บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 183 ไปแล้วย้อนกลับมา
เซี่ยงหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง กล่าว “ซูอี้ ข้ายอมรับว่าเจ้าเก่งมาก เมื่อสักครู่พวกเรามองผิดไป”
พูดถึงตรงนี้ แววตาเย็นยะเยือกส่องประกายในสายตาของเขา “แต่เจ้าก็อย่าลืมว่า ที่นี่คือตำหนักเทียนหยวน หากว่าทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าจะรับผิดชอบไม่ไหวเป็นแน่!”
เจิ้งมู่เหยาใจเต้นขึ้นมา จริงตามว่า ที่นี่คือตำหนักเทียนหยวน หากให้พวกผู้เฒ่าเหล่านั้นมาเห็นสภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ผลที่ตามมาแทบไม่กล้าจะคาดคิด!
“ขอเพียงเจ้าหยุดในตอนนี้ ข้าสามารถรับรองได้ว่า เรื่องในวันนี้จะยุติเพียงเท่านี้ ไม่เช่นนั้น…”
สายตาของเซี่ยงหมิงเย็นสะท้าน พูดยังไม่จบ อาการข่มขู่ก็แสดงออกมาอย่างไม่ซ่อนเร้นแล้ว
ซูอี้ย่างเท้าเดินไปหา
“เจ้ายังคิดจะดึงดันต่อไปเช่นนั้นหรือ?”
สีหน้าของเซี่ยงหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ชักดาบที่เหน็บเอวออกมา
ร่างของซูอี้เคลื่อนหายราวกับแสงไฟกะพริบ ทันใดปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเซี่ยงหมิง มือขวาถูกเหวี่ยงออกไป
เพียะ!
รอยฝ่ามือประทับลงบนหน้าของเซี่ยงหมิง ร่างถึงกับเซถลาจนเกือบจะคะมำกับพื้น ใบหน้าคมเข้มบวมแดงขึ้นมา
“เจ้ากล้าตบหน้าข้า?”
เซี่ยงหมิงเบิกตากว้างด้วยความอับอายและโกรธแค้น
เพียะ!
เป็นอีกฉาดหนึ่งที่ตบลงบนหน้าของเซี่ยงหมิง ฝ่ามือนั้นหนักหน่วง โหนกแก้มถึงกับยุบลงไป เลือดทะลักออกจากปากและจมูก ใบหน้าคมเข้มปูดแดงราวกับหัวหมู
ส่งเสียงดังโครมทีหนึ่ง เขาหกล้มลงไปนั่งกับพื้น ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา ผมเผ้ายุ่งเหยิง ทั้งโกรธทั้งรุ่มร้อนใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
ไม่ไกลนัก เจิ้งมู่เหยาสูดปาก
เซี่ยงหมิง!
บุคคลผู้เก่งฉกาจติดสิบอันดับแรกของศิษย์สายใน การฝึกตนขั้นสามขอบเขตรวบรวมลมปราณ วิถียุทธ์ยอดเยี่ยมเป็นหนึ่ง!
กอปรกับตัวเขาเป็นถึงบุตรชายของเจ้าแคว้น อยู่ในตำหนักเทียนหยวนเจิดจำรัสดุจดังเสาเอกแห่งสวรรค์
ทว่าตอนนี้ ในกำมือของซูอี้ เซี่ยงหมิงแทบจะคล้ายกับดินโคลนให้คนอื่นย่ำยี ไม่มีแม้กำลังจะต้านทาน!
สิ่งที่ทำให้เจิ้งมู่เหยาขนลุกยิ่งกว่าคือ ดูเหมือนว่าซูอี้ไม่ได้สนใจถึงผลที่จะตามมาแม้แต่น้อย…
ไม่ว่าจะเป็นตำหนักเทียนหยวน หรือบุตรชายเจ้าแคว้นกุ่น ในสายตาของเขาราวกับไร้ซึ่งความหมาย!
