บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 177 ทำลายล้าง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เจิ้งมู่เหยาเม้มริมฝีปากและพูดอย่างไม่มั่นใจ “ท่านอาซูอี้ สาเหตุที่ท่านพูดครู่นี้มากมายเป็นเพราะท่านคิดว่าข้ารุกท่านเกินไปงั้นหรือ?”
ซูอี้กวักมือเรียก “มานี่สิ”
เจิ้งมู่เหยาสะดุ้งครู่หนึ่ง แม้ว่าในใจจะสับสน แต่นางก็ยังคงขยับร่างกายที่บอบบางของนางเข้าหาซูอี้และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลไพเราะว่า “ท่านอาซูอี้ ท่านจะทำอะไรข้าหรือ~”
ซูอี้เหยียดมือออกราวกับจะลูบไล้ใบหน้าของหญิงสาว แต่ทว่าถัดมาเขากลับหยิกแก้มของนางแทน!
ร่างกายเพรียวบางของหญิงสาวกลายเป็นแข็งค้างในทันที ใบหน้าซึ่งทรงเสน่ห์แปรเปลี่ยนเผยให้เห็นซึ่งความอัปยศภายในใจ นางขยับร่างกายออกไปราวกับถูกกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน
ดวงตาที่สวยงามของนางเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ยังคงลังเลที่จะพูด กำปั้นสีชมพูคู่หนึ่งกำแน่นอย่างเงียบงัน
“หวงเนื้อหวงตัวขนาดนี้งั้นหรือ คิดอ่านจะเป็นฝ่ายรุก?”
ซูอี้กลับไปนอนอย่างเกียจคร้านและพูดอย่างเฉยเมย “นับแต่นี้จงหยุดเสแสร้ง จงทำแต่สิ่งที่พ่อของเจ้าสั่งมาคือนำทางและแก้ปัญหาเล็กน้อยให้ข้า และอย่าได้ทดสอบข้าอีก พูดแค่นี้หวังว่าเจ้าคงเข้าใจ”
สีหน้าของเจิ้งมู่เหยาแปรเปลี่ยน ถ้อยคำเอ่ยออกอย่างเจ็บปวด “ท่านอาซูอี้ สิ่งใดคือการทดสอบ ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูดแม้แต่น้อย”
ดวงตาของซูอี้เผยแววชัดเจนและลึกล้ำ “เมื่อครู่นี้ที่เจ้ายั่วยวน หากข้ากระทำสิ่งใดที่ไร้ยางอายต่อเจ้าไป เจ้าคงคิดดูหมิ่นข้าและคิดว่าข้านั้นหาใช่คนดีเลิศเฉกเช่นที่บิดาของเจ้าเอ่ยชมให้เจ้าฟังก่อนมาพบข้า อีกทั้งเจ้าจะยิ่งพอใจกับความฉลาดของตัวเองเพราะอุบายของเจ้านั้นได้ผล”
“เอ่อ…”
เจิ้งมู่เหยากำลังจะโต้เถียง แต่เมื่อนางได้สบสายตาของซูอี้ที่ลึกล้ำราวกับสามารถมองทะลุทุกสิ่งของนางได้ นางรู้สึกผิดในทันทีก่อนจะก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัวและไม่กล้ามองซูอี้อีก
“เมื่อคืนพ่อของเจ้าคงคุยกับเจ้าไว้มากมาย และขอให้เจ้าสัญญาว่าจะรับใช้ข้าอย่างระมัดระวังไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถูกต้องหรือไม่?”
