บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 185 หนิงซือฮวา
ตอนที่ 185: หนิงซือฮวา
ท่านเจ้าตำหนัก!
ทุกคนตกตะลึงและจำตัวตนผู้เป็นเจ้าของเสียงกังวานนี้ได้
ชิ้ง!
ลี่เฟิงสิงสะบัดข้อมือของตนเอง และทันใดนั้นปราณดาบที่หนาแน่นก็สลายหายไปอย่างฉับพลัน ก่อนร่างเงาของเขาซึ่งดูคล้ายกับก้อนเมฆสลายไปก่อนจะค่อย ๆ ร่อนกลับลงพื้นราวกับนกนางแอ่นที่กลับมายังรัง
ท่วงท่าที่เคลื่อนไหวนั้นสวยงามนัก
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างลับ ๆ
ความสำเร็จทางวิถีดาบของคนผู้นี้แม้จะนับได้ว่าไม่ต่างจากมือใหม่ในสายตาของซูอี้ แต่กระนั้นหากเทียบกับอำนาจของยันต์ดาบจากปรมาจารย์สำนักวงเดือน คนผู้นี้นับว่าไม่ด้อยกว่า
กระนั้นแน่นอนว่าถ้าลี่เฟิงสิงฟาดฟันดาบของเขาออกมา ซูอี้ย่อมเติมเต็มความปรารถนาที่จะตายของอีกฝ่ายให้
บนถนนที่เชิงเขาซึ่งไม่ไกลนัก มีสามร่างกำลังเดินมา
ผู้นำเป็นสตรีที่สวมชุดลายเมฆสีม่วงเข้มไว้ผมยาวมัดเป็นมวย
นางมีรูปร่างที่เล็กกะทัดรัดและใบหน้าเยาว์วัยไร้เดียงสา ราวกับว่านางอายุสิบเอ็ดหรือสิบสองปีเท่านั้น แต่ทว่าทั้งร่างกายของนางเผยซึ่งกลิ่นอายอันลึกล้ำยิ่งใหญ่ มากกว่าผู้ใดทั้งบริเวณ
หืม?
เมื่อซูอี้เห็นสตรีนางนี้ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย สีหน้าแปลก ๆ พลันบังเกิดซึ่งหายากที่เขาจะทำ
ภายใต้กลิ่นอายอันลึกล้ำของหญิงสาว ซูอี้สัมผัสได้ถึงพลังแขนงหนึ่งซึ่งมันคือ ‘พลังแห่งการฟื้นคืนและอ่อนเยาว์’
สิ่งนี้น่าสนใจ
ไม่ว่าสตรีนางนี้จะเป็นนางเฒ่าหรือมีสายเลือดไม่เหมือนใครตั้งแต่กำเนิด การมีพลังเช่นนี้ได้ยังคงนับว่าวิเศษนัก
เพราะในโลกนี้แม้แต่ผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิด หรือที่รู้จักกันในนามเทพเซียนเดินดิน เท่าที่ซูอี้รู้นั้นยังไม่มีใครครอบครองพลังแห่งความเยาว์วัยเช่นนี้ได้สักคน
สองคนที่เดินเคียงข้างมากับสตรีซึ่งเป็นผู้นำกลุ่ม คนหนึ่งเป็นชายชราซ่อนมืออยู่ในแขนเสื้อ และอีกคนหนึ่งคือชายวัยกลางคนร่างผอมบางที่มีเคราและรอยแผลเป็นบนหน้าผาก
“ท่านอาซูอี้ ผู้ที่มาคือเจ้าตำหนักของเรา ส่วนอีกสองท่านคือผู้อาวุโสลำดับหนึ่งและผู้อาวุโสลำดับสอง!”
ด้วยโอกาสนี้ เจิ้งมู่เหยาจึงกระซิบอธิบายให้ซูอี้ได้ทราบถึงสถานะผู้มาใหม่อย่างรวดเร็ว ใบหน้าเล็ก ๆ อันบอบบางของนางเต็มไปด้วยความหวาดเกรงและความกลัว
เมื่อนั้นซูอี้จึงรู้ว่าใครมา
หนิงซือฮวา นายเหนือหัวแห่งตำหนักเทียนหยวน
ปรมาจารย์วิถียุทธ์ในตำนาน!