เจิ้งมู่เหยามักจะก่อเรื่องอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เองจึงถูกมองว่าเป็นนางมารน้อย ทว่าเวลานี้แม้กระทั่งนางก็ยังรู้สึกหนังหัวชาเพราะความลำพองไม่กลัวใครของซูอี้
“คุกเข่าให้ดี” ซูอี้ยืนอยู่ตรงหน้าเซี่ยงหมิง ก้มมองพลางเอ่ยพูด
เซี่ยงหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ซูอี้ เจ้า…”
ไม่รอให้พูดจบ คอของเขาก็ถูกซูอี้บีบ ถูกหิ้วจนตัวลอย จากนั้นตอกลงกับพื้นอย่างแรงราวกับตอกเสาไม้
ตุบ!
หัวเข่าทั้งสองกระแทกพื้น เซี่ยงหมิงคุกเข่าลงในทันใด
ความรู้สึกถูกหมิ่นประมาทยากนักจะหาคำใดมาบรรยายผุดขึ้นในหัวใจของเซี่ยงหมิงจนถึงกับงุนงง
เขาคือใคร?
บุตรชายเจ้าแคว้นทั้งคน บุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วตำหนักเทียนหยวน ทว่าตอนนี้กลับถูกบังคับให้คุกเข่าจนไม่มีที่จะให้ซุกหน้า!
“หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้รับปากไว้ว่าจะไม่เอาชีวิตน้อย ๆ ของพวกเจ้า ตอนนี้เจ้ากลายเป็นศพไปแล้ว”
แววตาของซูอี้ราบเรียบ
ทั้งบริเวณสงบนิ่งราวป่าช้า
ศิษย์ตำหนักเทียนหยวนที่ถูกกดให้คุกเข่าเหล่านั้น แต่ละคนหน้าอมทุกข์ราวกับสูญเสียบิดามารดร น่าสมเพชเวทนา นิ่งเงียบไม่กล้าพูดราวกับจักจั่นจำศีล
เจิ้งมู่เหยามองดูภาพเหตุการณ์เหล่านี้แล้วในใจมีเพียงแค่ความคิดเดียวเท่านั้น โชคดีที่วันนี้ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรรบกวนท่านอาซูในรถม้า ไม่เช่นนั้น จุดจบคงจะแย่มากเช่นกัน…
ระห่ำเกินไปแล้ว!
นางโตจนป่านนี้ยังไม่เคยเห็นใครที่อหังการได้ถึงเพียงนี้ มีความทระนงแบบที่ไม่มองใครในสายตา มีความแข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่อาจคาดเดา!
“ครึ่งเค่อแล้ว”
ซูอี้คำนวณเวลาเงียบ ๆ
“นี่…”
ฉับพลัน เสียงตื่นตระหนกดังขึ้นมาจากไกล ๆ
ซูอี้หมุนตัวไปก็เห็นเหวินหลิงเจาที่ไปแล้วย้อนกลับมา
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…”
บนใบหน้าเย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็งของเหวินหลิงเจาปรากฏอาการตื่นตระหนกตกใจยากจะปิดบังได้ออกมา
ก่อนหน้านี้ นางจากไปพร้อมกับความโกรธเกรี้ยว ทว่าระหว่างทางได้ยินเสียงต่อสู้ประหัตประหารแว่ว ๆ จึงหยุดเดินสงบใจเงี่ยฟังเสียงชั่วครู่
ทว่าเนื่องจากอยู่ไกลเกินไป นางได้ยินเพียงเสียงร้องตื่นตระหนกเพียงเลือนรางเท่านั้น
ตอนนั้น ความคิดแรกของนางคือซูอี้คงจะถูกทำร้ายเข้าแล้ว!
เพราะอย่างไรก็ดี ที่นี่คือยอดเขาดั้นเมฆซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุมของศิษย์สายใน เมื่อสักครู่ทุก ๆ คนล้วนมองเห็นภาพที่ซูอี้ยั่วโมโหตนเอง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมองซูอี้ว่าเป็นศัตรู
ความคิดเช่นนี้ทำให้เหวินหลิงเจารู้สึกสับสน
ภาพความอหังการแบบโง่เขลาของซูอี้เมื่อก่อนหน้านี้ทำให้นางเดือดดาลและผิดหวังอย่างเหลือเกิน ทว่าพอนึกถึงว่าหากซูอี้ถูกทำร้ายเพราะเหตุนี้ กลับรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในนามพวกเขายังคงเป็นสามีภรรยา หากว่าซูอี้ถูกทำร้าย แต่นางกลับไม่สนใจไยดี พูดออกไปจะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของนางเช่นกัน
สุดท้าย เหวินหลิงเจายังคงกัดฟันย้อนกลับมา
ทว่านางคาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่า เมื่อกลับมาถึงจะได้เห็นภาพปรากฏการณ์เช่นนี้
สหายร่วมสำนักเหล่านั้น บ้างก็คุกเข่า บ้างก็ลุกไม่ขึ้น ล้มระเนระนาด แต่ละคนอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่!
ภาพทั้งหมดนี้ทำให้นางเข้าใจว่าตัวเองตาลาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นเซี่ยงหมิงหน้าปูดจมูกเบี้ยว โหนกแก้มยุบ ผมเผ้ายุ่งเหยิงคุกเข่าต่อหน้าซูอี้ เหวินหลิงเจานิ่งตะลึงไปทั้งตัว
นางเข้าใจเป็นอย่างดีว่าการฝึกตนของเซี่ยงหมิงนั้นแก่กล้าถึงเพียงไหน และก็รู้ดีว่าฐานะของเซี่ยงหมิงนั้นยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด กระทั่งคนใหญ่โตทั้งหลายในตำหนักเทียนหยวนแห่งนี้ก็ยังไม่กล้าผิดใจต่อเซี่ยงหมิง
ทว่าเหวินหลิงเจาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า บุตรชายเจ้าแคว้นท่านนี้กลับคุกเข่าอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางที่อับจนหมดหนทางเช่นนี้!
ส่วนซูอี้… กลับเป็นคนเดียวในเหตุการณ์ที่ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนแม้แต่ปลายผม
นางนิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้นไปชั่วขณะด้วยอาการมึนงง
นี่… มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
ราวกับเป็นห่วงว่าเหวินหลิงเจาจะเข้าใจผิด เจิ้งมู่เหยาส่งเสียงเจื้อยแจ้ว “ศิษย์พี่หลิงเจา พวกเขาร่ำร้องจะให้ท่านอาซูของข้ากล่าวขอโทษต่อศิษย์พี่ให้ได้ แล้วยังท้าทายไม่เลิก อยากจะใช้กำลังบีบคั้นให้ท่านอาซูก้มหัว ผลก็เป็นอย่างที่เห็น พวกเขาแต่ละคนล้วนต้องคุกเข่า เรื่องนี้จะกล่าวโทษท่านอาของข้าไม่ได้ พวกเขาหาเรื่องใส่ตัวเอง”
หูเจี่ยวกับเหมิงทั่วต่างก็แสดงสีหน้าอับอายออกมา ไม่อาจหาคำตอบโต้ได้
เซี่ยงหมิงยิ่งก้มหน้าต่ำมากขึ้นราวกับไม่ต้องการให้เหวินหลิงเจามองเห็นสภาพอัปยศของตนเอง
“เป็นไปได้เช่นใด…” สายตาของเหวินหลิงเจาเลื่อนลอย
ในความนึกคิดของนาง เมื่อหนึ่งเดือนก่อนซูอี้เพิ่งฟื้นฟูการฝึกตน คว้าอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกรมาเท่านั้น เขาในตอนนั้นฝึกตนถึงขอบเขตโคจรโลหิตเท่านั้น เหตุใดระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนก็เปลี่ยนไป สามารถแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้?
เหวินหลิงเจารู้สึกว่าความเข้าใจของตัวเองกำลังถูกอะไรบางอย่างซัดกระแทก ยากนักจะเชื่อได้ในตอนนี้
“เจ้าไปหากระดาษกับพู่กันมา”
ซูอี้มองไปที่เจิ้งมู่เหยา จากนั้นนางก็รีบไปทำตามสั่ง
ในใจของนางสั่นสะท้านขึ้นมา ท่านอาซูตัดสินใจเด็ดขาดจะหย่าภรรยาแล้วจริง ๆ!
เมื่อได้ยินคำของซูอี้ เหวินหลิงเจาตั้งสติกลับมาได้ในฉับพลัน นางเบิกตากว้างพลางกล่าว “เจ้าคิดว่า… ข้ากลับมาเพื่อรับปากจะลงนามในสัญญากระดาษของเจ้าฉบับนั้นน่ะหรือ?”
แววตาของซูอี้สงบราบเรียบ “สถานการณ์ในตอนนี้เจ้าก็มองเห็นแล้ว ควรจะรู้และเข้าใจได้ว่าวันนี้ไม่ว่าจะเป็นใครมาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของข้าได้”
นิ่งเงียบไปสักครู่ เขากล่าวเสริม “แน่นอน ตอนนี้เจ้ายังมีเวลาไม่ถึงครึ่งเค่อในการตัดสินใจ”
เหวินหลิงเจาสูดลมหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่ง สลัดความคิดฟุ้งซ่านในใจออกไปจนหมด กล่าวด้วยสายตาที่เยือกเย็น “ตอนนี้ข้าก็สามารถบอกเจ้าได้เช่นกัน งานสมรสระหว่างเจ้ากับข้า ข้าจะจัดการด้วยตนเอง …และการตัดสินใจของข้าก็ไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน!”
ซูอี้ขมวดคิ้ว ทว่าครู่เดียวก็คลาย พลางกล่าวคำออก “สุดแล้วแต่ ในเมื่อเจ้าดื้อรั้นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นข้าเขียนสัญญาเพียงคนเดียวได้”
“เจ้า”
ไม่รู้สึกหรือว่าทำเช่นนี้ช่างน่าขันนัก?
น้ำเสียงของเหวินหลิงเจาเย็นประดุจน้ำแข็ง
ซูอี้กล่าวเสียงราบเรียบ “น่าขัน? เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นผู้เคราะห์ร้ายของการสมรสนี้ ทว่าในวันงานมงคล ตอนที่เจ้าหนีออกจากบ้าน เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าการทำเช่นนี้เป็นการหมิ่นประมาทข้ามากเพียงใด? และก็นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเช่นกัน ทั่วทั้งเมืองกว่างหลิง มีผู้ใดบ้างที่ไม่หัวเราะเยาะข้า?”
เหวินหลิงเจานิ่งเงียบไป
“ผ่านไปหนึ่งปี กลับพาเว่ยเจิงหยางคนที่มีความแค้นต่อข้าตั้งแต่ตอนที่อยู่สำนักดาบชิงเหอมาด้วย เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้ไม่เกินไปหรอกหรือ?”
สายตาของซูอี้เย็นเยือก
เหวินหลิงเจาย่นหัวคิ้ว กล่าว “ตอนนั้นข้าไม่รู้เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเจ้าแม้สักนิด ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างข้ากับเขาไม่ได้มีอะไรต่อกันด้วย”
“หากมีอะไรต่อกันจริง เกรงว่าเจ้าคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันนี้เช่นกัน”
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ารับได้ที่เจ้ามีจิตใจต่อต้านและรังเกียจการสมรสนี้ ทั้งยังชื่นชมความพยายามทั้งหมดที่เจ้าทำไปเพื่อยกเลิกงานสมรสนี้ด้วย เรื่องในอดีตข้าก็ขี้เกียจจะนำมาคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าอีก แต่วันนี้ ระหว่างเจ้ากับข้า จะต้องตัดขาดจากกัน”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขากล่าวต่อ “เจ้าเป็นศิษย์ตำหนักเทียนหยวนของเจ้าต่อได้ และสามารถรื่นเริงไปกับการตามจีบของผู้ชายคนใดก็ได้เช่นกัน ส่วนข้าซูอี้นับแต่นี้ไปหลุดพ้นจากสถานภาพ ‘เขยแต่งเข้าบ้าน’ ทำเช่นนี้จะเป็นการดีต่อทุกฝ่าย”
เหวินหลิงเจาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวออกมา และกล่าวคำออก “หากว่าทุกอย่างสามารถจัดการได้ง่ายเพียงนี้ ข้าคงทำไปตั้งนานแล้ว แต่จากที่ข้ามอง สัญญาที่เจ้ากล่าวถึงในตอนนี้เป็นเพียงแค่กระดาษไร้ประโยชน์แผ่นหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจเปลี่ยนแปลงงานสมรสระหว่างเราได้แม้แต่น้อย!”