ซูอี้หยิบเหยือกบนตู้ไม้และรินสุราให้ตัวเอง
เจิ้งมู่เหยาก้มศีรษะลง ใบหน้าสวยของนางลังเล
“ด้วยนิสัยของเจ้า เจ้าน่าจะต่อต้านอยู่ในใจ ดังนั้นเจ้าจึงวางแผนทดสอบว่าข้าซูอี้ผู้นี้ไม่ได้ดีเด่ดังเช่นที่บิดาของเจ้าว่าเอาไว้”
ซูอี้ดื่มสุรารวดเดียวหมดจอกแล้วพูดต่อ “ด้วยวิธีนี้ เมื่อเจ้ากลับบ้านไปบอกบิดาของเจ้าว่าข้าซูอี้เป็นเช่นนี้เอง แม้บิดาของเจ้าจะไม่กล้าขัดแย้งกับข้า แต่เขาย่อมหาทางเลิกให้เจ้าทำเรื่องต่าง ๆ เคียงข้างข้า ด้วยวิธีนี้ เจ้าจะไม่ต้องเป็นเหมือนสาวใช้ ไม่ต้องทุกข์ใจต่อการต้องคอยรับใช้ข้าอีกต่อไป”
หลังจากได้ยินประโยคนี้ เจิ้งมู่เหยารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว มือของนางกำชายเสื้อแน่น ด้วยความลับทั้งหมดของนางถูกมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว และนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนก
ผู้ชายคนนี้เพิ่งพบกับนางไม่เท่าไร แต่กลับสามารถมองนางอย่างทะลุปรุโปร่งแบบนี้ได้อย่างไร?
ซูอี้ดื่มคนเดียวและพูดขึ้นอีกครา “ด้วยฐานะลูกสาวของผู้นำตระกูลเจิ้ง สถานะของเจ้าโดดเด่นเหนือใครโดยตลอดตั้งแต่เกิด อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นแม้ยามอยู่ในฝูงชนยังเป็นจุดสนใจของทุก ๆ คนอย่างไม่ต้องสงสัย มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าที่แค่เพราะคำพูดของบิดาเจ้าไม่กี่คำ เจ้ากลับต้องกลายเป็นประหนึ่งวัวม้ารับใช้ให้กับคนแปลกหน้า”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แต่เจ้าก็ฉลาดอยู่บ้างและรู้ว่าเจ้าไม่อาจล่วงเกินข้าได้อย่างโจ่งแจ้ง เพราะไม่เช่นนั้นหากเจ้าทำให้ข้าขุ่นเคือง พ่อของเจ้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยให้เจ้ารอดตัว ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่กระตุ้นให้เจ้าใช้กลอุบายความงามเข้าหลอกล่อข้า”
หลังจากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม
เจิ้งมู่เหยานั่งอยู่ที่นั่นอย่างว่างเปล่า เหี่ยวเฉาอย่างสมบูรณ์
คำพูดของซูอี้เป็นประหนึ่งมีดคมเฉือน ผ่ากลอุบายในหัวใจของนางออกทีละชั้น คล้ายกับเสื้อผ้าที่คลุมร่างกายของนางถูกถอดออก ทำให้นางรู้สึกอยากจะหนี
รถม้ายังคงแล่นผ่านเมืองไปเรื่อย ๆ
บรรยากาศในรถค่อนข้างอึมครึม
“เฮ้อ หากข้ารู้เช่นนี้ ข้าคงไม่เสียเวลาทำให้ตนเองต้องอับอาย”
เจิ้งมู่เหยาถอนหายใจอย่างหดหู่
ขณะนี้นางเกียจคร้านเกินกว่าจะเสแสร้งอีกต่อไปแล้ว คิ้วโค้งเข้ารูปยกขึ้นเล็กน้อย มุมริมฝีปากเผยซึ่งความเย้ยหยัน ดวงตาเผยประกายซึ่งความเย่อหยิ่งระคนดื้อรั้น จากจิ้งจอกแปรเปลี่ยนเป็นคล้ายดั่งแมวป่า
ในไม่ช้า นางก็หัวเราะขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของนางเร่าร้อนจับจ้องไปที่ซูอี้และกล่าวว่า “ท่านอาซูอี้ ข้าพบว่าข้าชอบท่านนิดหน่อย ต่อจากนี้ไป ข้าจะเชื่อฟังและสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านโกรธอีก”
ซูอี้พ่นน้ำลาย เหยียดขาทั้งสองข้างให้ตรง ถ้อยคำกล่าวอย่างเฉยเมย “เช่นนั้นก็ช่วยมานวดขาให้ข้า”
โดยไม่ได้เตรียมตัว ดวงตาที่สวยงามของเจิ้งมู่เหยาเบิกกว้าง
“???”
หลังจากกลั้นใจอยู่ครู่หนึ่ง นางกระซิบตอบอย่างเอียงอาย “ข้าจะลองดูก็แล้วกัน”
หญิงสาวชุดดำมากเสน่ห์สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเหยียดมือหยกขาวออกไปแล้วกดเบา ๆ บนน่องของซูอี้ ถู ทุบ เคาะ บีบ…
ลึกลงไปในหัวใจที่เย่อหยิ่งของหญิงสาว ความรู้สึกอับอายและความโกรธเพิ่มขึ้นอยู่เนือง ๆ แรงที่ออกจากนิ้วของนางเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
ทว่าซูอี้นอนหลับตาอย่างสบายราวกับไม่รับรู้ถึงความขุ่นเคืองของอีกฝ่าย
“บุรุษผู้นี้หยิ่งจองหองอันดับหนึ่ง เขาปฏิบัติกับข้าเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หาโอกาสทำให้ข้าดูโง่เง่า!”
เจิ้งมู่เหยากัดฟันของนางอย่างลับ ๆ ดวงตาที่สวยงามของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ไม่นานนักเมื่อนางเริ่มรู้สึกว่านิ้วของนางอ่อนล้า ทันใดนั้นซูอี้เอ่ยถ้อยคำออกเสียงดัง
“หยุด”
รถม้าหยุดทันที
จากนั้นซูอี้หยิบเทียนสีเลือดออกมาจากแขนเสื้อของเขา เทียนนั้นสีแดงสดเป็นประกาย อีกทั้งยังมีกลิ่นเลือดแผ่ออกจาง ๆ
เจิ้งมู่เหยาตกตะลึง ดวงตาของนางถูกดึงดูดไปที่เทียนโลหิต แต่ก่อนที่นางจะทันได้ถามอย่างใคร่รู้
ซูอี้ก็ลุกขึ้นและลงจากรถม้าไปเรียบร้อย
“เจ้ารออยู่ที่นี่”
“ที่นี่คือที่ใดกัน?”
ซูอี้ยืนอยู่หน้ารถม้าและมองไปรอบ ๆ
สารถีขับรถม้าเป็นชายชราร่างผอมบางที่ไม่ธรรมดา เมื่อได้ยินคำถาม เขาจึงเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว
“เรียนคุณชายซู นี่คือจตุรัสหย่งอัน ผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนี้เป็นพ่อค้าจากแดนอื่น นอกจากนี้ยังมีเหล่านักรบจากตระกูลธรรมดาทั่วไปจำนวนมากอยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง กล่าวโดยย่อคือ ผู้อยู่อาศัยที่นี่อยู่รวมกันหลากหลายชนชั้น”
ซูอี้พยักหน้า ถือเทียนสีเลือดอยู่ในมือข้างหนึ่ง เขาเดินไปที่ตรอกแคบ ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกล
ไม่นานร่างของเขาหายลับไปจากสายตา
“ลุงเหลียว ผู้ชายคนนี้กำลังทำอะไร”
ในรถม้า เจิ้งมู่เหยาโผล่หัวออกมาและถามด้วยความสงสัย
“เรียนคุณหนู ก่อนหน้านี้ข้าลอบเดาว่าชายหนุ่มผู้นี้เพียงแค่อยากจะเที่ยวชมเมืองเพื่อคุ้นเคยกับสถานที่ต่าง ๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแท้จริงแล้วเขากำลังมองหาใครสักคนอยู่”
เจิ้งมู่เหยาเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ “ใช้เทียนสีเลือดเพื่อหาใครสักคน ผู้ชายคนนี้แปลกไม่เหมือนใครเสียจริง”
ดวงตาของชายชราที่ชื่อลุงเหลียวกะพริบและพูดว่า “คุณหนู มีคนแปลก ๆ ที่ใช้วิธีลึกลับและคาดเดาไม่ได้ในโลกนี้มากมาย ในเมื่อบิดาของท่านเชิดชูปรมาจารย์หนุ่มผู้นี้อย่างออกนอกหน้า นั่นก็แปลว่าเขาคนนี้หาได้ธรรมดาไม่ ดังนั้นแล้วคนประเภทนี้ย่อมกระทำสิ่งใดโดยที่เราไม่อาจคาดเดาได้เสมอ”
“เหอะ ข้าไม่เห็นว่าเขาจะมีความสามารถอะไรที่น่ายกย่อง”
เจิ้งมู่เหยาหน้ามุ่ยก่อนจะเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “ความสามารถที่เขาเก่งกาจคือกลั่นแกล้งผู้คนและมีขาที่ใหญ่โตก็เท่านั้น!”