นางมีต้นกำเนิดที่ลึกลับ อาศัยอยู่ในตำหนักเทียนหยวนมายี่สิบปี หากไม่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษเพื่อฝึกฝน นางก็จะออกเดินทางท่องไปในสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งคนทั่วไปไม่กล้าย่างกราย และดูจะไม่ค่อยสนใจเรื่องทางโลกเท่าใดนัก
แม้แต่กิจการภายในของตำหนักเทียนหยวนนางก็แทบจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว
อันที่จริงแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ศิษย์ส่วนใหญ่ในตำหนักเทียนหยวนต่างก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของนางด้วยซ้ำไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าฉงนใจนัก
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หากจะถามว่าใครคือผู้มีอำนาจมากที่สุดของตำหนักเทียนหยวน ทุกคนย่อมตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าคือนาง!
ซูอี้จำได้ว่าเมื่อวานตอนที่คุยกับโจวจือหลี อีกฝ่ายพูดว่าราชครูแห่งต้าโจวหงเซินชาง เคยกล่าวไว้ว่าในบรรดาสิบตำหนักยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก หนิงซือฮวาเจ้าตำหนักเทียนหยวนนั้นคือผู้ที่ลึกลับและยากที่จะหยั่งถึงมากที่สุด
ส่วนชายชราด้านข้างหนิงซือฮวาคือผู้อาวุโสสูงสุดซ่างเจิน เขาคือปรมาจารย์วิถียุทธ์ขั้นที่ห้า อีกเพียงก้าวเดียวจะสำเร็จเป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์
อีกด้านหนึ่งชายวัยกลางคนผอมบางที่มีเคราและรอยแผลเป็นบนหน้าผากคือผู้อาวุโสลำดับสองหานจ้ง ระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับปรมาจารย์วิถียุทธ์ขั้นที่สี่
การปรากฏกายของหนิงซือฮวาผู้ซึ่งแทบไม่เคยจะปรากฏตัวให้ใครเห็นเช่นนี้ อีกทั้งยังมาพร้อมกับผู้อาวุโสอีกสองคน ทำให้ทุกคนตะลึงงัน การแสดงออกของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“เคารพท่านเจ้าตำหนัก!”
หวังเจี่ยนฉง ลี่เฟิงสิง เซี่ยงหมิง และศิษย์คนอื่น ๆ ต่างรีบเดินมารวมตัวกันเพื่อแสดงความเคารพ
บรรยากาศโดยรอบยิ่งหนักอึ้ง
มีเพียงซูอี้เท่านั้นที่ยืนอยู่ด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ขยับเขยื้อนซึ่งดูสะดุดตามาก
หลังจากที่หนิงซือฮวามาถึง นางเดินตรงไปที่ร่างของฉู่ข่งเฉาและมองดู
เมื่อเห็นเช่นนี้หวังเจี่ยนฉงจึงรีบเร่งก้าวเข้าหาและอธิบายว่า “ท่านเจ้าตำหนัก บัดนี้…”
“ข้ารู้แล้ว”
หวังเจี่ยนฉงหยุดพูดและนิ่งเงียบ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หนิงซือฮวาหันกลับและกล่าวออก “ผู้อาวุโสลำดับสองท่านจงมาจัดการกับร่างของฉู่ข่งเฉา”
หานจ้งพยักหน้ารับคำในทันที ถัดมาเขายกร่างของฉู่ข่งเฉาขึ้นบ่าและเดินจากไป
หนิงซือฮวาพูดอีกครั้ง “ผู้อาวุโสสูงสุด ท่านพาศิษย์เหล่านี้ออกไป”
“รับทราบ!” ซ่างเจินพยักหน้าพร้อมกับประสานมือ
จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปทางเซี่ยงหมิงและศิษย์คนอื่น ๆ ก่อนจะกล่าวสั่งอย่างเฉียบขาด “ตามข้ามา”
หลังออกคำสั่งเสร็จเขาวางมือไพล่หลังและเดินจากไปพร้อมกับเหล่าศิษย์
แม้ว่าเซี่ยงหมิงและคนอื่น ๆ จะอยากรั้งอยู่ต่อเพื่อดูเรื่องสนุก แต่เมื่อแลเห็นฉากนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงระงับอารมณ์ภายในของตัวเองและติดตามผู้อาวุโสสูงสุดอย่างเชื่อฟัง
เจิ้งมู่เหยาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองที่ซูอี้ซึ่งพยักหน้าแสดงสัญญาณอนุญาตให้นางไป
แต่ทว่าเมื่อเขาเห็นเหวินหลิงเจาจะเดินออกไปด้วย ซูอี้ขมวดคิ้วอย่างฉับพลันและกล่าวว่า “เจ้าจะจากไปได้ก็ต่อเมื่อเรื่องระหว่างเจ้าและข้าจบลงโดยสมบูรณ์”
เพียงคำพูดหนึ่งประโยคนี้ บรรยากาศที่หนักอึ้งอยู่แล้วพลันดิ่งฮวบยิ่งกว่าเดิม ผู้คนต่างหันไปมองที่ซูอี้ด้วยแววตาตกตะลึง
ไม่มีใครคาดคิดว่าซูอี้จะอหังการขนาดนี้แม้จะอยู่ต่อหน้าเจ้าตำหนักเทียนหยวน ราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์เป็นตาย!
หัวใจของเจิ้งมู่เหยาแทบจะกระดอนออกจากอก นางอดไม่ได้ที่จะมองเตือนซูอี้ ตอนนี้หาใช่เวลาที่ท่านจะอหังการไม่!!
เซี่ยงหมิง เถียนตง และคนอื่น ๆ ต่างก็แอบดีใจ ชายคนนี้ต้องตายเป็นแน่แท้! แม้แต่รองเจ้าตำหนักหวังเจี่ยนฉงยังไม่กล้าพูดหากไม่ได้รับอนุญาต แต่กระนั้นเจ้าเป็นคนนอกแต่กลับกล้าพูดจาโอหังเช่นนี้ขึ้นมาเจ้าจะรอดได้อย่างไร?
เหวินหลิงเจาตกตะลึงยิ่งกว่าใคร ใบหน้าที่เย็นชาของนางแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด และความรู้สึกปั่นป่วนอันไม่อาจอธิบายปะทุขึ้นในใจของนางอย่างฉับพลัน
เขา… ยังคิดเรื่องสัญญานั้น… เขาไม่กังวลว่าจะถูกสังหารเลยงั้นหรือ?
หวังเจี่ยนฉงอดไม่ได้ที่จะลอบเยาะเย้ยซูอี้ เขาเคยเห็นคนรนหาที่ตายมากมาย แต่เขาไม่เคยคนใดที่โง่เง่าถึงขนาดนี้ เจ้าหนุ่มผู้นี้คิดจริง ๆ หรือว่าถ้าเขามีพลังพอที่จะฆ่าปรมาจารย์ แล้วจะสามารถแสดงท่าทางโอหังต่อหน้าเจ้าตำหนักของเราได้?
ดวงตาของทุกคนหันไปหาหนิงซือฮวาโดยไม่รู้ตัว
แต่ทว่าใบหน้าของหนิงซือฮวายังไร้เดียงสาอยู่เช่นเดิม นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำออก “เช่นนั้นเหวินหลิงเจาเจ้าจงรั้งอยู่ก่อน”
คำพูดของซูอี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง แต่คำตอบของหนิงซือฮวาทำให้ทุกคนตกตะลึงยิ่งกว่า
เกิดอะไรขึ้น?
เหตุใดเจ้าตำหนักจึงยอมอ่อนข้อให้คนนอกผู้นี้?
ความปีติยินดีในเซี่ยงหมิงและคนอื่น ๆ หายไปในทันที ความรู้สึกหดหู่และสูญเสียประดังประเดเข้ามาแทนที่ พวกเขาทั้งหมดแทบจะอาเจียนเป็นโลหิต
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก
ในบรรยากาศที่ฉงนนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดซ่างเจินได้นำเซี่ยงหมิง และคนอื่น ๆ ออกไป และในไม่ช้าที่กลางลานก็เหลือแต่เพียงหนิงซือฮวา หวังเจี่ยนฉง ลี่เฟิงสิง เหวินหลิงเจาและซูอี้
เหวินหลิงเจาเม้มปากและไม่พูดสิ่งใด แต่ใจของนางปั่นป่วนอย่างรุนแรง
นางยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ทำลายความรู้ความเข้าใจของนางไปจนหมดสิ้น ดังนั้น ณ เวลานี้ นางจึงรู้สึกคล้ายว่าตัวเองกำลังฝันอยู่
หวังเจี่ยนฉงและลี่เฟิงสิงก็มีความสงสัยอยู่ในใจเช่นกัน การที่ท่านเจ้าตำหนักปรากฏตัวเช่นนี้เพื่อจัดการกับซูอี้คนนี้ไม่ใช่หรือ แต่เหตุใดเจ้าตำหนักถึงขับไล่คนอื่น ๆ ออกไป?
ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ซูอี้เดินตรงไปที่ก้อนหินข้างต้นสนและฝนพู่กันกับหินหมึก
เขาไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว
เมื่อเห็นการกระทำของเขา หวังเจี่ยนฉงและลี่เฟิงสิงก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ พวกเขาแทบไม่เชื่อสายตาของตนเอง
ชายผู้นี้ไม่เห็นเจ้าตำหนักของพวกเขาอยู่ในสายตาจริง ๆ!
ในเวลานี้หนิงซือฮวาก้าวฝีเท้าของตัวเองอย่างแผ่วเบา มาที่ด้านข้างของซูอี้ นางดูอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยและพูดว่า “เหตุใดสหายเต๋าถึงยึดติดกับกระดาษแค่แผ่นเดียวนัก?”
สหายเต๋า?
ซูอี้หยุดมือในทันที
สรรพนามนี้ทำให้เขารู้สึกถึงอารมณ์ที่หายไปนานในหัวใจ ดวงตาของเขาเหม่อลอยเล็กน้อย
ภาพความทรงจำชาติก่อนแวบเข้ามาในหัวราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
สหายเต๋า…
คำนี้ทำให้ข้าคิดถึงจริง ๆ
ซูอี้ลืมตาขึ้นและมองไปที่เจ้าตำหนักเทียนหยวน ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความลึกลับและกล่าวว่า
“ในเมื่อเจ้ารู้ทุกอย่างแล้ว เหตุใดเจ้ายังคงถามคำถามนี้ หรือเพราะเจ้ากำลังวางแผนจะหยุดข้า?”
แม้ประโยคคำถามนี้จะเรียบง่าย แต่กลับแฝงถึงความนัยที่ลึกล้ำ อีกทั้งยังท้าทายหาได้กลัวเกรงไม่
ดวงตาของเหวินหลิงเจาเบิกกว้าง อารมณ์ของนางยิ่งไม่อาจสงบลง
หวังเจี่ยนฉงเผยสีหน้าขุ่นเคืองอย่างชัดเจน ปากเปิดอ้าเล็กน้อยราวกับอยากจะเอ่ยบางคำออก
ทว่าหนิงซือฮวาส่ายศีรษะเล็กน้อยและกล่าวออก “ข้าแค่ไม่เข้าใจ มันก็แค่เพียงสถานะทางโลกหาได้สำคัญใด ๆ ไม่ เหตุใดท่านถึงให้ความสำคัญต่อมันนัก”
หวังเจี่ยนฉงกลืนคำพูดของตนเองกลับมา หว่างคิ้วของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เหตุใดมันคล้ายว่าทั้งคู่กำลังพูดคุยกันเรื่องที่เขาไม่อาจรู้แจ้ง?
เขาเหลือบมองลี่เฟิงสิงข้าง ๆ เขาซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน
“ในโลกปุถุชนนี้หากข้าต้องการจะหลุดพ้น ข้าจะต้องหมดสิ้นความกังวลทั้งหลายในจิตใจ ทำลายกำแพงกั้นภายในอก หากข้าละเลยต่อมัน ไหนเลยข้าจะสามารถทำลายบ่วงพันธะที่รั้งอยู่เอาไว้ได้ สิ่งนี้เจ้าควรรู้ดีอยู่แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องถามข้าอีก?”
