บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 178 ตำหนักเทียนหยวน
หอศิลาทองคำ
หลังจากนำสมบัติทั้งหมดไปขายแล้ว ฉาจิ่นก็กำลังจะจากไป
ทว่าจู่ ๆ ฮวาเหยียนก็ถามขึ้นอย่างฉับพลัน “สาวน้อย ข้าขอถามเจ้าสักคำถาม คุณชายของเจ้ามาจากตระกูลใด?”
“ข้าขอไม่ตอบ”
ฉาจิ่นเอ่ยตอบเสียงหนักแน่นและหันหลังกลับ
ในตอนเช้า นางรำคาญใจกับจิ้งจอกน้อยเจิ้งมู่เหยามาพอแล้ว ยามได้ยินเจ้าของหอศิลาทองถามถึงซูอี้อีกคราหนึ่ง นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
นางหาได้ลืมไม่ว่าฮวาเหยียนกล่าวถ้อยคำอย่างเจ้าชู้ต่อซูอี้เมื่อวานนี้ว่านางมีพี่น้องฝาแฝดชื่อเฉียวอวี่…
ฮวาเหยียนตกตะลึง ข้าไปทำให้สาวใช้ที่น่าทึ่งนางนี้ขุ่นเคืองได้อย่างไร?
“ช่างเถิด ต่อให้เจ้าไม่บอกข้า ข้าจะได้รู้ว่าเขาเป็นใครไม่ช้าก็เร็ว”
ฮวาเหยียนยิ้มและส่ายหัว
คนขององค์ชายสามเสียชีวิตกระทันหันในถิ่นทุรกันดาร และทั้งหมดนี้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มชุดเขียวเป็นแน่แท้
สิ่งนี้กระตุ้นความสนใจของฮวาเหยียนอย่างไม่ต้องสงสัย
…
ภูเขาชิวเยี่ย
ภูเขาแห่งนี้คือสถานที่ตั้งของตำหนักเทียนหยวน ซึ่งถูกสร้างอยู่ด้านบน
ที่เชิงเขา
ซูอี้เงยหน้าขึ้นมอง แลเห็นกลุ่มเมฆล่องลอยเปล่งประกายโอบล้อมภูเขาชิวเยี่ยเป็นภาพตระการตา อีกทั้งยังมีร่องรอยของปราณวิญญาณสถิตอยู่ทั่วบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นต้นหญ้า แม่น้ำ หรือหมู่เมฆ
“ภายใต้สถานที่แห่งนี้จะต้องมีเส้นชีพจรฟ้าดินเป็นแน่แท้”
เพียงเหลือบมองซูอี้ก็เห็นแจ้งในทันที
“ท่านอาซูอี้ ตามข้ามาได้เลย”
เจิ้งมู่เหยาเป็นผู้นำทาง เดินขึ้นบันไดไปตามเส้นทางที่สร้างตัดผ่านทีละชั้นของเชิงเขา
ซูอี้ไพล่มือไว้ที่หลังและเดินตามอย่างไม่เร่งร้อน
เหลียวป๋อดูแลรถม้าที่เชิงเขา
ขณะนี้บริเวณภูเขามีอากาศเย็นและมีหมอกหนา มีหน้าผาสูงชัน ดอกไม้และพืชพันธุ์แปลกตากระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง และบางคราก็มีกลุ่มนกกระเรียนเดินผ่านไปมาราวกับสถานที่แห่งนี้คือดินแดนบริสุทธิ์นอกโลก
ระหว่างทาง มักจะเห็นหนุ่มสาวรุ่นเยาว์หน้าตาดี เสื้อผ้าสวยงาม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้พวกเขาจะอายุไม่มาก แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างพวกเขานั้นล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา
เมื่อฝูงชนแลเห็นเจิ้งมู่เหยา แววตาของเหล่าชายหญิงส่วนใหญ่ก็เผยความกลัวออกมา แต่กระนั้นยังมีบางคนก้าวมาข้างหน้าอย่างกล้าหาญเพื่อทักทายเจิ้งมู่เหยาด้วยความกริ่งเกรง
เจิ้งมู่เหยาดูสงวนตัวมากระหว่างทาง แต่กระนั้นนางก็ยังคงเหลือบมองที่ซูอี้เป็นครั้งคราว
ตราบใดที่ดวงตาไม่มืดบอด ผู้คนจะรับรู้ได้ในทันทีว่านางมีชื่อเสียงมากในตำหนักเทียนหยวน
แต่ในไม่ช้าเจิ้งมู่เหยาก็ต้องผิดหวัง
ซูอี้คล้ายจะไม่รับรู้สิ่งใดเลย ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเลยว่านางเป็นที่เคารพสักเพียงใดจากผู้คนที่นางพบพานระหว่างทาง
…
สิ่งนี้ทำให้ความภาคภูมิใจของเจิ้งมู่เหยาที่เพิ่งจะบังเกิดเลือนหายไป
“บุรุษผู้นั้นเป็นใครกัน และทำไมเขาถึงเดินไปกับ ‘ปีศาจน้อย’ แห่งตระกูลเจิ้ง?”
“ชู่ว… เจ้าเงียบเดี๋ยวนี้! คราวที่แล้วมีคนพูดลับหลังนางโดยบอกว่าในตำหนักเทียนหยวน เราไม่รู้ว่าใครสามารถปราบเจิ้งมู่เหยาได้บ้าง ผลก็คือ คนสามคนที่คุยเรื่องนี้ถูกขึงไว้กับต้นไม้ แต่ละคนถูกลงแส้ไปสามสิบครั้งจนผิวหนังเปิดออก อีกทั้งยังเสียหน้ายับเยิน!”
“ในบรรดาสาวงามทั้งสี่คนในตำหนักเทียนหยวนของเรา มีเพียงเจิ้งมู่เหยาเท่านั้นที่มีนิสัยก้าวร้าวที่สุด ทั้งแปลกและไม่อาจควบคุมได้ แต่กระนั้นทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่านางจัดการผู้ชายไปกี่คนแล้ว ผู้ชายหลายคนกลับยังคงเชิดชูนางเป็นดั่งเทพธิดา ข้าไม่เข้าใจเลยว่าไอ้คนพวกนั้นมันคิดกันได้อย่างไร”
“สวยและร้อนแรงขนาดนี้ และยังเป็นลูกสาวของตระกูลเจิ้งมีผู้ใดบ้างที่ไม่ต้องการนาง? มันแปลกตรงไหนกัน?”
“เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมไอ้ผู้ชายข้าง ๆ นางคนนั้นถึงดูเหมือนไม่กลัวนางแม้แต่น้อยเลย…”
…
ระหว่างทาง มีผู้สังเกตเห็นฉากที่ซูอี้และเจิ้งมู่เหยาเดินเคียงข้างกัน ซึ่งยิ่งทำให้เกิดเสียงกระซิบกระซาบและการสนทนามากมาย
จนกระทั่งถึงครึ่งทางขึ้นเขา
ในระยะไกล ตำหนักและศาลาน้อยใหญ่ปรากฏแก่สายตาเรียงกันเป็นแถว หนาแน่นราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
“ท่านอาซูอี้ ตำหนักเทียนหยวน มีห้องโถงเจ็ดสิบสองห้อง ศาลาสามสิบหกแห่ง ตำหนักสิบแปดแห่ง และลานฝึกฝนอื่น ๆ อีกมากมาย ข้าเกรงว่าท่านคงไม่อาจเยี่ยมชมให้เสร็จสิ้นภายในวันเดียวได้”
จากนั้นเจิ้งมู่เหยาจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “จะเป็นประโยชน์กว่าหากในตอนนี้ท่านบอกข้ามาว่าท่านต้องการตามหาใคร ข้าจะได้พาท่านไปได้ถูกที่”
“เว่ยเจิงหยาง” ซูอี้เอ่ยชื่อออกไป
เจิ้งมู่เหยาตกตะลึงครู่หนึ่ง นางงุนงงเล็กน้อย
มีศิษย์สายนอกหลายพันคนในตำหนักเทียนหยวน และศิษย์สายในอีกมากกว่าสามร้อย
เจิ้งมู่เหยารู้จักคนที่มีชื่อเสียงและสกุลโด่งดังทั้งหมด แต่กระนั้นชื่อของเว่ยเจิงหยางนั้นนางกลับไม่คุ้นหูเลย
“เฮ้ เจ้าที่อยู่ตรงนั้นมาหาที!”
เจิ้งมู่เหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกวักมือเรียกชายหนุ่มที่สวมชุดสีเงินที่อยู่ไกลออกไป
ชายหนุ่มชุดเงินตัวแข็งชี้ไปที่จมูกของตัวเอง “ข…ข้าหรือ?”
“ใช่ เจ้านั่นแหละ!”
ชายหนุ่มชุดเงินรีบก้าวมาใกล้และประสานมืออย่างประหม่า “ศิษย์พี่เจิ้งเรียกหาข้าเพราะเหตุใดหรือ?”
เจิ้งมู่เหยาถามว่า “เจ้ารู้จักเว่ยเจิงหยางหรือไม่?”
“แน่นอน ข้ารู้จักเขา”
ชายหนุ่มชุดเงินกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “เขาเข้าร่วมตำหนักเทียนหยวนของเราเมื่อหนึ่งเดือนก่อน แต่ด้วยสถานะศิษย์สายนอก เขาจึงถูกจัดให้ฝึกฝนอยู่ในลานเป่ยอู๋เท่านั้น”
“ไม่น่าแปลกใจที่ข้าไม่รู้จัก ที่แท้ก็แค่คนที่เพิ่งเข้าร่วมตำหนักเทียนหยวน…”
เจิ้งมู่เหยาบ่นและโบกมือ “หมดเรื่องของเจ้าแล้ว”
ชายหนุ่มชุดเงินรีบวิ่งออกไปราวกับโล่งใจ
“ไปที่ลานเป่ยอู๋” ซูอี้กล่าวออก
เจิ้งมู่เหยาเก็บท่าทีอหังการของตนเองไปในทันทีก่อนจะต้อนรับด้วยรอยยิ้มหวาน “เจ้าค่ะ!”
…
ลานฝึกเป่ยอู๋
เพียะ!
เสียงตบดังกังวานในทันที หลังจากที่เว่ยเจิงหยางถูกตบหน้าอย่างแรง
เขาคุกเข่าลงที่นั่น เลือดไหลออกจากจมูก ปาก และแก้มของเขาก็บวมแดง แต่เขาไม่กล้าเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า ในใจเปี่ยมล้นไปด้วยความขุ่นเคือง
“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ภายในสามวัน หากข้าไม่ได้รับศิลาวิญญาณจากเจ้าหนึ่งร้อยก้อน ข้าจะตีเจ้าทุกครั้งที่เห็นหน้า!”
ชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหราชี้นิ้วไปที่จมูกของเว่ยเจิงหยาง “เจ้าได้ยินชัดหรือไม่!”
เว่ยเจิงหยางส่ายหัวและพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “ศิษย์พี่โปรดเห็นใจข้าด้วย ข้าไม่สามารถมอบให้ท่านได้จริง ๆ ศิลาวิญญาณทั้งหมดที่ข้าขอจากตระกูลมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้ามอบให้ท่านไปหมดสิ้นแล้วจริง ๆ…”
เพียะ!
เว่ยเจิงหยางถูกตบหน้าอีกรอบอย่างรุนแรง
ชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหราพูดอย่างเย็นชา “เจ้าตอบข้าไม่ตรงคำถาม! ข้าถามว่าเจ้าได้ยินชัดหรือไม่!”
ที่ด้านข้างมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังยืนเยาะเย้ย
“ข…ข้าได้ยินชัดแล้ว…”
เว่ยเจิงหยางกำหมัดของเขาอย่างเงียบ ๆ กัดฟันกรอดและไม่กล้าพูดสิ่งใดต่ออีก
“เหอะ! ช่างไม่เจียมกะลาหัวตนเอง กล้าดีอย่างไรคิดจะแข่งขันกับศิษย์พี่เซี่ยงหมิงเพื่อผู้หญิง หากไม่ติดว่าเจ้าเป็นศิษย์ตำหนักเทียนหยวนเฉกเช่นพวกเรา ป่านนี้เจ้าได้ตายไปนานแล้ว!”
มีเพียงเว่ยเจิงหยางเท่านั้นที่คุกเข่าลงที่นั่น อ้างว้างอย่างที่สุด
เมื่อมองดูฉากนี้จากระยะไกล ซูอี้จึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
ย้อนกลับไปในตอนนั้น หลังจากเหวินหลิงเจาซึ่งออกจากบ้านไปนานกว่าหนึ่งปี เมื่อนางกลับมาเจอเขาอีกครั้งที่บ้านตระกูลเหวิน เว่ยเจิงหยางผู้นี้ก็ติดตามกลับมาด้วยเช่นกัน เขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากบรรดาตัวตนยิ่งใหญ่ของตระกูลเหวิน
ซูอี้ยังคงจำได้อย่างชัดเจนว่าเว่ยเจิงหยางประกาศก้องว่าจะช่วยเหวินหลิงเจายุติการสมรส และถึงกับชี้มาที่เขาและเอ่ยคำเหยียดหยามว่าหากเขาไร้ซึ่งที่ไป จะยินดีรับเขาเป็นข้ารับใช้ไว้ดูเล่น…
ในเวลานั้นเว่ยเจิงหยางหยิ่งทะนงประหนึ่งดวงตาอยู่เหนือหัว
แต่ทว่าเวลานี้ ใครจะคาดคิดว่าเมื่ออยู่ในตำหนักเทียนหยวน เว่ยเจิงหยางจะไม่ต่างจากสุนัขจรจัดซึ่งถูกรังแกอย่างสังเวช
หากจะให้เปรียบเทียบจากมุมมองของคนนอก เว่ยเจิงหยางผู้นี้ไม่มีสิทธิ์ถือรองเท้าให้กับเหวินหลิงเจาด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะแต่งงานกับนางเลย
เดิมทีซูอี้วางแผนมาที่ตำหนักเทียนหยวนในครั้งนี้เพื่อกำจัดคนที่วางแผนจะสวมหมวกเขียวให้กับเขา
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นแล้ว
“พวกเจ้าหยุดลงให้ข้าก่อน”
เจิ้งมู่เหยาตวาดเสียงดังลั่นให้ชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหราที่เพิ่งดูถูกเว่ยเจิงหยางหยุดมือลง
“เจิ้ง… ศิษย์พี่เจิ้ง?”
ชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหรารู้สึกกระวนกระวายใจ แต่ยังก้าวมาข้างหน้าด้วยรอยยิ้มขออภัย
สีหน้าของคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างเคียงแปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาเช่นกัน พวกเขาต่างรู้กันเป็นอย่างดีว่าปีศาจน้อยผู้นี้น่ากลัวเพียงใด
“เว่ยเจิงหยางผู้นี้ไปทำอะไรให้ พวกเจ้าถึงได้รังแกเขาเช่นนี้?” เจิ้งมู่เหยาถาม
“นี่…” ชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหราตัวสั่นโดยคิดว่าเจิ้งมู่เหยากำลังจะแสวงหาความยุติธรรมให้กับเว่ยเจิงหยาง
“รีบเล่ามา” เจิ้งมู่เหยาเร่งเร้าอีกครั้ง
ชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหราไม่กล้าที่จะแอบซ่อนอีกต่อไป เขาพูดอย่างกล้าหาญ “เว่ยเจิงหยางผู้นี้พยายามเข้าหาศิษย์พี่เหวินหลิงเจาตั้งแต่เขาเข้าสู่ตำหนักเทียนหยวน และยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่เหวินหลิงเสวี่ยซึ่งเป็นน้องสาวของศิษย์พี่เหวินยังถูกรังควานไม่หยุดหย่อน แลเห็นเช่นนี้ศิษย์พี่เซี่ยงหมิงจึงบังเกิดความรู้สึกอึดอัด ข้าจึงได้รับคำสั่งมาให้สั่งสอนบทเรียนให้เขาหลาบจำ”
เจิ้งมู่เหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่ซูอี้
“เจ้าไปได้” ซูอี้โบกมือ
ชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหรามองไปที่เจิ้งมู่เหยา พวกเขาไม่รู้ว่าซูอี้เป็นผู้ใด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าจากไปหากเจิ้งมู่เหยาไม่ใช่คนที่เอ่ยสั่งด้วยตัวเอง
“ไปสิ พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือไงกัน!?”
เจิ้งมู่เหยาตวาดอย่างหงุดหงิด
ชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหราและคนอื่น ๆ รีบเร่งจากไปราวกับว่าพวกถูกละเว้นโทษตาย
“เจ้า…เจ้าคือซูอี้?”
ไม่ไกลนักเว่ยเจิงหยางซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นสังเกตเห็นเจิ้งมู่เหยาและซูอี้ยืนอยู่ข้างเคียงกัน ภาพฉากนี้ทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
“พาข้าไปหาเหวินหลิงเจา”
ซูอี้หาได้แยแสเว่ยเจิงหยางแม้แต่น้อย เขาหันหลังกลับทันทีที่พูดจบประโยค
เจิ้งมู่เหยางุนงงเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่าซูอี้ต้องการพบกับเว่ยเจิงหยางไม่ใช่หรือ? แต่ทำไมขณะนี้เขาจึงดูไม่แยแสอีกฝ่ายเลย?
นางรีบวิ่งตามไป
ในระยะไกล เว่ยเจิงหยางร้องไห้ดังมาจากด้านหลัง “ซูอี้ เจ้าไม่คู่ควรกับหลิงเจา! เจ้าไม่คู่ควรกับนาง!!”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ไม่เต็มใจและโกรธแค้น
ทว่าซูอี้ไม่เคยมองย้อนกลับไป เพียงหัวเราะเยาะตัวเองในใจ
ตัวตนเล็กจ้อยเช่นเว่ยเจิงหยางและหลี่โม่อวิ๋น จะเป็นคนระดับเดียวกับเหวินหลิงเจาได้อย่างไร มันไม่มีโอกาสเลยที่คนเหล่านี้จะสามารถสวมหมวกเขียวให้กับเขาได้
“เหวินหลิงเจา…”
เจิ้งมู่เหยาตกตะลึง หรือชายผู้นี้จะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเหวินหลิงเจา?
แม้เหวินหลิงเจาจะเพิ่งเข้าสู่ตำหนักเทียนหยวนไม่นานมานี้ แต่นางก็เป็นบุคคลที่น่าตื่นตาที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ทั้งสวยและเย็นชาราวกับน้ำแข็ง อีกทั้งยังมีพรสวรรค์อันเลิศล้ำ แถมยังเป็นลูกศิษย์ของจู้กู่ชิงผู้อาวุโสแห่งตำหนักเทียนหยวน! ตัวตนเช่นเหวินหลิงเจาไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์สายนอกทั่วไปจะเทียบเทียมด้วยได้!
ตอนนี้ชื่อเสียงของเหวินหลิงเจาได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งมหานครกุ่นโจว ไม่รู้ว่ามีกี่กลุ่มอิทธิพลที่อยากจะได้หญิงสาวผู้นี้ไปอยู่ฝ่ายตน
แม้แต่เจิ้งมู่เหยาก็เคยประหลาดใจกับความก้าวหน้าของเหวินหลิงเจาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
“หืม? หากข้าจำไม่ผิด เคยมีคนพูดเมื่อนานมาแล้วว่าเหวินหลิงเจาแต่งงานแล้ว และฝั่งเจ้าบ่าวดูเหมือนจะมีนามว่าซูอี้ แต่ส่วนใหญ่กลับร่ำลือกันว่าเขาเป็นเพียงแค่ลูกเขยชั้นต่ำที่ไม่มีรากฐานการบ่มเพาะ…”
เจิ้งมู่เหยามองไปที่แผ่นหลังของซูอี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ดวงตาของนางดูงุนงงเล็กน้อย