เหลียวป๋อยิ้มเบา ๆ พลางเอ่ยคำอย่างล้ำลึก “คุณหนู เป็นที่รู้กันทั่วว่าท่านเป็นแก้วตาดวงใจอันดับหนึ่งของนายท่าน แต่วันนี้นายท่านกลับต้องการให้ท่านละทิ้งสถานะของตนเอง ให้คอยปรนนิบัติรับใช้คุณชายซูผู้นี้ ท่านรู้บ้างหรือไม่ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
เจิ้งมู่เหยาตอบกลับอย่างเหนื่อยหน่าย “ไม่ใช่ว่าท่านพ่อต้องการใช้ข้าเป็นสายเชื่อมโยงเพื่อผูกความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเจิ้งและคนผู้นี้ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นไม่ใช่หรืออย่างไร?”
เหลียวป๋อส่ายหัว “คุณหนู นายท่านเคยทำเช่นนี้มาก่อนงั้นหรือไร? ท่านเคยต้องประสบกับความขมขื่นเช่นนี้มาก่อนหน้านี้สักคราหรือไม่?”
“แน่นอนว่าย่อมไม่เคยเลย”
เจิ้งมู่เหยาเริ่มสงสัย “ลุงเหลียว ท่านกำลังพยายามจะพูดอะไรกันแน่?”
เหลียวป๋อถอนหายใจ “บิดาย่อมวางแผนอนาคตที่มั่นคงให้กับบุตรอันเป็นที่รักยิ่ง คุณหนู สิ่งที่นายท่านทำขณะนี้คือสร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้แก่ตัวท่าน ไม่ว่าจะผิดหรือถูก อย่างน้อยในภายภาคหน้าท่านย่อมเข้าใจเจตนาดีของนายท่านอย่างแน่นอน”
เจิ้งมู่เหยาพ่นลมหายใจอย่างไม่เต็มใจ
…
ตรอกซอกซอย ท่ามกลางบ้านเรือนที่หนาแน่น
ซูอี้เดินผ่านเพียงลำพัง บางครั้งเหลือบมองลงไปที่เทียนสีเลือดในมือของตนเอง แต่กระนั้นฝีเท้ายังคงไม่หยุดก้าว
เทียนสีเลือดนี้เรียกว่า ‘เทียนสะกดรอยวิญญาณ’ ซึ่งพบจากร่างของฉู่ซื่อหลาง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ของพรรคมารหยินสาขาย่อยแห่งแคว้นกุ่น
สมบัตินี้กลั่นจากเลือดของเวิงอวิ๋นฉี ตราบใดที่เวิงอวิ๋นฉีปรากฏตัวในพื้นที่พันจั้ง เทียนนี้จะสามารถติดตามสัมผัสถึงกลิ่นอายของเขาได้
เหตุผลที่ซูอี้วันนี้ตระเวนไปทั่วเมืองด้วยรถม้าก็เพื่อใช้สิ่งนี้ค้นหาร่องรอยของเวิงอวิ๋นฉี
ถัดมาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
ซูอี้พลิกฝ่ามือเก็บเทียนสีเลือดกลับไปในจี้หยก และมองไปที่เรือนหลังหนึ่งที่ทรุดโทรมซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หันหลังกลับ
ขณะนี้เขาได้ทราบแล้วว่าเรือนหลังนั้นในตอนนี้เป็นที่หลบซ่อนของเวิงอวิ๋นฉี
อย่างไรก็ตาม ซูอี้ไม่ได้วางแผนที่จะพบกับเวิงอวิ๋นฉีในขณะนี้ ตราบใดที่ตำแหน่งของอีกฝ่ายถูกพบแล้ว เขาก็สามารถมาพบได้ทุกเมื่อในอนาคต
กลับมาที่หน้ารถม้าที่รออยู่ ซูอี้เอ่ยถามสารถี “การไปที่ตำหนักเทียนหยวนจะใช้เวลานานเท่าใด?”
