บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 181 ใครแพ้ต้องคุกเข่าสำนึกผิด
เหวินหลิงเจาโมโหแล้ว!
ภาพเหตุการณ์นี้ ไม่เพียงแค่เจิ้งมู่เหยาเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้ พวกของเซี่ยงหมิงที่อยู่ไกลออกไปก็รับรู้ได้เช่นกัน
ทำให้ทุกคนล้วนคาดไม่ถึง
ควรต้องเข้าใจว่า เหวินหลิงเจาไม่สุงสิงกับใคร มีนิสัยเย็นชาแข็งกระด้างประดุจน้ำแข็ง
นับตั้งแต่ที่เข้าสู่ตำหนักศึกษาเทียนหยวนเป็นต้นมา แทบไม่มีใครเคยเห็นนางแสดงอาการโกรธต่อเรื่องใด ๆ ที่ผ่านมามีแต่แสดงความเฉยเมย เหนือคนอื่นราวกับเป็นเซียนอยู่บนฟากฟ้าฟากสวรรค์
และน้อยคนนักที่จะเคยเห็นนางพูดคุยกับผู้ชายคนใด
ทว่าตอนนี้ นางไม่เพียงแต่พูดคุยกับชายแปลกหน้าชุดเข้มคนนั้นเป็นนานสองนาน ทั้งยังแสดงความโกรธออกมาเป็นครั้งแรกอีกด้วย!
จะให้ไม่ประหลาดใจได้เช่นใด?
ไม่รอให้ซูอี้เอ่ยความ เซี่ยงหมิงก็รีบเข้ามาหาด้วยสีหน้าเป็นห่วง กล่าว “ศิษย์น้องหลิงเจา เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เหวินหลิงเจาตอบน้ำเสียงเย็นชา “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
ขณะที่พูด ดวงตาใสแจ๋วของนางจับจ้องมองดูซูอี้
ซูอี้ก็ไม่ได้ใส่ใจเซี่ยงหมิงที่เดินเข้ามาหาเช่นกัน มองข้ามไปเลย
เขามองไปที่เหวินหลิงเจาด้วยสายตาราบเรียบ กล่าว “เจ้าคงไม่รู้เป็นแน่ว่าการรู้จักเข้าใจตนนั้นคืออะไร และข้าก็ขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบายให้เจ้าเข้าใจด้วย ประโยคเดียวเท่านั้น หากเจ้ารับปากในสิ่งที่ข้าพูด หลังจากที่ได้สัญญาตกลงมาแล้ว ข้าจะไปในทันที”
เดิมทีเหวินหลิงเจาแทบจะระงับไฟโกรธในใจไว้ไม่อยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้ฟังความ สายตากลับเย็นสะท้านน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม กล่าว
“เมื่อก่อน ข้าไม่เคยแค้นเจ้ามาก่อน มองว่าเจ้าเป็นผู้ถูกข่มเหงเหมือนเช่นช้า ทว่าตอนนี้ เจ้าทำให้ข้าเกลียด!”
พูดจบ นางก็หมุนตัวจากไป เสียงดังแว่วมาแต่ไกล
“หากว่าเจ้าต้องการจะอาละวาด ก็อาละวาดให้เต็มที่ แต่เจ้าอย่าลืมนะว่าที่นี่คือตำหนักศึกษาเทียนหยวน ไม่ใช่สถานที่ ๆ ใครก็สามารถทำเหลวไหลได้!”
ในใจของนางเต็มไปด้วยไฟโกรธและผิดหวัง ไม่อยากจะพูดคุยกับซูอี้ต่ออีก
ซูอี้ย่นหัวคิ้ว สายตาเย็นราบเรียบ พลางกล่าวคำออก
“ตอนนี้เจ้าโดนไฟโกรธลุกลามหัวใจ ไร้ซึ่งสติ เพื่อเห็นแก่หน้าของหลิงเสวี่ย ข้าจะให้เวลาเจ้าได้พิจารณาอย่างรอบคอบหนึ่งเค่อ*[1] หลังจากเวลาหนึ่งเค่อ หากว่าเจ้าไม่ตอบ อย่าหาว่าข้าบังคับให้เจ้าตอบ”
เหวินหลิงเจาเดินไปไกลแล้วถึงกับตะลึง แทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง หมุนตัวกลับมามองดูซูอี้ที่อยู่ไกลออกไป กล่าวที่ละคำช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นลึกถึงกระดูก
“ซูอี้ เจ้าฟังคำข้าให้ดี เรื่องงานสมรส ข้าจะเป็นผู้จัดการด้วยตนเอง ไม่ใช่อาศัยสัญญากระดาษที่น่าขันของเจ้า!”