ซูอี้เอ่ยตอบอย่างใจเย็น
หลังจากเอ่ยจบ เขาก็เริ่มที่จะฝนหินหมึกอีกครั้ง
“ตัดความกลัดกลุ้มในหัวใจ ทลายกำแพงกั้นภายในอก…”
หนิงซือฮวาทวนคำซ้ำก่อนพยักหน้าและพูดว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็นับว่าเข้าใจได้ แต่ก่อนที่จะทำสัญญานี้ สหายเต๋าคิดว่าเราควรยุติเรื่องราววันนี้อย่างไรดี”
หวังเจี่ยนฉงและลี่เฟิงสิงมองหน้ากัน หัวใจทั้งสองต่างเต้นระทึก ในที่สุดเจ้าตำหนักจะลงมือแล้วใช่หรือไม่?
ซูอี้วางหินหมึกออกไป หันกลับมามองหญิงสาวคนนี้ที่อยู่ใกล้มือ และพูดอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อเจ้าเข้าใจบ้างแล้ว เจ้าก็ควรจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ การเป็นศัตรูกับซูผู้นี้ผลที่ตามมาจะร้ายแรงยิ่งยวด”
“โอหัง!”
หวังเจี่ยนฉงอดไม่ได้ที่จะตวาดลั่น “ซูอี้ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงข่มขู่เจ้าตำหนักของพวกข้า เจ้ามันสมควรตาย!”
ซูอี้ย่นคิ้วเล็กน้อย
แต่กระนั้น หนิงซือฮวากลับถอนหายใจเบา และเอ่ยถ้อยคำอย่างราบเรียบ “ข้าปล่อยให้สหายเต๋าเห็นภาพน่าละอายแล้ว”
หลังจากสิ้นประโยค หนิงซือฮวาโบกมือขวาอย่างแผ่วเบาไปทางหวังเจี่ยนฉงซึ่งอยู่ไม่ห่างนัก
ตูม!
ไม่ไกลนัก หวังเจี่ยนฉงเหมือนเรือแจวที่โดนคลื่นทะเลโหมกระหน่ำ ร่างลอยกลับหัวกลับหาง กระแทกอย่างแรงเข้ากับหน้าผา โลหิตทะลักออกจากทั้งจมูกปากก่อนร่างจะร่วงกราวลงมาสู่พื้นอย่างน่าสังเวช
ลี่เฟิงสิงตกตะลึงจนตัวสั่น เขาไม่คิดว่าเจ้าตำหนักจะโจมตีหวังเจี่ยนฉงในทันใดเช่นนี้!
เหวินหลิงเจาก็ตกตะลึงเช่นกัน นางไม่อาจหาเหตุผลได้เลยว่าเหตุใดเจ้าตำหนักถึงลงโทษคนของตัวเอง
“ท่าน…”
หวังเจี่ยนฉงพยายามลุกขึ้นจากพื้น ศีรษะของเขามึนงง สีหน้าของเขาโง่งมไม่เข้าใจ
หนิงซือฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและไพเราะว่า “ไปที่ ‘ผาสำนึกตน’ ด้วยตัวเอง ภายในหนึ่งปีนี้อย่าได้ก้าวออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว”
“นี่…” หวังเจี่ยนฉงตะลึงงัน
ผาสำนึกตน!
มันเป็นสถานที่ที่เลวร้ายที่สุดในตำหนักเทียนหยวน ผู้คนที่กระทำผิดพลาดร้ายแรงมักถูกส่งไปยังผาสำนึกตน ที่ซึ่งพวกเขาถูกลมและฝนทรมานทั้งกลางวันและกลางคืน
การถูกคุมขังที่ผาสำนักตนเป็นเวลาหนึ่งปีนับเป็นโทษหนัก เพราะแม้แต่ปรมาจารย์อย่างหวังเจี่ยนฉงก็ไม่แน่ใจว่าหลังจากนั้นร่างกายของตนเองจะเสียหายถึงเพียงใดจากลมและฝนนี้!