บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 180 กระดาษและพู่กัน
เหวินหลิงเจาตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนางเห็นชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีเขียวยืนอยู่ใต้ต้นสน
ทันใดนั้น คิ้วสีเข้มของนางย่นเข้าหากันเล็กน้อย และอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ก็บังเกิดขึ้นในสภาวะจิตใจอันเงียบสงบของนาง
การเผชิญหน้า การปฏิเสธ ความสงสัย ความประหลาดใจ…
ซับซ้อนและละเอียดอ่อน
นางคิดไม่ถึงว่านางจะได้เห็น ‘สามี’ คนนี้ที่นางไม่เคยต้องการพูดถึงบนยอดเขาดั้นเมฆของตำหนักเทียนหยวนในสถานที่ที่นางอาศัยและฝึกฝน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เหวินหลิงเจาเดินตรงไปหาซูอี้ภายใต้สายตาที่ประหลาดใจและงงงวยนับไม่ถ้วน
เมื่อนางเข้าใกล้ ใบหน้าที่เย็นชาสวยงามของนางกลายเป็นหมองคล้ำอย่างยิ่ง
เจิ้งมู่เหยากลอกตาและเดินออกไปโดยไม่รู้ตัว
นางตื่นเต้นและตระหนักว่าความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจนางตลอดทาง นางน่าจะได้รับคำตอบในเร็ว ๆ นี้!
ในระยะไกล เมื่อเซี่ยงหมิงและคนอื่น ๆ เห็นเหวินหลิงเจาเดินไปหาชายหนุ่มเสื้อคลุมเขียว พวกเขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนแสดงความสงสัย
บุรุษคนนั้นเป็นใครกัน?
ไม่มีใครรู้จักซูอี้ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาทั้งหมดได้คำตอบ ชายหนุ่มเสื้อคลุมเขียวผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์ของตำหนักเทียนหยวนอย่างแน่นอน!
ภายใต้ต้นสนเขียวชอุ่ม ซูอี้มองไปยังเหวินหลิงเจาที่เดินเข้ามา ท่าทางของเขาไม่แยแสเหมือนเช่นเคย
ขณะนี้ เหวินหลิงเจาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงท่าทางของซูอี้ที่ว่าเขาไม่สนใจอะไรเลยเมื่อต้องเผชิญกับการดูหมิ่นและเหยียดหยามจากเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในตระกูลเหวิน ยามที่นางกลับไปตระกูลเหวินล่าสุด
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
จนกระทั่งถึงระยะสามก้าวต่อหน้าซูอี้ หญิงสาวยืนนิ่งและเอ่ยถามอย่างสงบ เฉกเช่นเดียวกับภาพลักษณ์ที่งดงามแต่เย็นเยือกราวกับภูเขาหิมะในฤดูเหมันต์
สิ่งนี้หาใช่การจงใจทำ แต่มันเป็นอารมณ์ของนางแต่ดั้งเดิม
แววตาของซูอี้แปลกไปเล็กน้อย นี่เป็นครั้งที่สามที่เขาและเหวินหลิงเจาได้พบกันตั้งแต่พวกเขาแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้ว
และนี่คือประโยคแรกที่เหวินหลิงเจาพูดกับเขา
มันห่างเหินประหนึ่งคนแปลกหน้า
สิ่งที่น่าสนใจคือคำพูดของเหวินหลิงเจาดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่จริง ๆ แล้วมีคำใบ้ของการปฏิเสธที่มองไม่เห็น นางคงไม่เคยคิดว่าซูอี้จะปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างกะทันหัน
สถานการณ์ที่ไม่คาดฝันนี้ทำให้นางไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก
ซูอี้จะมองความคิดนางไม่ออกได้อย่างไร?
เขาหัวเราะและเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าข้าต้องการมาหรืออย่างไร?”
เหวินหลิงเจาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าการบ่มเพาะของเจ้าฟื้นฟูแล้วและเจ้าได้กลายเป็นที่หนึ่งในงานประลองประตูมังกร แม้แต่นายหญิงเฒ่ายังเขียนอธิบายให้ข้าได้ทราบว่าเจ้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่เจ้าควรจะรู้ไว้ ข้าไม่เคยสนใจแม้เจ้าจะมีความสามารถจนถึงขนาดพลิกฟ้าสะเทือนดิน มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่ข้าจะยอมรับการแต่งงานระหว่างเจ้าและตัวข้า”
น้ำเสียงเย็นเยียบ เยือกเย็นโดยสมบูรณ์
เจิ้งมูเหยาซึ่งอยู่ไม่ไกลสูดหายใจลึก หัวใจของนางสั่นสะท้าน ซูอี้เป็นลูกเขยไร้ค่าของตระกูลเหวินอย่างแท้จริง!
สวรรค์!
เจิ้งมู่เหยาแทบระงับอาการตกตะลึงของตนเองไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดนางก็อดกลั้นได้สำเร็จ
หลังจากได้ยินประโยคของอีกฝ่าย ซูอี้พยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้ารู้ดี สิ่งที่เจ้าต้องการอย่างเร่งด่วนที่สุดตลอดมาคือการยุติการแต่งงานระหว่างเรา”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดต่อ “แต่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเพราะการฟื้นตัวของข้า ข้าจึงพยายามอยากจะเปลี่ยนความคิดของเจ้าและทำให้เจ้ายอมรับข้าในฐานะสามีที่แท้จริง?”
เหวินหลิงเจาขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยคำโต้ “แล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรือ?”
ทันใดนั้นนางรู้สึกว่านางโต้ตอบซูอี้รุนแรงเกินไป นางจึงเรียบเรียงคำพูดของตนเองใหม่และพูดว่า “สิ่งที่กำลังจะพูดนี้อาจรุนแรงไปสักหน่อยและอาจทำให้เจ้าอึดอัดใจ แต่ข้าคิดไม่ออกจริง ๆ ถ้าเจ้าไม่ได้อยากทำให้ข้ายอมรับ เช่นนั้นแล้วเจ้าเดินทางจากเมืองกว่างหลิงมาที่นี่เพื่ออะไร ไม่ใช่ว่าเจ้ายังรอข้าอยู่งั้นหรือ?”
ซูอี้แสดงสีหน้าแปลกประหลาด
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดตอบโต้ เหวินหลิงเจาถอนหายใจเบา และตัดสินใจไม่ปิดบังความคิดภายในใจของตนเองอีกต่อไป นางเอ่ยคำพูดต่ออย่างฉะฉาน
“ในเมื่อพูดคุยมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นข้าขอพูดตรง ๆ เลยก็แล้วกัน ในสายตาของข้า เจ้ากับข้าไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ความเป็นสามีและภรรยาของเรามีเพียงอยู่ในหน้ากระดาษแผ่นหนึ่งก็เท่านั้น”
นางมองตรงเข้าไปในดวงตาของซูอี้ และกล่าวต่อ “ข้าไม่ต้องการพันธะระหว่างเจ้าและข้า ทั้งการการแต่งงาน ทั้งนามอันเป็นสามีภรรยา ทั้งการให้ข้ายอมรับเจ้า ข้าไม่ต้องการมันสักสิ่ง เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”
ซูอี้พบว่ามันตลกนิดหน่อย นางคิดจริง ๆ หรือว่าเขามาที่นี่เพื่อเปลี่ยนใจนาง?
กระนั้นแล้ว เขาไม่สนใจที่จะอธิบายอะไรอีก เอ่ยคำถามออกไปอย่างเฉยเมย “เจ้ามีกระดาษกับพู่กันไหม?”
เหวินหลิงเจารู้สึกประหลาดใจจนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะถามกลับ “เจ้าต้องการสิ่งเหล่านั้นไปเพื่ออะไร”
“เพื่อเขียนจดหมายหย่า เจ้าและข้าต่างประทับรอยนิ้วมือ และจากนี้ไป เราทั้งสองแยกทางกันไปใช้ชีวิต เจ้าเป็นศิษย์ของตำหนักเทียนหยวนตามเดิม ส่วนตัวข้าจะใช้ชีวิตตามวิถีของข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราทั้งสองไม่เกี่ยวดองต่อกันอีก สิ่งนี้จะช่วยให้ทั้งเจ้าและข้าพ้นจากความกังวลต่อกันนิรันดร์กาล”
ซูอี้ตอบอย่างเรียบง่ายและเฉยเมย
ไม่ไกลนัก ดวงตาที่สวยงามของเจิ้งมู่เหยาเบิกกว้าง ซูอี้กำลังจะหย่ากับภรรยาของเขา!?
ดวงตาของเหวินหลิงเจาเบิกกว้างราวกับพบเจอเรื่องกระทบใจอย่างรุนแรง แต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็สงบสติอารมณ์และพูดว่า “ดูเหมือนสิ่งที่ข้าพูดจะทำร้ายความเชื่อมั่นในตนเองของเจ้าอย่างใหญ่หลวง ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่พูดจาประชดประชันประหนึ่งมีโทสะกับข้าเช่นนี้”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
ดวงตาของเหวินหลิงเจาเย็นชาและไม่แยแส “หากเจ้าไม่ถูกครอบงำโดยโทสะ เจ้าจะคิดไม่ออกได้อย่างไรว่าตามกฎของต้าโจว มีเพียงตระกูลเหวินที่เจ้าแต่งเข้าบ้านเท่านั้นถึงจะยกเลิกงานแต่งของเจ้าและข้าได้? เพียงกระดาษที่เขียนโดยเจ้าและข้าหาใช่สิ่งที่สามารถยกเลิกการแต่งงานได้อย่างสมบูรณ์!”
ในที่สุดอารมณ์ที่สงบนิ่งของนางก็เริ่มจะผันผวน กฎของต้าโจวนี้กัดกินใจของนางมาโดยตลอด นางทั้งต่อต้าน ทั้งเกลียดชังกฎนี้ที่ข่มเหงจิตใจของนางมาเป็นปี ยามนี้เมื่อซูอี้เอ่ยขึ้นจะหย่าโดยพลการ มันจึงเป็นเหมือนจี้จุดให้นางปะทุโทสะที่อัดแน่นมาช้านาน เพราะหาใช่ว่านางไม่เคยคิดอยากจะเขียนกระดาษสักแผ่นเพื่อยกเลิกการแต่งงาน
เพียงแต่นางต้องแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าผู้คนทั่วหล้า นางจึงจะสามารถเขียนใบหย่าด้วยตนเองได้
“ก็แค่กฎสำหรับปุถุชนทั่วไป มันไม่สามารถยับยั้งผู้บ่มเพาะเช่นข้าได้หรอก”
ซูอี้มีสีหน้าเรียบเฉย “ไปเอากระดาษกับพู่กันมาเสีย ตราบใดที่เจ้ากับข้าตกลง เรื่องที่เหลือปล่อยให้ข้าเป็นคนจัดการ”
ผู้ที่เคยอหังการสยบไปทั่วเก้ามหาแดนดินเช่นเขามีหรือจะสนใจกฎของโลกอันเล็กจ้อยแห่งนี้?