คนรอบด้านล้วนได้ยินคำพูดประโยคนี้อย่างชัดเจน ทุกคนพากันตื่นตกใจ
ซูอี้!
ที่แท้คนหนุ่มชุดเข้มที่ทำให้เหวินหลิงเจาโมโหถึงเพียงนี้ ก็คือเขยไร้ประโยชน์ที่แต่งเข้าบ้านตระกูลเหวินนั่นเอง!
เสียงยังคงดังก้อง บรรยากาศกลับแปรเปลี่ยน ทุกอย่างสงบนิ่งและอึมครึม
ร่างเพรียวยาวสะโอดสะองของเหวินหลิงเจาเดินลับไปไกลอย่างช้า ๆ
สีหน้าของทุกคนผิดแผกกันไป
ใต้ต้นสน ซูอี้มือไพล่หลัง สีหน้าราบเรียบราวกับไม่รู้สึกถึงสายตาของคนในละแวกใกล้ที่ทอดมองมาด้วยแววตาประหลาด
เขาบอกแล้วว่าให้เวลาฝ่ายตรงข้ามพิจารณาหนึ่งเค่อ เป็นธรรมดาที่ต้องมีสัจจะในคำพูด
“ที่แท้เจ้าก็คือซูอี้ผู้ทำให้ชื่อเสียงของศิษย์น้องหลิงเจาแปดเปื้อน”
เวลานี้ เซี่ยงหมิงตั้งสติกลับมาได้แล้ว สายตาเปลี่ยนไปกลายเป็นสายตาที่เย็นเยือกและคมเฉียบ เขามองไปยังซูอี้
ทว่าซูอี้ไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง ไม่ใส่ใจบุตรชายของเจ้าแคว้นผู้มีชื่อเสียงคับตำหนักศึกษาเทียนหยวน
ท่าทีไม่สนใจไยดีเช่นนี้ทำให้เซี่ยงหมิงถึงกับหน้าเครียด
เห็นเช่นนี้แล้วชายหนุ่มหญิงสาวที่ห้อมล้อมอยู่ข้างกายเซี่ยงหมิงในตอนแรกล้วนย่นหัวคิ้ว เพียงแค่เขยแต่งเข้าบ้านคนหนึ่งเท่านั้น มีอะไรน่าหยิ่งผยองนักเชียว?
ชายหนุ่มชุดสีฟ้าทนไม่ไหวกล่าวขึ้น “ซูอี้ เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าตนเองเป็นบุคคลอันดับหนึ่ง เมื่อสักครู่ศิษย์น้องหลิงเจากล่าวว่าอย่างไร เจ้าฟังไม่เข้าใจเช่นนั้นหรือ? ที่นี่คือตำหนักศึกษาเทียนหยวน ไม่ใช่สถานที่ ๆ คนอย่างเจ้าจะมาทำเหลวไหลได้!”
สาวน้อยหน้าแฉล้มนางหนึ่งถอนใจ “ศิษย์น้องหลิงเจาสูงส่งถึงเพียงนั้น เป็นบุคคลโดดเด่น กลับต้องมาเจอผู้ชายเช่นนี้ เฮ้อ งานสมรสเช่นนี้เท่ากับผลักศิษย์น้องหลิงเจาเข้าสู่กองไฟแท้ ๆ”
“ซูอี้ รีบไปขอโทษศิษย์น้องหลิงเจาเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น พวกเราจะไม่ละเว้นเจ้า!”
หนุ่มน้อยชุดสีดำนิสัยก้าวร้าวก้าวออกมาพลางกล่าวด้วยความเดือดดาล แทบจะชี้นิ้วด่าซูอี้อยู่แล้ว
คนทั้งหมดล้วนบันดาลโทสะ ทำให้ซูอี้ต้องตกเป็นเป้าให้ทุกคนรุมประณามไปจริง ๆ
เซี่ยงหมิงถอยไปข้างหลังสองก้าวเงียบ ๆ หันไปกระซิบกับผู้ชายชุดขาวที่อยู่ข้างกาย “ศิษย์น้องเถียนตง เจ้าคิดว่าวันนี้ซูอี้ต้องอับอายขายหน้าอยู่ตรงนี้ ดีกว่าหรือไม่?”
ผู้ชายชุดขาวที่ถูกเรียกว่าเถียนตงเข้าใจความหมาย พยักหน้าน้อย ๆ
ขณะที่เถียนตงกำลังจะทำอะไรบางอย่าง เจิ้งมู่เหยาที่อยู่ไม่ไกลนักรู้สึกได้ว่าสถานการณ์มีความไม่ชอบมาพากล จึงรีบเดินมาพลางเอ็ดดุเสียงดัง “โหวกเหวกอะไรกัน คิดจะรังแกกันเช่นนั้นหรือ?”
นางยืนมือกอดอก ดวงตางดงามประดุจแสงประภา กวาดมองหนุ่มสาวเหล่านั้น บนใบหน้าสวยแชล่มเต็มไปด้วยความเย็นชา
สีหน้าของคนทั้งหลายเปลี่ยนไป ต่างรู้สึกได้ถึงความประหลาดพิกล เหตุใดคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจิ้งท่านนี้จึงช่วยออกหน้าพูดแทนเขยขยะแต่งเข้าบ้านได้?
เซี่ยงหมิงกับเถียนตงก็ย่นคิ้วเพราะไม่เข้าใจเช่นกัน
“ศิษย์พี่เจิ้ง ท่านรู้จักกับซูอี้คนนี้ด้วยหรือ?” มีคนทนความสงสัยไม่ไหวถามออกมา
เจิ้งมู่เหยาแอบส่งสายตาไปให้ซูอี้ พลันตอบด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “บอกให้พวกเจ้าได้รู้ นี่คือท่านอาซูของข้า ให้ความเคารพกันบ้าง!”
ท่านอา!?
ทุกคน “…”
หนุ่มน้อยชุดสีดำที่ร้องให้ซูอี้กล่าวขอโทษเมื่อก่อนหน้าอดไม่ไหว “ศิษย์พี่เจิ้ง เจ้าเข้าใจผิดไปแล้วกระมัง คน ๆ นี้คือสามีในนามของศิษย์น้องหลิงเจา เขยขยะแต่งเข้าบ้านคนนั้น! ชื่อเสียงที่สั่งสมมาของศิษย์น้องหลิงเจาต้องเสื่อมเสียเพราะเขาคนนี้สร้างความแปดเปื้อนให้ เขา… เขาจะเป็นท่านอาของเจ้าได้เช่นใด?”
คนอื่น ๆ พากันพยักหน้า
“พูดไปพวกเจ้าก็ไม่เข้าใจ”
เจิ้งมู่เหยาหมดความอดทน “อย่างไรก็แล้วแต่ ข้าเป็นคนพาท่านอาซูมาในวันนี้ ใครบังอาจล่วงเกินเขา ก็เท่ากับล่วงเกินข้า!”
ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความตื่นตะลึง
เขยขยะแต่งเข้าบ้านคนหนึ่ง กลับกลายเป็นท่านอาของนางมารน้อยแห่งตระกูลเจิ้งผู้ยิ่งใหญ่ในแคว้นกุ่นได้เช่นใดกัน?
เช่นนี้จะเกินความคาดหมายเกินไปแล้วกระมัง?
เถียนตงก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน
ด้วยสถานะของเจิ้งมู่เหยา ไม่ใช่บุคคลที่เขาจะสามารถผิดใจด้วยได้
ทว่าขณะนี้เอง เถียนตงสังเกตเห็นสายตาที่มองมาของเซี่ยงหมิง
เขาสะดุ้งขึ้นในใจราวกับเข้าใจความหมาย กัดฟันกล่าว “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของศิษย์น้องหลิงเจา วันนี้ไม่ว่าใครมา ซูอี้ก็ต้องไปขอโทษศิษย์น้องหลิงเจาอยู่ดี!”
เถียนตงเป็นมือซ้ายขวาข้างกายเซี่ยงหมิง เห็นเขาเอ่ยปากพูดแล้ว คนอื่น ๆ ไหนเลยจะไม่เข้าใจความหมาย?
ฉับพลันหญิงสาวเหล่านั้นพากันพูดส่งเสียง
“ศิษย์พี่เจิ้ง เมื่อสักครู่เจ้าก็เห็นแล้วว่าซูอี้แสดงความไม่เคารพต่อศิษย์น้องหลิงเจาเช่นใด ไม่ว่าเขาจะสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างไรกับเจ้า เรื่องนี้จะจบลงง่าย ๆ เช่นนี้ไม่ได้”
“ใช่ เพียงแค่คนนอกคนหนึ่งเท่านั้น กล้ามาทำรุ่มร่ามเหลวไหลที่ตำหนักศึกษาเทียนหยวนของพวกเรา คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!”
คนนั้นพูดนิดคนนี้พูดหน่อย ไม่ไว้หน้าตัวเองแม้แต่น้อย เจิ้งมู่เหยาถึงกับตระหนกอยู่บ้าง
ทันใด นางก็สามารถเข้าใจได้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเซี่ยงหมิง!
มีบุตรชายเจ้าแคว้นคอยหนุนหลัง พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวตนเอง
เจิ้งมู่เหยาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่จะเอ่ยพูดออกมาก็ถูกเสียงหัวเราะของเซี่ยงหมิงตัดบทไปเสียก่อน
“ศิษย์น้องเจิ้ง ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไร แต่สถานการณ์ในตอนนี้เจ้าก็มองเห็นแล้ว ข้าไม่อาจพูดตัดสินอะไรได้”
นิ่งไปสักครู่ เขาถอนใจเบา ๆ “แน่นอน หากว่าซูอี้ยอมไปขอโทษต่อศิษย์น้องหลิงเจา เชื่อว่าทุก ๆ คนคงจะไม่ติดใจเอาความต่อเขา เพราะอย่างไรเสีย เขาก็เป็นเพียงแค่เขยแต่งเข้าบ้านคนหนึ่งเท่านั้น พวกเราเป็นถึงผู้สืบทอดของตำหนักศึกษาเทียนหยวน หากว่ามีคนพูดออกไปว่ารังแกเขา คนอื่นจะนำไปหัวเราะได้”
คิ้วยาวเรียวงอนงามของเจิ้งมู่เหยาขมวดขึ้น
พูดถึงสถานะและตำแหน่ง นางไม่อาจข่มทับเซี่ยงหมิงได้ หากว่าเซี่ยงหมิงไม่คิดจะไว้หน้า นางก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้เช่นกัน
“ซูอี้ เป็นผู้ชายก็อย่าหลบอยู่ข้างหลังผู้หญิง! กล้าประลองกับข้าสักตั้งหรือไม่ หากว่าเจ้าแพ้ก็ไปขอโทษแต่โดยดี เป็นอย่างไร?”
หนุ่มน้อยชุดสีดำคนนั้นร้องตะโกนเสียงดัง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความท้าทาย
ที่นี่คือตำหนักศึกษาเทียนหยวน เผชิญหน้ากับซูอี้เขยขยะแต่งเข้าบ้านตามที่เล่าขานกันมาคนนี้ เขามีความมั่นใจอย่างเต็มที่
คนอื่น ๆ ได้ฟังความต่างก็พากันโห่ร้อง
ก่อนหน้านี้ซูอี้ไม่เคยใส่ใจคนเหล่านี้เลย ถึงแม้จะถูกท้าทายอยู่ตลอด ก็ยังขี้เกียจจะเก็บมาใส่ใจ
เมื่อเห็นว่าพวกมดตะนอยเหล่านี้ชักจะเหิมเกริมมากขึ้นทุกทีแล้ว เขาเริ่มรู้สึกเสียดายขึ้นมาบ้างแล้วที่ครั้งนี้ไม่ได้พาฉาจิ่นเดินทางมาด้วย
มิเช่นนั้น เพียงแค่จัดการกับพวกมดตะนอยเหล่านี้ ฉาจิ่นผู้สืบทอดแห่งสำนักวงเดือนก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องถึงมือตัวเอง
“อยากจะเล่นนักหรือ? ได้”
ซูอี้เอ่ยพูดน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าไม่สนใจอยากจะได้ชีวิตน้อย ๆ ของพวกเจ้า เอาเช่นนี้ ใครแพ้ต้องคุกเข่าเพื่อสำนึกผิดอยู่ตรงนี้ เป็นอย่างไร?”
ทุกคนนิ่งงัน ต่างก็คาดไม่ถึงว่าซูอี้ไม่เพียงจะกล้ารับคำท้าเท่านั้น ทั้งยังเสนอวิธีการลงโทษที่เต็มไปด้วยรสชาติแห่งการลบหลู่ดูแคลนถึงเพียงนี้อีกด้วย
ดวงตาสวยของนางมารน้อยลุกวาว เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาในทันควัน
นางถูกบิดาออกคำสั่งให้ปรนบัติรับใช้อยู่ข้างกายซูอี้ แต่เดิมในใจนั้นมีแต่ความไม่เต็มใจและไม่ยินยอม
ถึงแม้บิดาของนางจะชื่นชมซูอี้จนแทบลอยขึ้นฟ้า เข้าใจว่าซูอี้รอบรู้กว้างไกลประดุจเซียนบนสวรรค์ ทว่าอย่างไรเสียนางไม่เคยเห็นเองกับตา ในใจจึงเกิดความเคลือบแคลงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
อาศัยโอกาสในครั้งนี้จะได้เห็นกันสักทีว่าที่แท้แล้วซูอี้มีความสามารถวิเศษเลิศเลอเพียงใดกัน!
