บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 184 สังหารปรมาจารย์
เซี่ยงหมิงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา
ถูกรังแกเช่นนี้เขาละอายใจเกินกว่าที่จะพูดสิ่งใดออกไป เขามองไปยังเถียนตงซึ่งอยู่ข้าง ๆ แทน
เถียนตงรู้ได้ทันทีว่าเซี่ยงหมิงต้องการสิ่งใด ริมฝีปากเปิดกล่าวถ้อยคำขมขื่นที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความโกรธ
“ท่านอาจารย์หวัง คนผู้นี้ชื่อซูอี้ เขาบุกรุกเข้ามาที่ยอดเขาดั้นเมฆและทำให้ศิษย์น้องหลิงเจาขุ่นเคือง ข้าไม่สามารถอดทนดูได้จึงคิดทวงความยุติธรรมให้ศิษย์น้อง แต่ใครเล่าจะไปคิดว่าเขายโสโอหังยิ่งนัก…”
ถ้อยคำกล่าวออกเอาดีเข้าตัวอย่างชัดเจน ประหนึ่งตัวเองนั้นมีความชอบธรรมอยู่เต็มเปี่ยม แต่ซูอี้กลับกลายเป็นผู้ร้ายซึ่งบ้าคลั่งไคล้และสร้างความวุ่นวายให้กับตำหนักเทียนหยวน
คนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าสนับสนุน
ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกซูอี้กำราบจนเสียหน้า ยามนี้เมื่อผู้อาวุโสปรากฏตัวแล้ว เหตุใดพวกเขาจึงไม่อยากจะแก้แค้น?
เหวินหลิงเจาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่เมื่อครู่นี้นางไม่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดระหว่างซูอี้และกลุ่มของเซี่ยงหมิง ดังนั้นนางจึงไม่สามารถออกความเห็นใด ๆ ได้
ทันใดนั้น สีหน้าของหวังเจี่ยนฉงและชายหนวดโค้งสะพายดาบแปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่น
ในขณะเดียวกัน เจิ้งมู่เหยากลับเข้ามาและยื่นพู่กัน กระดาษ และหินหมึกให้ซูอี้
จากนั้นนางหันไปมองเถียนตง และพูดอย่างโกรธเคืองว่า “เถียนตงไอ้คนไร้ยางอาย เหตุใดเจ้าไม่พูดให้ตรงกับประโยคที่เจ้ากล่าวกับท่านอาซูอี้ของข้าเมื่อครู่นี้!”
“ข้า…” สีหน้าของเถียนตงเปลี่ยนเป็นแข็งค้าง
โดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้พูดต่อ เจิ้งมู่เหยาประสานมืออย่างเคารพไปทางหวังเจี่ยนฉง “ท่านอาจารย์หวัง สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ หาได้ตรงกับสิ่งที่เถียนตงพูดแม้แต่น้อย การต่อสู้ที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างยุติธรรมและสมัครใจ!”
เซี่ยงหมิง เถียนตง และคนอื่น ๆ มีสีหน้าที่มืดหม่น พวกเขาแอบสาปแช่งอยู่ในใจ พวกเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าเพื่อประโยชน์ของซูอี้ เจิ้งมู่เหยาจะเพิกเฉยต่อศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันอย่างสิ้นเชิง!
พวกเขาต่างกังวลและครุ่นคิดว่าจะหักล้างอย่างไรดี
หวังเจี่ยนฉงโบกมือขัดจังหวะคำพูดของเจิ้งมู่เหยา ถ้อยคำกล่าวออกอย่างอหังการ “ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ยามอยู่ในตำหนักเทียนหยวน คนนอกไม่มีสิทธิ์ดูถูกและเหยียบย่ำศิษย์ของเรา การกระทำดังกล่าวไม่อาจให้อภัยได้!”