นางรู้สึกโกรธจนแทบจะเสียสติอยู่แล้ว
ผู้ชายคนนี้ไม่รู้กฎเกณฑ์ของอาณาจักรต้าโจวว่าด้วยเรื่องเขยแต่งเข้าบ้านจริง ๆ หรือ?
หรือว่าเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าการจะยกเลิกงานสมรส หากตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงไม่พยักหน้าเห็นด้วย ใครก็ไม่สามารถทำอะไรได้?
“ขอเพียงซูผู้นี้ตัดสินใจไปแล้ว ย่อมเด็ดขาดกว่ากฎเกณฑ์ใด ๆ ในโลกสามัญแห่งนี้ ไม่เชื่อเจ้าสามารถลองดูได้”
ซูอี้เพิ่งพูดถึงตรงนี้ ทันใดเสียงหนักหน่วงประดุจสายฟ้าฟาดก็ดังขึ้น
“นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดพวกเจ้าจึงคุกเข่าอยู่ตรงนี้?”
เสียงยังคงดังกึกก้อง ชายวัยกลางคนในชุดผ้าแพรก้าวเท้ามาถึง ผมและหนวดเคราดำขลับเงางาม ผิวขาวใสกระจ่าง สง่างามน่าเกรงขาม
ด้านหลังของเขาติดตามด้วยผู้เฒ่าสวมชุดยาวรัดเอว กับผู้ชายสะพายดาบ หนวดเคราพลิ้วพราย
“ท่านอาจารย์!”
เซี่ยงหมิงตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด ราวกับคว้าความหวังเส้นสุดท้ายไว้ได้
ชายหนุ่มหญิงสาวคนอื่น ๆ ที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นตื่นตระหนกก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็พลอยแสดงสีหน้าดีอกดีใจออกมาด้วยเช่นกัน
ชายวัยกลางคนชุดผ้าแพรคนนั้นก็คืออาจารย์ผู้มีพระคุณถ่ายทอดวิชาของเซี่ยงหมิง รองจ้าวตำหนักเทียนหยวน นามว่าหวังเจี่ยนฉง เป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์ขั้นสาม!
“ศิษย์คารวะอาจารย์ลุงหวัง”
เหวินหลิงเจาสะดุ้งขึ้นมาในใจ ตั้งสติกลับมาได้จากไฟโกรธแล้วน้อมคารวะน้อย ๆ
หวังเจี่ยนฉงพยักหน้าด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง เห็นว่าพวกของเซี่ยงหมิงยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น จึงร้องตวาดออกมา “ยังไม่ลุกขึ้นอีก!?”
พวกของเซี่ยงหมิงจึงพากันลุกขึ้นราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน
ซูอี้ไม่ได้ทัดทาน เพียงแค่พวกตัวเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่ควรค่าให้ถือสา
“ใครบอกข้าได้ว่าที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
หวังเจี่ยนฉงพูดพลางสายตาประดุจไฟหนาวจับจ้องไปที่ซูอี้ตั้งนานแล้ว
ผู้เฒ่าชุดยาวที่อยู่ข้างกายเขากับผู้ชายหนวดเคราพลิ้วสะพายกระบี่ก็มองไปที่ซูอี้ด้วยสายตาหนาวเย็นประดุจน้ำแข็งด้วยเช่นกัน
ถึงแม้พวกเขาจะไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ ทว่าไหนเลยจะดูไม่ออก? เห็นได้ชัดว่าพวกของเซี่ยงหมิงถูกหนุ่มน้อยชุดเข้มคนนี้จับกดให้คุกเข่า
ซูอี้ยืนมือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ใส่ใจพวกของหวังเจี่ยนฉง เพียงแต่มองไปที่อื่นไกล ๆ
รับชมเจิ้งมู่เหยามาถึงแล้ว ในมือยังถือกระดาษพู่กันมาด้วย
หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของซูอี้จึงผ่อนคลายลง