บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 179 ศาลาเฟยหมิง
เจิ้งมู่เหยารู้สึกสับสนอย่างรุนแรง
ซูอี้สามีของเหวินหลิงเจาคือลูกเขยที่ไร้ค่า
ส่วนซูอี้ที่อยู่ตรงหน้านางคือตัวตนแข็งแกร่งที่ทำให้พ่อของนางเจิ้งเทียนเหอเคารพอย่างสุดใจ
จะเชื่อลงได้อย่างไรว่าทั้งคู่คือคนคนเดียวกัน?
แต่น่าเสียดายที่ซูอี้ตรงหน้านางกลับดูเหมือนมีความเกี่ยวข้องกับเหวินหลิงเจา ซึ่งมันยิ่งทำให้น่าจะเป็นไปได้…
จนกระทั่งนางพาซูอี้ไปถึงสะพานโซ่ยาวที่เชื่อมระหว่างยอดเขาทั้งสอง เจิ้งมู่เหยาจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“ท่านอาซูอี้ อีกฝั่งหนึ่งคือยอดเขาดั้นเมฆที่ซึ่งเหล่าศิษย์สายในฝึกฝน ส่วนเหวินหลิงเจาก็กำลังฝึกอยู่ใน ‘ศาลาเฟยหมิง’ บนยอดเขาดั้นเมฆเช่นกัน”
ซูอี้แหงนมองขึ้นไปและเห็นยอดเขาซึ่งถูกโอบล้อมไปด้วยเมฆหมอก มีวัดและศาลาตั้งกระจายอยู่มากมายบนภูเขาฝั่งตรงข้าม
หลังจากเดินข้ามสะพานโซ่ยาว และมาถึงยอดเขาดั้นเมฆแล้ว ซูอี้จึงรู้สึกได้ถึงปราณวิญญาณจาง ๆ ในอากาศทันที
“ตอนนี้การฝึกฝนของเหวินหลิงเจาเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามอย่างไม่ใส่ใจ
“ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นปลาย”
เจิ้งมู่เหยาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ข้าไม่เคยเห็นใครที่ฝึกฝนหนักเท่านาง นางโหดร้ายกับตัวเองเกินไป นอกจากฝึกฝนทุกวันแล้ว ในเวลาว่างที่เหลือนางมักจะเข้าไปอ่านตำราการบ่มเพาะต่าง ๆ ในหอคัมภีร์เป็นประจำ”
“นอกจากนี้ พรสวรรค์ของนางนั้นสูงมาก ผู้คนต่างกล่าวกันว่านางบ่มเพาะได้รวดเร็วยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปถึงสิบเท่า ดังนั้นแล้วเหล่าบุคคลสำคัญในสำนักจึงเต็มไปด้วยความชื่นชม โดยคิดว่านางน่าจะไปถึงขอบเขตของปรมาจารย์วิถียุทธ์อย่างช้าที่สุดในปีหน้า ”
หากนางสามารถประสบความสำเร็จเช่นนั้นได้ตามที่คนอื่นคาดหวัง นางจะกลายเป็นอัจฉริยะคนแรกของตำหนักเทียนหยวนในรอบหนึ่งร้อยปีที่สามารถสำเร็จเป็นประมาจารย์วิถียุทธ์ตั้งแต่อายุยังไม่เกินสิบแปดปี
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ซูอี้ยิ้มเล็กน้อยเนื่องจากรู้อย่างชัดเจนว่าทำไมเหวินหลิงเจาถึงฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งเช่นนี้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าแรงจูงใจในการล้มเลิกการแต่งงานระหว่างเขาและนาง
เจิ้งมู่เหยาชี้นิ้วไปยังเส้นทางหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลและกล่าวว่า “ท่านอาซูอี้ หากเดินไปตามถนนบนภูเขาเส้นนี้มันจะนำท่านไปยังศาลาเฟยหมิง”
ซูอี้มองขึ้นไป และเห็นว่าเหนือถนนบนภูเขาในระยะไกลนั้นคือผาสูงชัน ที่บนนั้นมีตำหนักโบราณสองชั้นตั้งตระหง่าน
ในเวลานี้ จู่ ๆ มีกลุ่มหนุ่มสาวเดินมาแต่ระยะไกล
ผู้นำกลุ่มเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีเงิน มีคิ้วคมประหนึ่งดาบ ดวงตาเปล่งประกายราวกับดวงดารา รูปร่างและหน้าต่างสง่าผ่าเผย ส่วนหนุ่มสาวคนอื่นรายล้อมอยู่รอบตัวเขาราวกับดาวล้อมเดือน ซึ่งยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นอย่างยิ่งยวด
