บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 188 แสงดาวทางช้างเผือก ตกลงสู่โลกมนุษย์
ตอนที่ 188: แสงดาวทางช้างเผือก ตกลงสู่โลกมนุษย์
ณ เรือนพำนักหินศิลา
หลังจากที่รถม้าหยุดลง ทันทีที่เจิ้งมู่เหยากำลังเดินตามซูอี้เข้าไปในเรือนพำนักหินศิลา จู่ ๆ ก็ได้ยินซูอี้เอ่ยว่า “เจ้าควรจะกลับได้แล้ว”
เจิ้งมู่เหยาชะงักในพลัน กะพริบตาพลางเอ่ยอ้อนวอน “ท่านอาซูอี้ ข้าอยากเข้าไปดูบ้านท่าน”
แต่ซูอี้กลับทำหูทวนลม “กลับไปช่วยสืบข่าวให้กับข้า ว่าจู้กู่ชิงกลับไปตำหนักเทียนหยวนแล้วหรือยัง”
ในระหว่างทางเขาก็ยังครุ่นคิดอยู่ ว่าเกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนั้นเหตุใดจู้กู่ชิงอาจารย์ของเหวินหลิงเจาถึงไม่ปรากฏตัวออกมาเลย
แม้แต่เหวินหลิงเสวี่ยก็ไม่อยู่
มีบางอย่างผิดปกติ
ที่น่าสนใจคือ ตอนนั้นที่ออกมาจากมหานครอวิ๋นเหอ จู้กู่ชิงกับเหวินหลิงเสวี่ยได้นั่งเรือโดยสารออกมาก่อนแล้ว เมื่อคำนวณตามระยะทาง สามวันก็ควรมาถึงมหานครกุ่นโจว
หรือพูดอีกอย่าง จู้กู่ชิงกับเหวินหลิงเสวี่ยน่าจะกลับมาตำหนักเทียนหยวนเมื่อวันก่อนแล้ว
แต่วันนี้ในตำหนักเทียนหยวน กลับไม่เจอพวกนางเลย มีบางอย่างผิดปกติ
“จู้กู่ชิง? ท่านอาซูอี้… หรือว่าท่านมีรสนิยมแอบชอบหญิงงามดุจภูเขาน้ำแข็งคนนั้น?”
เจิ้งมู่เหยาอดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
ซูอี้ยื่นมือจิ้มไปที่หัวของนางและเอ่ยว่า “วัน ๆ ในหัวคิดแต่เรื่องไม่เข้าเรื่อง …เอาเป็นว่าวันนี้ตอนเย็น บอกข่าวให้ข้าด้วย”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หมุนตัวเดินเข้าไปในเรือนพำนักหินศิลา
“คนเราในวัยที่ต่างกันก็ควรทำในสิ่งที่ควรทำ ท่านอาซูอี้ยังอายุน้อยขนาดนี้ ยังมีฉาจิ่นผู้หญิงที่สวยเลิศล้ำอยู่ข้างกายแล้ว ตอนนี้ยังจะให้ข้าไปสืบข่าวของจู้กู่ชิงอีก แล้วจะให้ข้าคิดอย่างไรได้อีกล่ะ…”
เจิ้งมู่เหยาแอบพึมพำกับตัวเอง
นางหมุนตัวเดินกลับไปที่รถม้า “เหลียวป๋อ พวกเรากลับกันเถอะ”
หญิงสาวที่มีรูปร่างเย้ายวน สวมชุดสีดำนั่งอยู่ตำแหน่งที่ซูอี้นั่งก่อนหน้านี้ และเรียนรู้ความเกียจคร้านจากซูอี้พิงอยู่ตรงนั้น ทว่าในใจกลับแห้งเหี่ยวเล็กน้อย
ระหว่างทางที่กลับจากตำหนักเทียนหยวนนั้น นางก็คิดไม่หยุดและพยายามทำความเข้าใจว่าหลังจากที่หนิงซือฮวาปรากฏตัวออกมา เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง และซูอี้ออกมาอย่างปลอดภัยเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่น่าเสียดายนัก ที่ซูอี้เอ่ยออกมาแค่สั้น ๆ
“ไม่ว่าอย่างไร เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็น่ากลัวมากพอแล้ว หลังจากกลับไปบอกท่านพ่อ ดูสิว่าเขาจะพูดอย่างไร…”
เจิ้งมู่เหยาแอบเอ่ยอย่างเงียบ ๆ
…..
