่อตอบแทน และแน่นอน หากเจ้าอยากจากไปเมื่อใดข้าก็จะไม่รั้งไว้”
ฉาจิ่นเบิกตากว้างราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อหูของตนเอง จากนั้นนางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “จริงเหรอ?”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยกลับ “เจ้าอยู่กับข้ามาระยะหนึ่งแล้ว เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าข้าซูอี้ชัดเจนในเรื่องบุญคุณความแค้นกว่าผู้ใด อีกทั้งข้าทำตามวาจาที่กล่าวออกไปเสมอ”
ฉาจิ่นรีบส่ายหัว มีความเขินอายปรากฏบนใบหน้าที่มีเสน่ห์และสดใสของนาง “ข้า… ข้าแค่มีความสุขเกินไปจนลืมตัว… ”
ซูอี้พยักหน้าและกล่าวว่า “เจ้าลองไปคิดดูก่อน แล้วค่อยให้คำตอบข้าก็แล้วกัน”
ฉาจิ่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางต้องคิดเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน
หลังจากกินอาหารเสร็จ ซูอี้ก็เดินตรงกลับไปที่ห้องของเขาและเริ่มฝึก
ฉาจิ่นก็กลับไปที่ห้องของนางเช่นกัน นางเหม่อมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดในระยะไกล ในใจของนางมีส่วนหนึ่งไม่อยากจะจากไปจากที่ตรงนี้
“ถ้าข้ากลับไปที่สำนักตอนนี้ ผู้เฒ่าพวกนั้นจะต้องสงสัย เพราะหลิ่วหงฉีตายแล้ว พวกเขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าซูอี้จะปล่อยข้าไปง่าย ๆ อย่างนี้?”
“แต่ถ้าข้าเลือกจะอยู่ ข้าจะเป็นเพียงสาวรับใช้ รินชาและรินน้ำ…”
“แต่เขาบอกว่าจะชี้แนะข้าให้ฝึกฝน ด้วยวิธีการอันเหลือเชื่อของเขา ข้าจะได้รับประโยชน์อย่างยิ่งยวดแน่นอน ถ้าเป็นเช่นนั้น ได้อยู่เคียงข้างเขาก็คงดี…”
“แต่ภายภาคหน้าเมื่อคนจากสำนักกลับมาแก้แค้นอีกครั้งครา ข้าจะทำตัวอย่างไร?”
เวลาผ่านไป หัวใจของฉาจิ่นก็ยิ่งสับสน
ทันใดนั้น เสียงคร่ำครวญของลูกเสือดังขึ้นในห้องที่เงียบสงบ
ลูกเสือน้อยเดินส่ายหางเข้ามาหานาง ก่อนจะกระโดดขึ้นตักและซุกตัวนอนอย่างน่าเอ็นดู
รูปลักษณ์อันน่าเอ็นดูและไร้กังวลใจของลูกเสือน้อยทำให้ฉาจิ่นอิจฉาชั่วขณะหนึ่ง แม้แต่ลูกเสือน้อยตัวนี้ก็ยังมีชีวิตที่ดีกว่านางอย่างนั้นหรือ!
“ช่างเถิด ก้าวไปทีละขั้น อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนเอ่ยเอง หากข้าต้องการจะจากไปเมื่อใดในอนาคตเขาจะไม่รั้งไว้ เช่นนั้นแล้วข้าจะไปเมื่อไรก็ได้…”
ฉาจิ่นกัดริมฝีปากสีดอกกุหลาบของนางและตัดสินใจ
ทันใดนั้น ทั้งร่างรู้สึกผ่อนคลายอย่างฉับพลัน
เช้าวันรุ่งขึ้น
ซูอี้ฝึกฝนร่างกายอยู่ริมทะเลสาบ ขณะเดียวกับที่เขาผ่อนลมหายใจสุดท้ายเสร็จ ฉาจิ่นก็กลับมาจากด้านนอกพร้อมกับกล่องอาหารเช้า
เช้านี้นางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ใบหน้าสดใสเปล่งประกายกว่าทุกวัน ยิ่งเมื่อยามต้องแสงอรุณ นางยิ่งดูงดงามยากที่สตรีใดจะเทียบเทียม
นางพับแขนเสื้อขึ้น และวางอาหารทุกประเภทลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว จากนั้นเทโจ๊กใส่ชามให้ซูอี้และตัวนางเอง หลังจากที่อาหารทุกอย่างพร้อมสรรพ นางตะโกนอย่างเบิกบานว่า
“นายท่านได้เวลากินข้าวแล้ว”
สตรีงามที่บุรุษทุกคนต่างใฝ่ฝัน ขณะนี้คล้ายว่าจะคุ้นเคยกับงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งหลายเป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งยังดูสนุกสนานไปกับมัน
เมื่อเทียบกับตอนที่อยู่กับซูอี้ระยะแรก ขณะนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง