บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 187 ยอมถอย
ตอนที่ 187: ยอมถอย
หลังจากที่จ้องมองคำนั้นครู่หนึ่ง หนิงซือฮวาจึงเอ่ยขึ้น “ข้ารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เจ้ากับเขาตัดความสัมพันธ์กันแล้ว คนเช่นเขา… จะมีสตรีนางใดในโลกหล้านี้ผูกมัดใจเขาได้กัน?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหวินหลิงเจาคล้ายตื่นขึ้นจากความคิดที่ยุ่งเหยิง นางเม้มปากและเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยชอบเขามาตั้งแต่แรกแล้ว”
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าในใจกลับรู้สึกอึดอัดจนพูดไม่ออก
ก่อนหน้านั้นนางโมโหยิ่งนัก เป็นแค่ลูกเขยคนหนึ่ง กลับใช้หลักฐานเช่นนี้มาข่มขู่เพื่อขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับนางให้ชัดเจน ช่างเหลวไหลอะไรเช่นนี้?
แต่ในยามนี้ เมื่อนึกถึงความสามารถที่ซูอี้แสดงออกมา นางพลันรู้สึกใจหายและผิดหวังจนพูดไม่ออก
ตั้งแต่ปีก่อนด้วยถูกบีบบังคับให้แต่งงานกับซูอี้ นางจึงคิดอยากที่จะยกเลิกงานแต่งงานนี้
เพราะเหตุนี้ นางจึงใช้ทุกวิถีทางเพื่อเพิ่มระดับการบำเพ็ญ และไม่กล้าที่จะเกียจคร้านใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
ในที่สุด นางก็กลายเป็นศิษย์ที่เจิดจรัสที่สุดในตำหนักเทียนหยวน ชนะจนได้รับคำชมเชยและความริษยาจากเพื่อนร่วมสำนักไปไม่น้อย
คนใหญ่คนโตมากมายต่างมองนางว่ามีอนาคตที่ดี และคิดว่าปีหน้าเมื่อนางอายุได้สิบแปดปี ก็อาจมีโอกาสมาถึงขอบเขตปรมาจารย์ยุทธ์ก็เป็นได้
นางมองราชาขนนกเยว่ซือฉาน เป็นจุดมุ่งหมายมาโดยตลอด หากภายในสามปีได้รับพระราชทานยศดั่งหวัง นางก็จะสามารถไปเจรจาเงื่อนไขกับตระกูลซูที่นครหลวงอวี้จิง ให้ตระกูลซูยกเลิกการแต่งงานนี้ได้
แต่สำหรับซูอี้ นางมองอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้ามาตั้งแต่แรก และนางก็ไม่เคยคาดหวังว่าเขยซูคนนี้จะมีบทบาทใด ๆ ต่อการยกเลิกการแต่งงาน
ขอเพียงแค่เขาไม่สร้างปัญหาเพิ่ม ก็เพียงพอแล้ว
แต่เหวินหลิงเจากลับไม่คิดเลย ว่าหลังจากผ่านไปเพียงหนึ่งเดือน เมื่อได้พบซูอี้อีกครา อีกฝ่ายกลับแตกต่างราวกับเป็นคนละคน!
เซี่ยงหมิงบุตรชายเจ้าแคว้น ถูกบีบคั้นให้คุกเข่าลง
ผู้อาวุโสฉู่ข่งเฉา ถูกฆ่าตายด้วยหมัดเดียว
แม้แต่เจ้าตำหนักที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนหลายปียังต้องแสดงฝีมือ และการโจมตีที่น่าอัศจรรย์เหล่านั้น กลับถูกจัดการคลี่คลายไปได้ทั้งหมด!
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น… มันน่าเหลือเชื่อมาก!
มันแตกต่างกับซูอี้ที่นางเคยรู้จัก ด้วยพละกำลังอันน่าหวาดกลัวที่เขาครอบครอง… ทำให้นางยิ่งพูดไม่ออกและรู้สึกถึงช่องว่างขนาดใหญ่
ไม่คิดว่าจะมีฝีมือที่ห่างไกลกันจนเทียบไม่ติดเช่นนี้!
“กระดาษแผ่นนี้เจ้ายังต้องการอยู่หรือไม่?”
จู่ ๆ หนิงซือฮวาก็เอ่ยถามขึ้น
เหวินหลิงเจาตกใจ เงยหน้าขึ้นมองหลักฐานที่อยู่บนหินนั้น ในใจนางพลันเกิดโทสะที่อธิบายไม่ได้ขึ้นมา
ไม่นาน นางถึงกัดฟันเอ่ยขึ้น “ต้องการ!”
“ความอับอายในครั้งนี้ จงใช้เป็นแรงผลัก… เจ้าต้องเข้มงวดกับตัวเองเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคลบล้างการถูกหยามเกียรติและปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น แล้วต้องมีสักวันหนึ่งที่จะได้ตาต่อตา ฟันต่อฟัน?”
หนิงซือฮวาเอ่ยด้วยความสนใจ
เหวินหลิงเจาสูดหายใจเข้าลึก แววตาเผยความมุ่งมั่นที่อธิบายออกมาไม่ได้ “ข้าแค่อยากได้เป็นเครื่องเตือนใจ ต่อจากนี้จะได้ไม่ลืมเรื่องที่เกิด”
หนิงซือฮวาไม่ได้หยอกล้อนาง แต่ทว่าแววตากลับมีแววสงสารเล็กน้อย นางถอนหายใจออกมาเบา ๆ “หรือบางที ต่อจากนี้ไปอาจจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น? ใครก็ไม่อาจรู้ได้”
ขณะที่เอ่ยอยู่นั้น นางก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา และเดินเอาไปให้เหวินหลิงเจาพลางเอ่ยขึ้น “ความหมายของคำพวกนี้ ไม่ได้หมายสร้างความอับอายหรือใส่ร้ายป้ายสีใด ๆ เลย และในความคิดข้า กฎเกณฑ์หรือคำพิพากษาในโลกใบนี้ เขาก็ไม่สนใจเลยสักนิด หากเจ้าเลือกที่จะปล่อยวางได้ สำหรับเจ้า มันจะไม่เป็นการหลุดพ้นจากเรื่องนี้เลยรึ?”
เหวินหลิงเจาถือกระดาษนั่นเอาไว้ในมือ นัยน์ตานางสะท้อนถ้อยคำน้ำหมึกที่ทรงพลัง รู้สึกเหมือนกับถูกเข็มทิ่มแทงอยู่ภายในใจ
นางค่อย ๆ เก็บกระดาษแผ่นนั้นอย่างเงียบ ๆ และกำไว้ในมือแน่น ใบหน้างามเปลี่ยนเป็นขาวซีดเล็กน้อย เม้มปากเอ่ยเสียงเบา “เจ้าตำหนัก แต่ละคนนั้นมีทางเลือกเป็นของตัวเอง และศิษย์จะไม่ก้มหัวเช่นนี้อย่างแน่นอน”
หนิงซือฮวาสังเกตหญิงสาวที่งดงามราวกับภาพวาดตรงหน้า ก่อนที่ฉับพลันหัวใจจะกลายเป็นเต้นระรัว “เจ้าสมัครใจที่จะไปฝึกข้างกายข้าหรือไม่?”
นัยน์ตาที่มืดสลัวของเหวินหลิงเจาพลันเปล่งประกายขึ้น ราวกับแสงเพลิงที่โพล่ขึ้นมาจากกองขี้เถ้า “นี่… ศิษย์รู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง ศิษย์ขอไปรายงานให้อาจารย์ทราบก่อนได้หรือไม่?”
หนิงซือฮวาเอ่ย “จู้กู่ชิงรึ? นางไม่ปฏิเสธแน่ ฉะนั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะ”
เหวินหลิงเจาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ยด้วยความมุ่งมั่น “ศิษย์ยินยอม!”
หนิงซือฮวาพยักหน้าพลางเอ่ย “ตั้งแต่วันนี้ เจ้าย้ายไปฝึกฝนที่ ‘ตำหนักคูหลง’ ของข้า”
ในขณะที่เอ่ยวาจา จู่ ๆ นางก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เหตุใดวันนี้อาจารย์ของเจ้าถึงไม่อยู่?”
เหวินหลิงเจาเอ่ยตอบ “หลายวันก่อน ท่านอาจารย์ได้ออกเดินไปทางยังมหานครอวิ๋นเหอ… ”
นางอธิบายรอบหนึ่ง และเมื่ออธิบายมาถึงตอนสุดท้าย นางก็อดไม่ได้ที่จะเผยความไม่แน่ใจเล็กน้อยออกมาและเอ่ยขึ้น “หลายวันก่อน ข้าได้รับจดหมายของอาจารย์ บอกว่านางออกมาจากมหานครอวิ๋นเหอแล้ว หากนับตามวันเวลา อาจารย์ควรจะกลับมาถึงที่นี่วันก่อนสิถึงจะถูก”
“ระหว่างทางต้องเกิดล่าช้าอะไรขึ้นแน่”
หนิงซือฮวาไม่นำเรื่องนี้เก็บเอาไว้ในใจ นางหมุนตัวเตรียมจะออกไป แต่จู่ ๆ ก็มองเห็นหลี่เฟิงสิงเดินมาแต่ไกล จึงเอ่ยขึ้น “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ อย่าให้รั่วไหลออกไปข้างนอก”
หลี่เฟิงสิงคารวะด้วยความเคารพ “น้อมรับคำสั่งเจ้าตำหนัก!”
“เจ้าก็ด้วย”
หนิงซือฮวามองไปที่เหวินหลิงเจาอีกครั้ง
นัยน์ตาสดใสของเหวินหลิงเจาเผยความมืดสลัวออกมาเล็กน้อย พลางพยักหน้าตอบกลับ
……
ใต้เชิงเขาภูเขาชิวเยี่ย
ด้านหน้ารถม้า เจิ้งมู่เหยารอคอยอย่างกระสับกระส่าย กังวลจนไม่อาจสงบลงได้
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้นางรู้สึกตกใจมาก และรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
“คุณหนู ในเมื่อคุณชายซูกล้าที่จะลงมือ เขาคงจะไม่ทำอะไรที่มุทะลุ คุณหนูไม่ต้องกังวลมากเกินไป”
เหลียวป๋อที่เป็นสารถีเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
เขารู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นบนยอดเขาดั้นเมฆจากปากเจิ้งมู่เหยาแล้ว
ในตอนแรก เขาก็ตกใจเช่นกัน แต่หลังจากที่สงบลงแล้ว กลับคิดว่าด้วยนิสัยกับภูมิหลังของซูอี้ กล้าที่จะสังหารผู้อาวุโสหนุ่มของสำนักวงเดือนหลิ่วหงฉีได้ แล้วเขาจะสนใจปัญหาจากการสังหารคนในตำหนักเทียนหยวนแห่งนี้ได้อย่างไรกัน?
ต่อให้ก่อเรื่องวุ่นวาย ก็ต้องมีวิธีรับมือสิถึงจะถูก
“เหลียวป๋อ ท่านไม่รู้หรอก แม้แต่เจ้าตำหนักที่อยู่สันโดษมาหลายปีก็ยังตกใจ และให้เกียรติมาด้วยตัวเอง หากเกิดการปะทะกันขึ้น ท่านอาซูอี้ย่อมได้รับผลที่ตามมาอย่างไม่อาจจะจินตนาการได้”
เจิ้งมู่เหยาเอ่ยด้วยความกระวนกระวายใจ
เหลียวป๋อเงียบไปครู่หนึ่ง
เหตุใดเขาจะไม่รู้ความลึกลับและความแข็งแกร่งของหนิงซือฮวากัน?
ภายในแคว้นกุ่นทั้งหมด ผู้กุมอำนาจตำหนักเทียนหยวนท่านนี้เรียกได้ว่ามีสถานะที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด และไม่มีใครเทียบได้!
หลายปีก่อน เจ้าแคว้นกุ่นเซี่ยงเทียนชิวเคยมาตำหนักเทียนหยวนหลายครั้ง และต้องการเข้าเยี่ยมพบเจ้าตำหนักลึกลับท่านนี้ แต่กลับถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่มีทางที่จะเข้าพบได้
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เซี่ยงเทียนชิวก็ไม่กล้าคิดที่จะโกรธ
“แล้วตอนนี้จะทำอย่างไร หากท่านพ่อรู้เข้าว่าวันนี้ข้าพาท่านอาซูอี้มาที่ตำหนักเทียนหยวน และยังจะก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้อีก จักต้อง…”
ทันทีที่เจิ้งมู่เหยาเอ่ยถึงตรงนี้ ก็ตกตะลึงทันที
นางเห็นร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากที่ไกล ๆ
อีกฝ่ายเดินมาอย่างสบายสงบนิ่งไม่ยินดียินร้ายใด ๆ และเสื้อสีเขียวตัวนั้นก็ชวนสะดุดตายิ่งท่ามกลางหมอกที่ลอยไปมาระหว่างภูเขา
เป็นซูอี้นี่เอง
เจิ้งมู่เหยาเผยสีหน้าดีใจผสมตกใจขึ้นมาทันที และวิ่งไปต้อนรับข้างหน้าอย่างตื่นเต้น “ท่านอาซูอี้ ท่านไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ?”
“เจ้าคิดว่าข้าไปมีเรื่องรึ?”
ซูอี้ยิ้มและถามกลับ
เขาอารมณ์ดีมาก การเดินทางในครั้งนี้คุ่มค่ายิ่งนัก เพราะได้ขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับเหวินหลิงเจาได้อย่างชัดเจน และก็ถือเป็นการยืนกรานความคิด
ต่อแต่นี้ไป ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะถูกสวมเขาใด ๆ อีก
เพียงแต่ว่า เรื่องนี้มันยังไม่จบหรอก
ดั่งที่เหวินหลิงเจากล่าวไว้ ตามกฎเกณฑ์แล้ว เรื่องของสัญญาการแต่งงาน แม้เป็นตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงก็จำต้องปฏิบัติตามอยู่ดี
แต่ซูอี้ก็ไม่ค่อยสนใจต่อเรื่องพวกนี้แล้ว
ด้วยภูมิหลังของตระกูลเหวิน อีกฝ่ายกล้าไม่ให้เกียรติต่อตัวเองได้อย่างไร?
ส่วนตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง รอหลังจากนี้ค่อยไปที่นั่นด้วยตัวเองสักรอบหนึ่ง พร้อมทั้งจัดการความแค้นในปีนั้นให้เรียบร้อย
“ข้ารู้ว่าท่านอาซูอี้จะไม่เป็นอะไรแน่นอน!” เจิ้งมู่เหยาแกว่งกำปั้นขาวนุ่มของนาง
“ตื่นเต้นขนาดนี้เชียวรึ?”
ซูอี้ส่ายหน้าครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าไปที่รถม้า
“คุณชายซู ต่อไปพวกเราจะไปที่แห่งใดกัน?”
เหลียวป๋อเอ่ยถามด้วยความนอบน้อม และเผยสีหน้าที่นับถือออกมาเล็กน้อย
สามารถสังหารผู้อาวุโสท่านหนึ่งในตำหนักเทียนหยวน และยังสามารถเดินออกมาโดยไม่บาดเจ็บใด ๆ ใครจะไม่เลื่อมใสท่านผู้นี้กัน?
“กลับเรือนพำนักหินศิลา”
ซูอี้ขึ้นรถม้า แล้วก็เอนกายลงนอน ในขณะเดียวกันทั่วร่างก็ผ่อนคลายลง จากนั้นความเหนื่อยล้าก็พลันเผยออกมาทั่วร่าง
ก่อนหน้านี้ที่รับมือกับการโจมตีของหนิงซือฮวา ดูเหมือนว่าเขาจะสบาย แต่ที่จริงนั้นสูญเสียพลังไปอย่างมาก รู้สึกได้อย่างเบาบางว่าจิตวิญญาณและการบำเพ็ญนั้นอ่อนแรงเล็กน้อย
“หากครั้งหน้าพบกัน จะต้องทำให้ผู้หญิงคนนั้นได้ลิ้มรสความร้ายกาจของข้าซูผู้นี้อย่างแน่นอน…”
ซูอี้แอบเอ่ยอย่างเงียบ ๆ
“ท่านอาซูอี้ ให้ข้านวดขาให้ท่านนะ?”
เจิ้งมู่เหยาเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง ยิ้มตาหยีและใช้สองมือขาวผ่องนวดขาให้กับซูอี้
……
ณ ห้องโถงอาญา ตำหนักเทียนหยวน
ผู้อาวุโสสูงสุดซ่างเจินนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยสิ่งใด
เขาเหมือนกับชายชราที่มีอายุมากและใกล้ตายคนหนึ่ง ดวงตาพร่ามัว
บรรยากาศที่อึดอัดและกดดัน
เซี่ยงหมิง เถียนตง พวกเขายืนอยู่ตรงนั้น และรู้สึกร้อนอกร้อนใจมาก
พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดผู้อาวุโสสูงสุดถึงพาพวกเขามาห้องโถงอาญาสถานที่ที่มืดครึ้มน่ากลัวเช่นนี้
และยิ่งไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเจิ้งมู่เหยาถึงสามารถออกไปได้ในทันที แต่พวกเขาและคนเหล่านี้กลับยังอยู่ที่สถานที่แห่งนี้
ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้อธิบายสิ่งใด
หลังจากที่มาถึงห้องโถงอาญา เขาก็เอาแต่นั่งอยู่ตรงนั้น และหลับตาลง ราวกับว่ากำลังหลับอยู่
เป็นเวลานานมาก ถึงได้มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา หานจ้งที่มีหนวดเคราราวกับง้าวและเป็นผู้อาวุโสลำดับสองตำหนักเทียนหยวนเดินเข้ามา
และในขณะนั้น ซ่างเจินก็ลืมตาขึ้น ปากเอ่ยถาม “เจ้าว่าควรจะจัดการพวกเขาอย่างไรดี?”
ในใจเซี่ยงหมิงและคนอื่น ๆ ต่างก็กังวลขึ้นมาทันที
หานจ้งเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “กักบริเวณหนึ่งเดือน เพื่อเป็นการลงโทษ”
เมื่อเสียงพูดหยุดลง
เซี่ยงหมิงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “อาจารย์ลุง พวกข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เหตุใดถึงได้ลงโทษพวกข้า?”
เขาเป็นลูกชายเจ้าแคว้นกุ่น และมีอาจารย์เป็นถึงรองเจ้าตำหนักเทียนหยวน หวังเจี่ยนฉง ย่อมมีความกล้าที่จะซักถามขึ้น
หานจ้งเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “เมื่อทำเรื่องใดผิด จะต้องชดใช้ในสิ่งที่ก่อเอง หากพวกเจ้าไม่ไปยั่วยุก่อน จะถูกกดดันให้คุกเข่าลงบนพื้นได้อย่างไร?”
“นี่…” เซี่ยงหมิงกำลังจะเอ่ยอธิบาย
หานจ้งกลับเอ่ยสวนขึ้น “อาจารย์ของเจ้าเดินทางไปรับโทษที่หน้าผาสำนึกตนแล้ว ภายในหนึ่งปีนี้ไม่สามารถขยับออกไปจากหน้าผาสำนึกตนได้”
เซี่ยงหมิงตกใจ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก และรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
หวังเจี่ยนฉงอาจารย์ของเขาเป็นหนึ่งในสองรองเจ้าสำนัก กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกลงโทษเช่นนี้ ไม่เอ่ยสิ่งใดก็พอเข้าใจได้ นี่จะต้องเป็นคำสั่งของเจ้าตำหนักแน่!
เมื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เซี่ยงหมิงก็เอ่ยเสียงต่ำ “อาจารย์ลุงหาน ข้าสามารถกลับบ้านไปพบท่านพ่อ จากนั้นก็กลับมารับโทษได้หรือไม่?”
ผู้อาวุโสสูงสุด ซ่างเจินเอ่ยด้วยความเย็นชา “จนถึงตอนนี้ เจ้าก็ยังพึ่งพาอิทธิพลของพ่อเจ้ามาช่วยเจ้าจัดการปัญหาอีกรึ? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็โบกมือ
ทันใดนั้น ก็มีเจ้าหน้าที่ของห้องโถงอาญากลุ่มหนึ่งเดินเป็นแถวยาวออกมา พาเซี่ยงหมิงและศิษย์คนอื่น ๆ ทั้งหมดไป
เซี่ยงหมิงและคนอื่น ๆ เหมือนกับไว้ทุกข์ แม้จะตกใจและโกรธอย่างมาก แต่กลับไม่กล้าต่อสู้ดิ้นรนต่อต้าน และไม่นานพวกเขาก็ถูกพาออกไปจากห้องโถงอาญา
“หากเขาฉลาดกว่านี้สักนิด ก็น่าจะเข้าใจ แม้แต่หวังเจี่ยนฉงก็ถูกลงโทษแล้ว ใครเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายของการโต้เถียงนี้กัน”
หานจ้งมีแววตายุ่งยาก
ดวงตาที่พร่ามัวของซ่างเจินก็อดไม่ได้ที่จะเผยแววตาที่แปลกใจออกมา
กี่ปีมาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเจ้าตำหนักที่ราวกับเทพเจ้ายอมถอยให้กับเรื่องเหล่านี้…!