“ศิษย์น้องเจิ้ง เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
ชายหนุ่มชุดเงินถามด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นเจิ้งมู่เหยา
เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลนี้ ท่าทีที่ดื้อรั้นของเจิ้งมู่เหยาจึงถูกยับยั้งไว้อย่างแปลกประหลาด นางกล่าวตอบอย่างไม่ดีและไม่ร้าย “แค่เดินชมรอบ ๆ”
ชายหนุ่มชุดเงินเหลือบมองที่ซูอี้อย่างครุ่นคิด จากนั้นยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ตกลง งั้นข้าจะไม่รบกวนเจ้าอีกต่อไป”
หลังจากนั้นเขาก็นำฝูงชนออกไปไกล
“ท่านอาซูอี้ ผู้ชายคนนี้ชื่อเซี่ยงหมิง เป็นลูกชายของเจ้าแคว้นกุ่น เซี่ยงเทียนชิว เป็นบุคคลลำดับห้าที่ทรงอิทธิพลที่สุดในบรรดาศิษย์ของตำหนักเทียนหยวนทั้งหมด อาจารย์ของเขาคือรองเจ้าตำหนักเทียนหยวน ‘หวังเจี่ยนฉง’ ผู้นั้น”
เจิ้งมู่เหยากล่าวอย่างรวดเร็วด้วยเสียงต่ำว่า “ผู้ชายคนนี้หลงใหลเหวินหลิงเจายิ่งนัก เขาจะมาที่ศาลาเฟยหมิงทุกวันเพื่อทักทายเหวินหลิงเจา นี่คือสิ่งที่ทุกคนในตำหนักเทียนหยวนตระหนักรู้ สาเหตุที่คนอย่างเว่ยเจิงหยางที่ถูกทุบตีก่อนหน้านี้เป็นเพราะเซี่ยงหมิงออกคำสั่ง”
นางหยุดครู่หนึ่งและพูดต่อ “เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าจะมีผู้ชายจำนวนมากในตำหนักเทียนหยวนที่สนใจในตัวเหวินหลิงเจา แต่เมื่อมีเซี่ยงหมิงกีดขวางอยู่ พวกเขาจึงทำได้เพียงยอมแพ้เท่านั้น”
ซูอี้พ่นลมหายใจ ถ้อยคำเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย “แล้วเหวินหลิงเจายอมรับความรักของเซี่ยงหมิงหรือไม่”
เจิ้งมู่เหยากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ ข้าได้ยินมาว่าเซี่ยงหมิงขอให้บิดาของเขาออกหน้าโดยหวังจะช่วยเหวินหลิงเจายกเลิกการแต่งงานของนาง แต่โดยไม่คาดคิดเหวินหลิงเจากลับปฏิเสธอย่างน่าฉงนนัก”
ซูอี้กล่าวว่า “รู้ว่าเหวินหลิงเจาแต่งงานแล้ว แต่คนผู้นี้ยังตามตื้อไม่เลิกรา เขาไม่กลัวชื่อเสียงที่สั่งสมมาของตนเองจะป่นปี้เลยหรือไร?”
เจิ้งมู่เหยาเหลือบมองที่ซูอี้ก่อนจะเอ่ยตอบ “ท่านอาซูอี้ เรื่องนี้เซี่ยงหมิงได้ป่าวประกาศต่อสาธารณชนเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าเหวินหลิงเจาถูกบังคับให้ยอมรับการแต่งงาน นางเป็นประหนึ่งเหมือนเหยื่อที่อาภัพ ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงเห็นอกเห็นใจนาง ด้วยเหตุนี้ เซี่ยงหมิงไม่เพียงแต่ไม่เสียหน้า แต่เขายังถูกมองว่าเป็นบุรุษผู้ทรงธรรมช่วยเหลือเหวินหลิงเจาให้พ้นจากชะตากรรมอันโหดร้าย…”
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ “ด้วยวิธีนี้ เขาจึงสามารถไล่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วได้อย่างชอบธรรม ชายคนนี้ฉลาดไม่น้อยเลย”
เจิ้งมู่เหยาใช้โอกาสนี้ถาม “ท่านอาซูอี้ ทำไมท่านถึงต้องมาหาเหวินหลิงเจา ท่านสองคนมีความสัมพันธ์อะไรกันงั้นหรือ?”
“ขณะนี้ยังคงมี แต่หลังจากวันนี้จะไม่มีอีกแล้ว” ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย
เจิ้งมู่เหยาเริ่มงงงวยมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็เกิดความโกลาหลในระยะไกล เซี่ยงหมิงและคนอื่น ๆ หยุดพูด ต่างมองไปที่ศาลาเฟยหมิงซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนยอดผา
หญิงสาวในชุดขาวราวกับหิมะเดินออกมาจากห้องใต้หลังคาที่แปลกตา รายล้อมไปด้วยเมฆและหมอก ร่างของนางราวกับนางฟ้า ราวกับภาพมายา ภาพลวงตา ไม่ควรมีอยู่ในโลกปุถุชน
ผู้ชายบางคนถึงกับตกอยู่ในภวังค์ยามได้เห็นนาง
ผู้หญิงบางคนเผยแววตาที่ซับซ้อน อารมณ์แปรเปลี่ยนเป็นขมขื่น
เหวินหลิงเจา!
ศิษย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของตำหนักเทียนหยวนในเวลานี้ นางนั้นเย็นชาราวกับหิมะ โดดเดี่ยวราวกับน้ำแข็ง งดงามอย่างไม่มีผู้ใดเหมือน!
“เฮ้อ… หากข้าเป็นบุรุษ ข้าคงตกหลุมรักนางเป็นแน่แท้…”
ริมฝีปากสีชมพูของเจิ้งมู่เหยาม้วนงอ นางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
“ยังดูเย่อหยิ่งและเย็นชาเช่นเดิม…”
ดวงตาของซูอี้แปรเปลี่ยนเล็กน้อย
เหวินหลิงเจานั้นงดงามและน่าดึงดูด แต่หากให้เปรียบเทียบ ซูอี้ชื่นชมเหวินหลิงเสวี่ยมากกว่า นางอยู่ในวัยที่สดใส บริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา นี่คือสิ่งที่สตรีทุกคนควรจะมี
อารมณ์ของเหวินหลิงเจาเย็นชาเกินไป อีกทั้งยังภาคภูมิใจในตัวเองจนกลายเป็นความหยิ่งผยองที่เกินตัว
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ข้อเสีย
สำหรับซูอี้ผู้ซึ่งภาคภูมิใจในตัวเองเช่นกันคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ผิดแปลกหากจะหยิ่งผยองบ้าง แต่ความภาคภูมิใจของเหวินหลิงเจานั้นไม่ใช่เกิดจากจิตใจที่เข้มแข็งเพียงพอ ส่วนหนึ่งมันคือการแสดงเพื่อสร้างเกราะป้องกันตัวเองจากผู้อื่น หรือหากจะให้พูดด้วยย่อแล้วลึก ๆ คือนางกลัว!
ไม่เช่นนั้น หญิงสาวผู้นี้จะไม่ตัดสินใจจากไปในวันที่นางถูกบังคับให้แต่งงาน และไม่พากเพียรฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างคือการกำจัดพันธนาการของการแต่งงานและควบคุมชะตากรรมของตนเองไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกใครบังคับฝืนใจอีกต่อไป
สำหรับภรรยาที่ไม่เคยมองตนเองของเขาคนนี้ ซูอี้หาได้มีความเกลียดชังใด ๆ ไม่
เขาแค่ไม่อยากแบกรับตำแหน่ง ‘ลูกเขยแต่งเข้าบ้าน’ ที่น่าเกลียดอีกต่อไป
และเขายิ่งทนไม่ได้ที่มีความเสี่ยงจะถูกสวมหมวกเขียวบนหัว เนื่องจากพวกเขาเป็นเพียงสามีภรรยากันแต่ในนาม
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาและเหวินหลิงเจามีความคล้ายคลึงกัน นั่นคือพวกเขาทั้งคู่ต้องการยุติการแต่งงานของพวกเขา
“ศิษย์น้องหลิงเจา วันนี้เจ้าจะไปอ่านตำราที่หอคัมภีร์อีกหรือไม่?”
เซี่ยงหมิงยิ้มและก้าวไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ
เหวินหลิงเจาพยักหน้าแต่ไม่พูดตอบสิ่งใด
เซี่ยงหมิงไม่สนใจ เขาหยิบตำราโบราณจากแขนเสื้อของตนเองออกมาด้วยรอยยิ้ม และกล่าวว่า “ศิษย์น้องหลิงเจา นี่คือบันทึกการฝึกฝนของ ‘ราชาขนนก’ เยว่ซือฉาน มันคือบันทึกการฝึกปรือของเขาก่อนที่จะบรรลุระดับปรมาจารย์วิถียุทธ์ พ่อของข้าได้รับมันมาจากผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งในนครหลวงอวี้จิง”
ราชาขนนก เยว่ซือฉาน!
ฝูงชนอ้าปากค้าง
ในบรรดาราชาทั้งเก้าแห่งต้าโจว ราชาขนนกคืออันดับหนึ่งแห่งราชาทั้งเก้าคน อีกทั้งยังมีอายุน้อยที่สุด!
ตอนอายุสิบห้า เขาก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์วิถียุทธ์ เข้าอายุสิบเจ็ดปี เขาก็ได้กลายเป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ และเมื่ออายุได้สิบเก้าปี เขาถูกเรียกตัวโดยจักรพรรดิ์องค์ปัจจุบันของต้าโจว และได้รับยกย่องให้เป็นราชาต่างสกุลแห่งต้าโจว เป็นอัจฉริยะในรอบนับพันปีตั้งแต่ก่อตั้งต้าโจวมา
จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปแค่สิบปี!
เขาเคยถือบุกบั่นก้าวเข้าสู่ดินแดนของต้าเว่ยเพียงลำพัง หนึ่งดาบหนึ่งคนเอาชนะยอดฝีมือวิถีต้นกำเนิดเก้าคนของต้าเว่ยติดต่อกันโดยไม่หยุดพัก
จากนั้นเขาได้เข้าไปใน ‘ภูเขาเทียนเซียน’ ซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเป็นสถานที่อันตรายที่สุดในต้าโจว และได้สังหารราชาปีศาจไปสิบสองตน ทำให้ได้รับขนานนามว่า ‘ผู้ไร้เทียมทาน’ อย่างแท้จริง
มีการกระทำในตำนานมากมายเกี่ยวกับเขาซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในต้าโจว และสามารถเรียกได้ว่าเขาคือตัวผู้ซึ่งเป็นตำนานยากที่ผู้ใดจะเทียบเปรียบ
และตอนนี้เซี่ยงหมิงได้บันทึกการฝึกฝนของราชาขนนกที่เจ้าตัวเป็นผู้เขียนขึ้นเองเมื่อหลายปีก่อน ใครบ้างจะไม่ตกตะลึงใจ?
เหวินหลิงเจาซึ่งวางแผนจะออกไปหยุดกะทันหัน นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจ
“หากศิษย์น้องต้องการก็สามารถเอาไปอ่านได้เลย”
เมื่อเห็นสิ่งนี้เซี่ยงหมิงจึงยิ้มอ่อนโยน
เขาเคยได้ยินคนอื่นพูดว่า ผู้ที่เหวินหลิงเจาชื่นชมและเชิดชูมากที่สุดคือราชาขนนก ดังนั้นเขาจึงใช้ความพยายามอย่างมากให้ได้มาซึ่ง ‘บันทึกแห่งอวี้หลิว’ จากเซี่ยงเทียนชิวซึ่งเป็นบิดาของตนเอง
“นี่…” เหวินหลิงเจาลังเล
“ศิษย์น้องหลิงเจาอย่าได้เกรงใจเลย เมื่ออ่านเสร็จแล้วเจ้าค่อยคืนให้ข้าก็ยังไม่สาย”
เซี่ยงหมิงพูดแล้วหัวเราะกับตัวเอง “หาใช่ว่าข้าตระหนี่ แต่บันทึกเล่มนี้มีค่าสูงล้ำยิ่งนัก และข้าต้องใช้เวลานานกว่าที่ข้าจะได้มันมา ข้ายืมมันมาจากพ่อของข้า ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถมอบบันทึกเล่มนี้แก่เจ้าได้อย่างถาวร”
ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความอิจฉา
เพื่อไล่ตามผู้หญิงเพียงคนเดียวถึงกับยอมให้ยืมของล้ำค่ามิอาจประเมินค่าเช่นบันทึกแห่งราชาขนนก เกรงว่าทั่วทั้งแคว้นกุ่นคงมีเพียงแต่เซี่ยงหมิงเท่านั้นที่ทำได้!
“จิ๊ ๆ ผู้ชายคนนี้ช่างหน้าใหญ่โดยแท้”
เจิ้งมู่เหยาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ทว่าการแสดงออกของซูอี้ยังคงไม่แยแส เขาเพียงแค่มองจากระยะไกลอย่างสงบ
ในขณะนี้ ภายใต้การจ้องมองของสายตาทั้งหลายที่งงงวย เหวินหลิงเจาส่ายหัวและกล่าวว่า
“ช่างเถอะ บันทึกนี้มีค่าจนเกินไป ข้าไม่อาจรับไว้ได้”
หลังจากนั้นนางจึงเดินจากไปอย่างเย็นชาและหยาบคาย
ทุกคนตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเหวินหลิงเจาจะปฏิเสธสิ่งล่อใจเช่นนี้ได้!
นางไม่รู้หรือว่าหากได้อ่านบันทึกเล่มนี้นางย่อมฝึกฝนได้เร็วขึ้นราวกับติดปีก มันจะไม่ยากเลยในการสำเร็จเป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์?
เซี่ยงหมิงแข็งค้างไปชั่วขณะก่อนจะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง คิดว่าด้วยบันทึกเล่มนี้ เหวินหลิงเจาย่อมไม่สามารถปฏิเสธน้ำใจของเขาได้ ตราบใดที่นางยอมรับ เขาก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะใกล้ชิดกับนางในอนาคตโดยปริยาย
ทว่าโดยไม่คาดคิด เหวินหลิงเจากลับปฏิเสธ!
เจิ้งมู่เหยาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ “สมควรแล้วที่เป็นเหวินหลิงเจา นางช่างแตกต่าง เทียบไม่ได้กับคนทั่วไป”
ในเวลานี้ เซี่ยงหมิงสงบอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว และพูดกับคนรอบตัวเขาว่า “พวกเจ้าเห็นหรือไม่ นี่คือสตรีที่คู่ควรแก่ข้าเซี่ยงหมิง!”
ถ้อยคำนี้เอ่ยออกจากก้นบึ้งของหัวใจ
ยิ่งจับต้องไม่ได้ก็ยิ่งปั่นป่วน เป็นความรู้สึกที่ยากจะถอนตัว
ทันใดนั้นเซี่ยงหมิงสังเกตเห็นเหวินหลิงเจาหยุดเดินอย่างกะทันหัน จากนั้นนางจึงหันศีรษะไปมองยังทิศทางของใต้ต้นสนเก่าแก่ที่เขียวชอุ่มในระยะไกล
เมื่อพินิจมองตามสายตาของนาง เซี่ยงหมิงก็เห็นว่าขณะนี้มีสองคนยืนอยู่ใต้ต้นสนเก่าแก่ ซึ่งก็คือเจิ้งมู่เหยาและชายหนุ่มในเสื้อคลุมเขียว
ในขณะเดียวกัน เจิ้งมู่เหยาตกตะลึงเนื่องจากนางสังเกตเห็นการจ้องมองที่ชัดเจนและเฉียบคมของเหวินหลิงเจามาทางนี้ แต่ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองนาง
เหวินหลิงเจากำลังมองที่ซูอี้ข้าง ๆ นางแทน!
เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งไม่ไหวติง!