ใบหน้างดงามของเหวินหลิงเจาเปลี่ยนเป็นมืดหม่นและบูดบึ้ง ดวงตาเผยซึ่งความเย็นชา ถ้อยคำกล่าวออกอย่างไม่พอใจ “เจ้าเป็นเด็กอมมือหรืออย่างไร? นี่เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการแต่งงานของเราในครั้งนั้น!?”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเขาเหลือบมองเจิ้งมูเหยาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก “ออกไปก่อน”
เมื่อกำลังจะมีโอกาสได้ยินความลับของซูอี้ เจิ้งมู่เหยาจึงรู้อยากรู้เห็นอย่างยิ่งยวด แต่แล้วเมื่อถูกไล่ให้จากไปนางจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ท้ายที่สุดนางก็เลือกที่จะหันหลังกลับและเดินออกห่างอย่างเชื่อฟัง
เหวินหลิงเจาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับฉากนี้ แน่นอนนางจำเจิ้งมู่เหยาได้ว่าเป็นใคร ลูกสาวของตระกูลเจิ้งที่หยิ่งผยองและแปลกประหลาด นางถูกมองว่าเป็นปีศาจตัวน้อยแห่งตำหนักเทียนหยวน แต่ขณะนี้กลับแสดงท่าทีหวาดเกรงต่อซูอี้…
ทว่าไม่ช้านาน เหวินหลิงเจาก็ระงับความสงสัยนี้ เพราะในขณะนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดหาใช่เรื่องของเจิ้งมู่เหยา
เมื่อเห็นเจิ้งมู่เหยาออกไปรอในระยะห่าง ซูอี้เอ่ยขึ้นเสียงเบา “การแต่งงานครั้งนั้นของเราไม่มีอะไรไปมากกว่าการจัดแจงจากตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง ในสายตาของเจ้า เจ้าอาจคิดว่าตระกูลซูเป็นยักษ์ใหญ่ที่ทรงพลังเกินจินตนาการ แต่ในสายตาของข้า พวกเขาเป็นเพียงตระกูลเล็กจ้อยไม่ใช่ภัยคุกคามของข้าแม้แต่น้อย”
พูดถึงเรื่องนี้ แววเย็นชาปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา “แท้จริงแล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องย้ำเตือนข้าในเรื่องนี้ ข้าได้วางแผนไว้เรียบร้อย ในอนาคตอันใกล้ข้าจะไปที่นครหลวงอวี้จิง แก้ไขปัญหาทุกอย่างให้หมดสิ้น!”
น้ำเสียงของซูอี้เต็มไปด้วยการดูถูกและความมั่นใจอย่างแท้จริง
เหวินหลิงเจาตกตะลึง
ทั้งที่มีอารมณ์เย็นชา ทว่านางเกือบจะหัวเราะออกมาได้ในขณะนี้
ตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง เป็นหนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลที่สุดแห่งต้าโจว เพียงเคลื่อนไหวครั้งเดียวก็สามารถทำให้ต้าโจวสั่นสะเทือนได้สามครา!
ในฐานะที่เป็นทายาทของตระกูลซูซึ่งควรจะรู้ดีอยู่แก่ใจ คำพูดที่ออกจากปากซูอี้เมื่อครู่มันช่างบ้าบอและไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง!
นอกจากจะหงุดหงิดแล้ว เหวินหลิงเจายังรู้สึกผิดหวังในหัวใจอย่างอธิบายไม่ถูก นี่หรือคือสามีในนามของนาง?
ไม่น่าแปลกใจที่นายหญิงเฒ่ากล่าวว่าในตระกูลซูทั้งหมด นายน้อยคนที่สามของตระกูลซูเป็นคนที่ได้รับความสนใจน้อยที่สุด!
เหวินหลิงเจาลอบถอนหายใจ
ไม่นานมานี้ นางได้รับจดหมายจากนายหญิงเฒ่าซึ่งทำให้นางได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมาของซูอี้ และสาเหตุที่ตระกูลเหวินต้องจำใจยอมรับซูอี้เป็นบุตรเขย
ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง!
ความจริงข้อนี้ทำให้หัวใจของนางหนักอึ้ง และนางก็ตระหนักว่าการยุติการแต่งงานครั้งนี้ด้วยวิธีการของนางเองนั้นยากเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่นางก็ไม่ยอมแพ้ และได้ฝึกฝนหนักขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะนางเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งนางจะกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างเช่นราชาขนนกเยว่ซือฉาน ผู้ซึ่งแม้แต่ตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงยังต้องไว้หน้า และเมื่อถึงเวลานั้นตระกูลซูจะต้องยินยอมให้นางหย่ากับซูอี้!