รองเจ้าตำหนักเทียนหยวน เผยท่าทีไม่แยแส คำกล่าวของเขาดังก้องและทรงพลังไม่อาจเปลี่ยนแปลง
เจิ้งมู่เหยาตกตะลึงและอดไม่ได้ที่จะโต้แย้ง “แต่ท่านอาจารย์หวัง เห็นได้ชัดว่าเป็นความผิดของพวกเขา เหตุใดท่าน… ”
หวังเจี่ยนฉงขมวดคิ้วและขัดจังหวะอีกครั้ง “เจิ้งมู่เหยา ในฐานะศิษย์สายในของตำหนักเทียนหยวน ไม่เพียงเจ้าไม่ยับยั้งคนนอกทำร้ายศิษย์ร่วมสำนักของตนเอง แต่ตอนนี้เจ้ากลับยังดื้อรั้นช่วยคนนอกให้โต้เถียง แรงจูงใจของเจ้าคือสิ่งใดกันแน่!”
ใบหน้าสวยงามของเจิ้งมู่เหยาแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง ความโกรธที่ไม่อาจบรรยายได้ผุดขึ้นในหัวใจของนาง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเจอเรื่องอยุติธรรมถึงระดับนี้ นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่ารองเจ้าตำหนักผู้สูงส่งจะกล้าเอ่ยวาจาไร้เหตุผลเช่นนี้ออกมา
ในเวลานี้เซี่ยงหมิงและคนอื่น ๆ รู้สึกผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ พวกเขาจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าหวังเจี่ยนฉงกำลังยืนหยัดเพื่อพวกเขาอยู่?
น่าเสียดายที่เจิ้งมู่เหยาผู้เป็นถึงบุตรีของผู้นำตระกูลเจิ้ง แต่นางกลับโง่เขลาไม่สามารถมองออกถึงความคิดอ่านของหวังเจี่ยนฉงได้ สมควรที่นางจะถูกตำหนิ!
“เพื่อเห็นแก่หน้าบิดาและอาจารย์ของเจ้าแล้ว ข้าจะไม่ถือสาหาความเจ้าในครั้งนี้ แต่ถ้าหากเจ้ายังคงดื้อรั้นไม่รู้จักดีชั่วต่อไป ก็อย่าได้โทษข้าที่ต้องโหดร้ายลงโทษเจ้าด้วยกฎของตำหนักเทียนหยวน!”
หวังเจี่ยนฉงพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา
เจิ้งมู่เหยากัดฟันด้วยความโกรธ กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
ทว่าซูอี้ตบไหล่นางและพูดอย่างเฉยเมย “เมื่อเจ้าพบคนที่สนทนาด้วยเหตุผลไม่ได้ การสนทนาต่อไปมันจะรังแต่เสียเวลาเปลืองน้ำลาย อย่าได้ไปสนใจเขา หากเขาเบื่อชีวิตของตัวเองนัก ข้าก็ยินดีที่จะเติมเต็มความปรารถนาของเขาให้”
เจิ้งมู่เหยาเม้มริมฝีปากไม่พอใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินหลีกไปด้านข้าง แต่กระนั้น นางยังอดประหลาดใจไม่ได้ แม้แต่รองเจ้าตำหนักหวังยังไม่สามารถทำให้ซูอี้หวั่นไหวได้เลยหรือ?
ช่างแข็งกร้าวยิ่งนัก!
“อะไร… เจ้าพูดว่าอะไรนะ!?”
หวังเจี่ยนฉงบังเกิดโทสะราวกับใบหน้าถูกย้อมด้วยสีแดง ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ
คนอื่น ๆ แสดงสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน ใครจะกล้าเชื่อว่าในสถานการณ์เช่นนี้ซูอี้ยังกล้าพูดว่ารองเจ้าตำหนักกำลังรนหาที่ตาย?
เหวินหลิงเจารู้สึกสับสนยิ่งนัก เมื่ออดีต ซูอี้คือชายที่เฉยเมยที่สุดแม้จะถูกผู้คนด่าทอหรือเหยียดหยาม แต่เหตุใดขณะนี้เขาดูเหมือนเป็นคนละคน เย่อหยิ่งจองหองเทียมฟ้าได้ขนาดนี้?
“พี่หวังโปรดใจเย็นก่อนเถิด ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างชัดเจนแล้ว เหตุใดท่านจึงต้องใส่อารมณ์กับเด็กที่โง่เขลาผู้นี้ ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้เอง”
ทันใดนั้นชายชราในชุดคลุมขาวบริสุทธิ์เดินปรี่เข้ามาด้วยสายตาที่สงบเยือกเย็น สายตาเหลือบไปจ้องมองซูอี้ก่อนจะกล่าวว่า “หนุ่มน้อย เจ้าบังคับให้ศิษย์ข้าคุกเข่าต่อหน้าเจ้า ตอนนี้ข้าจะทำให้เจ้าคุกเข่าต่อหน้าข้าบ้าง ไม่เช่นนี้ชื่อเสียงของ…”
ทว่าก่อนที่ชายชราจะเอ่ยจบ ซูอี้พูดขัดอย่างเฉยเมย “เลิกพูดเหลวไหลให้ข้าเสียเวลา หากเจ้าเบื่อชีวิตเช่นกันก็จงเข้ามาเลย ข้าสัญญาว่าเจ้าจะได้จบชีวิตตามที่ปรารถนา”
หลังจากเอ่ยจบ ซูอี้เดินไปวางพู่กัน กระดาษ หินหมึกลงบนก้อนหินข้าง ๆ ต้นสน
ทันใดนั้นบรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งอย่างฉับพลัน
ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยงหมิง คนอื่น ๆ หรือเหวินหลิงเจา พวกเขาทั้งหมดจ้องมองที่ซูอี้อย่างว่างเปล่า ด้วยความรู้สึกไร้สาระในใจที่อธิบายไม่ได้
ชายชราในชุดชาวคือฉู่ข่งเฉา ผู้อาวุโสลำดับแปดแห่งตำหนักเทียนหยวน!
แต่ตอนนี้ เขากำลังถูกซูอี้ทำให้อับอายขายหน้า!
หวังเจี่ยนฉงและชายหนวดโค้งสะพายดาบซึ่งอยู่ไม่ไกลนักตกตะลึง
“ช่างเป็นเด็กที่จองหองนัก!”
ฉู่ข่งเฉาชายชราในชุดขาว โกรธจัดยิ่งกว่าจนหน้าซีด เขาก้าวไปข้างหน้า รัศมีปรมาจารย์วิถียุทธ์ระเบิดออกในทันใด
ทันใดนั้น ราวกับภูเขาไฟปะทุขึ้นอย่างฉับพลัน ปราณวิญญาณอันรุนแรงส่งผลให้กระแสลมในบริเวณใกล้เคียงปั่นป่วนวุ่นวาย ทั้งทรายและหินต่างปลิวว่อน
รุนแรงนัก!
ศิษย์หลายคนทั้งหวาดเกรงทั้งตื่นเต้น ทำให้ผู้อาวุโสลำดับแปดโกรธเคืองเช่นนี้ ซูอี้ไม่มีทางรอดชีวิตกลับไปแน่!
ตูม!
หลังจากแสดงอำนาจจนพอใจ โดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก ฉู่ข่งเฉาลงมืออย่างดุดันไร้ปรานี
ปลายนิ้วทั้งสิบเปล่งประกายด้วยแสงและเงาที่พร่างพราวราวกับใบมีด นิ้วทั้งสิบกางออกประหนึ่งกรงเล็บ มุ่งหมายจะกระชากหนังแล่เนื้อของซูอี้
วิชาลับระดับปฐพีชั้นกลาง กรงเล็บหงส์เหิน!
มันสามารถฉีกกระชากผนังทองแดงหรือเหล็กกล้าได้ราวกับฉีกกระดาษ
แม้จะมองจากระยะไกล แต่เซี่ยงหมิงและคนอื่น ๆ ยังคงรู้สึกหายใจลำบากจากความกดดันอันยิ่งของพลังระดับปรมาจารย์
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อวานนี้ ซูอี้เพิ่งฆ่าปรมาจารย์วิถียุทธ์ขั้นสามจากนิกายวงเดือนไปหมาด ๆ อีกทั้งยังมีปรมาจารย์วิถียุทธ์อีกมากมายตกตายไปด้วยน้ำมือของซูอี้ก่อนหน้านั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ส่ายหัวเล็กน้อยพลางยิ้มเย้ย จนกระทั่งฉู่ข่งเฉาเข้ามาถึงระยะ ซูอันกำหมัดขวาและชกสวนออกอย่างราบเรียบ
ตูม!!
กร๊อบ! กร๊อบ!
หมัดธรรมดาของซูอี้ประหนึ่งเหมือนอยู่ยงคงกระพัน กรงเล็บของฉู่ข่งเฉาซึ่งคมราวกับดาบถูกบดขยี้ ข้อต่อและกระดูกทั้งหมดแตกกระจัดกระจาย โลหิตสาดกระเซ็นราวกับดอกไม้ไฟเทศกาล
ทว่าหมัดของซูอี้ยังไม่หยุดยั้ง มันพุ่งเข้าใส่กลางหน้าอกของฉู่ข่งเฉาโดยตรงอย่างรุนแรง
ตูม!
ภายใต้การจ้องมองของฝูงชนที่ตกตะลึง ร่างของฉู่ข่งเฉาลอยละลิ่วราวกับว่าวสายป่านขาด กระแทกเข้ากับหน้าผาที่อยู่ห่างออกไปกว่าสิบจั้งทำให้เกิดเสียงดังโครมและก้อนหินแตกกระเซ็น จากนั้นร่างไถลหล่นลงพื้นนอนแน่นิ่งหมดลมหายใจ
หนึ่งหมัดหนึ่งชีวิตปรมาจารย์!
ฉากนี้แทบทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง
“นี่…”
เซี่ยงหมิงและศิษย์คนอื่น ๆ เงียบเป็นเป่าสาก พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง
ผู้อาวุโสลำดับแปด ปรมาจารย์วิถียุทธ์ผู้กล้าแกร่ง ถูกหมัดเดียวของรุ่นเยาว์ขอบเขตรวบรวมลมปราณฆ่าตาย?
ใบหน้าที่สวยงามของเหวินหลิงเจาแข็งค้างหลังจากเห็นหมัดนี้ จิตใจของนางปั่นป่วนราวกับถูกคลื่นพายุซัด
เมื่อได้เห็นหมัดนี้ของซูอี้ ความภาคภูมิใจและความมั่นใจทั้งหมดในตัวนางคล้ายกับถูกทำลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี
มือเรียบเนียนของนางกำแน่น ริมฝีปากแดงสดเม้มสนิท ดวงตาที่เคยเย็นชาโดยตลอดขณะนี้ทั้งสับสนและตื่นตะลึง
เป็นเวลาแค่เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นที่ซูอี้ฟื้นฟูการบ่มเพาะของตนเอง แต่ขณะนี้เขาสามารถสังหารปรมาจารย์ได้แล้ว!?
“พ่อไม่ได้โกหกข้าจริง ๆ… ซูอี้ช่างน่ากลัวนัก…”
เจิ้งมู่เหยาก็ตกใจเช่นกัน ทั้งร่างและจิตใจสั่นระทึก ดวงตาที่สวยงามของนางเบิกกว้าง ขณะนี้นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อคืนพ่อของนางจึงย้ำเตือนนางซ้ำ ๆ ให้ระวังกิริยาต่อซูอี้!
“คุณชายซูเปรียบเสมือนเซียนอมตะผู้ถูกเนรเทศ อย่าให้รูปลักษณ์ภายนอกอันเยาว์วัยของเขาหลอกเจ้าได้ เจ้าจะต้องรับใช้เขาให้ดีอย่าได้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง จงจำไว้นี่คือวาสนาของตระกูลเราที่ได้พานพบคุณชายซู!”
ก่อนหน้านี้เจิ้งมู่เหยายังคงสงสัยในคำพูดของบิดาตนเอง แต่ในเวลานี้ แม้ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ
ใบหน้าของหวังเจี่ยนฉงและชายหนวดโค้งสะพายดาบเปลี่ยนไปยิ่งกว่าเดิม
หมัดนี้ทำให้พวกเขาตกใจอย่างสุดขีด ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านและตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ชายหนุ่มในขอบเขตรวบรวมลมปราณตรงหน้าพวกเขาสามารถฆ่าฉู่ข่งเฉาด้วยหมัดเดียว!!
หากพูดไปใครจะเชื่อเรื่องนี้หากไม่เห็นด้วยตาตนเอง?
ท่ามกลางสายตาที่งุนงงและสับสน ซูอี้พูดด้วยท่าทางสงบว่า “ข้าไม่ต้องการที่จะพูดเรื่องไร้สาระอีกต่อไป และข้าไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไป ใครที่ไม่เห็นด้วยจงก้าวออกมาพร้อม ๆ กัน”
สีหน้าของซูอี้ยังคงเรียบเฉยเหมือนที่ผ่านมา
แต่ในสายตาของทุกคน ชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีคนนี้ช่างน่าสะพรึงกลัว ทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้าน!
“ซูอี้ เจ้ารู้ผลของการทำเช่นนี้หรือไม่! ทำเช่นนี้มันคือการประกาศตนว่าจะเป็นศัตรูกับตำหนักเทียนหยวนของเราโดยสมบูรณ์ วันนี้เจ้าไม่มีทางออกจากที่นี่ไปได้แน่!”
ซูอี้ชำเลืองมองเขาและกล่าวว่า “เช่นนั้นจงชักดาบออกมา ข้าจะได้มอบความตายให้แก่เจ้าอีกคนหนึ่ง”
หัวใจของผู้ชมสั่นคลอนอีกครั้ง ผู้ที่พูดคือ ‘ลี่เฟิงสิง’ ผู้อาวุโสลำดับที่เจ็ดแห่งตำหนักเทียนหยวน เป็นปรมาจารย์ผู้ช่ำชองวิถีดาบ!
เขาคือผู้โด่งดังในวีถีดาบอันดับต้น ๆ แห่งต้าโจว ฝึกปรือวิถีดาบมาเป็นเวลากว่าสิบสามปี และสร้างวิชาดาบ ‘เมฆาเคลื่อนเก้าประหาร’!
หากไม่ใช่เพราะเขาเข้าร่วมตำหนักเทียนหยวนทีหลังผู้อื่น ด้วยความสำเร็จในการบ่มเพาะของเขา เขาย่อมสามารถติดอันดับหนึ่งในห้าจากผู้อาวุโสทั้งเก้าคนได้!
แต่ตอนนี้ ซูอี้ขู่ว่าจะฆ่าลี่เฟิงสิง!
“ช่างโอหังเสียจริง…”
ลี่เฟิงสิงถอนหายใจ และทันใดนั้นเขาชักดาบยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังออกมา ดวงตาของเขาคมกล้าประหนึ่งดาบ
เขาก้าวกระโดดไปข้างหน้า ก่อนจะลอยตัวอยู่กลางอากาศพร้อมกับกระชับดาบในมืออย่างมั่นคง ดาบยาวปลดปล่อยปราณกระบี่จนขุ่นมัว สภาวะนี้มันสร้างเป็นภาพอันคล้ายคลึงว่าทั้งคนและดาบแปรเปลี่ยนเป็นเมฆหมอกบนฟากฟ้า ให้ความรู้สึกทั้งงดงามแต่น่าเกรงขามถึงขีดสุด
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นและดวงตาเผยแววความเย็นชา ดาบเล่มนี้… ช่างน่าสนใจ…
อย่างไรก็ตาม ยามที่เขากำลังจะเคลื่อนไหว
ทันใดนั้น เสียงดังกังวานคล้ายระฆังยามเช้าและกลองศึกพลันดังขึ้นอย่างฉับพลัน
“หยุด!”