เหลียวป๋อกล่าวตอบอย่างรวดเร็วว่า “ตำหนักเทียนหยวนตั้งอยู่บนภูเขานอกเมืองหลายสิบลี้ หากคุณชายต้องการ เราสามารถไปถึงที่นั่นได้ภายในครึ่งชั่วยาม”
ซูอี้พยักหน้า “ตำหนักเทียนหยวนอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปได้หรือไม่”
“ย่อมไม่”
เหลียวป๋อส่ายหัวแต่พลันยิ้มในทันที “ทว่า หากคุณชายต้องการจะเข้าไปจริง ท่านสามารถขอให้คุณหนูพาท่านเข้าไปได้ นางคือศิษย์ของผู้อาวุโสลำดับห้าแห่งตำหนักเทียนหยวน ‘เยว่อวี่ฉือ’ ด้วยสถานะของคุณหนู การพาท่านเข้าไปย่อมไม่ใช่เรื่องยาก”
“เช่นนั้นเราไปกันเถอะ”
ซูอี้พยักหน้าและเดินตรงเข้าไปในรถม้า
“ท่านอาซูอี้ ท่านจะไปทำอะไรที่ตำหนักเทียนหยวนหรือเจ้าคะ?” เจิ้งมู่เหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ซูอี้นอนอย่างเกียจคร้านก่อนจะตอบกลับ “มองหาใครสักคน”
เจิ้งมู่เหยาเริ่มอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ “ท่านอาซูอี้ ท่านช่วยบอกข้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้หรือไม่ บางทีข้าอาจจะรู้จักคนที่ท่านกำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้”
“เราจะพูดเรื่องนี้ในภายหลัง” ซูอี้หลับตาแล้วไม่พูดอะไรอีก
เมื่อใดที่ผู้หญิงอยากรู้เรื่องหนึ่งและเจ้ายินยอมตอบคำถามของนาง เมื่อนั้นนางจะมีอีกสิบคำถามซึ่งหากเจ้าไม่ยอมตอบ …นางจะไม่ยอมเลิกรา
ดังนั้น ซูอี้จึงไม่เปิดโอกาสให้เจิ้งมู่เหยาถามคำถามเพิ่มเติม
เจิ้งมู่เหยาทำหน้าบึ้ง ซูอี้แสดงอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการจะพูดสิ่งใดอีก ดังนั้นนางจะถามต่อให้ตัวเองอับอายเพิ่มได้อย่างไร?
ทันใดนั้น ดวงตาของนางฉายแววเจ้าเล่ห์ จากนั้นนางก็เหยียดมือเรียวคู่หนึ่งออก กดเบา ๆ ที่ต้นขาของซูอี้และบีบมือทั้งสองอย่างแรง
ซูอี้ลืมตาและเอ่ยถาม “เจ้ากำลังทำอะไร?”
“ข้าแค่อยากบีบขาให้ท่านอาซูอี้”
เจิ้งมู่เหยายิ้มอย่างอ่อนหวาน เมื่อนางกดไปที่ต้นขาของซูอี้คราวนี้ นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากล้ามเนื้อของอีกฝ่ายเกร็งอย่างกะทันหันราวกับหวาดกลัว
“ท่านกลัวเป็นด้วยหรือ?”
นางรู้สึกพึงพอใจมากกับปฏิกิริยาขณะนี้ของซูอี้
ซูอี้เหลือบมองสาวน้อยผู้น่าหลงใหลคนนี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอีกรอบแล้วถ้อยคำเกียจคร้านจึงดังออก “ใช้แรงให้มากกว่านี้หน่อย และหากข้าไม่บอกให้หยุด เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้หยุดอย่างเด็ดขาด”
เจิ้งมู่เหยาตกตะลึง นี่คืออะไร?
ทำร้ายศัตรูพัน ทำร้ายตัวเองแปดร้อย?
นอกรถม้า เหลียวป๋อสะบัดบังเหียนและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ไป!”