“เจ้าจะเชื่อหรือไม่… ไม่สำคัญ”
เมื่อเห็นเหวินหลิงเจาเงียบอยู่เป็นเวลานาน ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย “สิ่งสำคัญคือข้าอยู่ที่นี่ในวันนี้ ดังนั้นเรื่องระหว่างเจ้าและข้าควรยุติลงได้แล้ว”
เหวินหลิงเจาตื่นขึ้นจากความคิดที่วุ่นวายราวกับว่าเพิ่งตื่นจากความฝัน
เมื่อมองไปที่ซูอี้ต่อหน้านางอีกครั้ง นางรู้สึกได้เพียงว่าคน ๆ นี้เต็มไปด้วยความเขลาและเย่อหยิ่ง ไร้สาระอย่างยากจะกล่าว
นางอดไม่ได้ที่จะตวาดกลับ “ถ้าเจ้ากล้าที่จะกระทำในนามของตระกูลซู เจ้าจะถูกลงโทษ! ถ้าเจ้ากล้าที่จะก้าวเข้าไปในนครหลวงอวี้จิง เจ้าจะถูกลงโทษ! เจ้าลืมสองประโยคนี้แล้วงั้นหรือ!? จะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าจะสามารถจัดการกับตระกูลซูของเจ้าได้ เจ้าไม่รู้เลยหรือไรว่าตระกูลของเจ้ายิ่งใหญ่ถึงเพียงไหน!?”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “หญิงชรานั่นบอกเจ้าเรื่องนี้ด้วยหรือ?”
แววตาของเหวินหลิงเจายิ่งมองก็ยิ่งเย็นชา ทัศนคติของนางที่มีต่อซูอี้ยิ่งย่ำแย่และผิดหวัง “หากข้าไม่รู้เรื่องนี้ ข้าคงนึกไม่ถึงว่าเจ้าจะหยิ่งผยองและโอหังได้ถึงเพียงนี้หลังจากที่เจ้าเพียงแค่ฟื้นฟูการบ่มเพาะได้!”
ซูอี้ตระหนักรู้ได้ว่าเหวินหลิงเจากำลังเข้าใจตัวเขาผิดไปอย่างสิ้นเชิง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวอย่างลับ ๆ แต่กระนั้นเขาก็เกียจคร้านเกินกว่าจะอธิบายให้อีกฝ่ายรู้ว่าเหตุใดตัวเขานั้นไม่แยแสต่อตระกูลซูแม้แต่น้อย
เขาตัดบทอย่างเรียบง่าย “ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไรก็ช่าง เอาเป็นว่าวันนี้จงเขียนใบหย่ากับข้าก่อน จากนั้นพวกเราทั้งสองก็แยกย้ายไปตามทางของตนเอง”
ได้ฟังเช่นนี้เหวินหลิงเจายิ่งเย็นชา นางพูดทีละคำอย่างชัดเจน “มันผิดกฎหมาย! มันไม่เป็นไปตามกฎ! และเจ้าเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้าน! เจ้ามีสิทธิ์ใดมาสั่งให้ข้าหย่ากับเจ้า! ข้าแนะนำเจ้า ให้หยุดสร้างปัญหา ไม่เช่นนั้น มันจะยิ่งทำให้ข้าผิดหวังในตัวเจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ!”
หลังจากนั้นนางก็หันหลังเดินจากไป
ทันใดนั้นซูอี้พูดอย่างเฉยเมย “ข้าเข้าใจแล้ว หากมีเพียงแค่กระดาษแผ่นเดียว มันคงจะเป็นความอัปยศเกินไปสำหรับเจ้า เช่นนั้นแล้วข้าขอเสนอให้เจ้าและข้าทำสัญญาฟ้าดินเพื่อยุติการสมรสดีหรือไม่?”
เหวินหลิงเจาหยุดกะทันหัน ความรู้สึกโกรธเพิ่มพูนขึ้นในหัวใจอย่างฉับพลันจนแทบไม่อาจควบคุม นางหันกลับมาอย่างดุเดือด จ้องไปที่ซูอี้ด้วยดวงตาแหลมประหนึ่งใบมีดและกล่าวว่า
“อย่าได้ใช้ประโยชน์จากความอดทนของข้าให้มันมากนัก! หากเจ้าไม่ออกจากตำหนักเทียนหยวนประเดี๋ยวนี้ ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจไปตลอดชีวิต!”