เซี่ยงหมิงได้แต่ส่ายหน้าเงียบ ๆ เพียงแค่คำท้าทายเล็กน้อยเท่านั้นก็ทนรับไม่ได้แล้วหรือ?
คนเช่นนี้ กระทั่งถือรองเท้าให้เหวินหลิงเจายังไม่คู่ควรเลย แต่กลับได้เป็นถึงสามีในนามของเหวินหลิงเจา ช่างน่าเจ็บใจเสียจริง
“ทั้งหมดนี้เจ้าเป็นคนพูดเอง หากว่าแพ้ อย่าหาว่าพวกเรารังแกเจ้าก็แล้วกัน!” หนุ่มน้อยชุดสีดำสบถเย็นชา
ซูอี้ไม่ได้สนใจเขา สายตามองไปยังคนอื่น ๆ ที่อยู่ในสถานการณ์ กล่าว “พวกเจ้าเล่า จะเล่นด้วยกันหรือไม่?”
คนอื่น ๆ แทบไม่เชื่อหูของตัวเอง
หมายความว่ากำลังท้าทายพวกเขาทุกคนอยู่เช่นนั้นหรือ?
จะฮึกเหิมโอหังเกินไปแล้ว!
กระทั่งพวกผู้หญิงเหล่านั้นก็ยังโมโหไปด้วย เข้าใจว่าเขยแต่งเข้าบ้านอย่างซูอี้คนนี้ช่างโอหังนัก ไม่รู้จักมองดูเสียบ้างว่าตรงนี้คือที่ใด ถึงได้บังอาจท้าทายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสมองมีปัญหาหรือว่าโง่เขลาไม่รู้จริง ๆ กันแน่
“หึ เจ้ากล่าวเช่นนี้ดูจะเหลวไหลเกินไปแล้ว”
เซี่ยงหมิงก็ยังนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้าน้อย ๆ พลางหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ “หากว่าเจ้าสามารถเอาชนะพวกเขาได้ ข้าไม่รังเกียจที่จะเล่นสนุกกับเจ้า แน่นอน ข้าคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะมีโอกาสได้ประมือกับข้า”
คำกล่าวผ่อนคลายบางเบา ทว่าแฝงไว้ซึ่งความหมิ่นประมาทอย่างเปิดเผย
ทุกคนพากันหัวเราะเยาะขึ้นมา ไม่ผิด การถือสาคนโง่เขลาคนหนึ่ง เท่ากับเป็นการลบหลู่ฐานะของตนเอง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จิตใจของพวกเขาจึงสงบลงไปได้ไม่น้อย กระทั่งสายตาที่มองดูซูอี้ก็ยังฉายแววแห่งความสมเพชเวทนา
‘เซี่ยงหมิงก็จะเล่นด้วย? เช่นนี้ยิ่งดี! เช่นนี้จึงจะสามารถพิสูจน์ความสามารถที่แท้จริงของท่านอาซูของข้าคนนี้ได้!’
เจิ้งมู่เหยาหวีดร้องในใจด้วยความสาแก่ใจ ดวงตางดงามส่องสว่างด้วยความหวัง
“เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเจ้ารับปากกันทุกคน?”
ซูอี้เห็นเช่นนี้แล้วอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ กล่าวสบายใจ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี วันนี้ข้ารับรองว่าจะอยู่เล่นกับพวกเจ้าไม่ให้ตกหล่นใครไปแม้แต่คนเดียว”
หนุ่มน้อยชุดสีดำคนนั้นอดกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว เชิดคางเล็กน้อย ประสานมือประคองหมัดด้วยท่าทีหยิ่งยโส กล่าวเย็นชา “หูเจี่ยว ศิษย์สายในแห่ง ‘สถานหมู่ดารา’ ตำหนักศึกษาเทียนหยวน โปรดชี้แนะ!”
[1] หนึ่งเค่อคือหน่วยวัดเวลาในโบราณของจีน ยาวนานประมาณ 15 นาที