เรือนพำนักหินศิลา
ผมสีดำยาวของฉาจิ่นม้วนขึ้นด้วยปิ่นไม้ ลำคอเรียวยาวขาวดุจหิมะ แขนเสื้อถูกดึงขึ้น เผยให้เห็นเรียวแขนที่นุ่มขาวแวววาว กำลังตัดแต่งดอกไม้ต้นไม้ทั้งสองด้านของเรือนพำนักอยู่
วันนี้นางสวมชุดกระโปรงยาวคลุมเข่าสีชมพูขาว เมื่อก้มตัวลงไป เรียวขาด้านหลังที่อวบอิ่มและอ่อนนุ่มเผยเค้าโครงที่เย้ายวนและสง่างามออกมา
ส่วนที่อยู่ใต้เอวและอยู่เหนือขา ก็เผยเค้าโครงวงกลมอวบอิ่มแนบไปกับชุดกระโปรง
“ยังมีกับข้าวอยู่หรือไม่?”
จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังนาง ฉาจิ่นตกใจจนร่างสั่น นางที่ถือกรรไกรอยู่ก็หมุนตัวกลับมา
เมื่อเห็นว่าเป็นซูอี้ นางก็แลบลิ้นไปมาด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวพลางเอ่ยว่า “ที่แท้คุณชายก็กลับมาแล้ว”
ซูอี้เดินมุ่งตรงเข้าไปภายในจวน
ฉาจิ่นก็เดินตามหลังไปทันที และเอ่ยว่า “คุณชาย ข้าได้จัดเตรียมสำรับอาหารตุ๋นยาจีนพร้อมกับเหล้าแดงน้ำดีสิบปีไว้ ให้ข้าอุ่นให้หรือไม่?”
“ไม่ต้องแล้ว”
ซูอี้เอ่ยตอบทันที “ข้าต้องการฝึกบำเพ็ญครู่หนึ่ง หากมีผู้ใดมาเยี่ยมเยือน ให้ปฏิเสธออกไปทั้งหมด”
ฉาจิ่นพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
“เสื้อผ้าชุดนี้เจ้าซื้อที่ไหนมารึ?” จู่ ๆ ซูอี้ก็หันกลับมาถาม
“เอ๋?”
จู่ ๆ ก็ถูกถามคำถามแปลก ๆ เช่นนี้ ทำให้ฉาจิ่นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้เอ่ยขึ้น “ข้าซื้อมาจากร้านรุ่ยฝู ที่อยู่ในเมือง”
ทว่ากลับพึมพำอยู่ในใจ เหตุใดคุณชายจู่ ๆ ถึงได้สนใจเรื่องนี้?
หรือว่า…
ทันใดนั้นนางก็คิดขึ้นมาได้ เมื่อครู่ที่นางกำลังตัดแต่งดอกไม้ต้นไม้ ไม่รู้ว่าซูอี้กลับมาเมื่อไร และยืนอยู่ด้านหลังนางที่กำลังก้มตัวอยู่…
พลันใบหน้าฉาจิ่นแดงเรื่อ ภายในใจนั้นรู้สึกเขินอายจนพูดไม่ออก คงจะไม่… เนื่องจากชุดกระโปรงของนางนั้นค่อนข้างแนบกาย อาจจะเห็นถึง…
ซูอี้ได้หมุนตัวกลับไปแล้ว และเอ่ยว่า “เจ้าหาเวลาว่างไปซื้อมาอีกชุด อืม หากเจ้าเจอหลิงเสวี่ย ก็ซื้อตามรูปร่างของนางนั่นแหละ”
เมื่อเอ่ยยังไม่ทันจบ ซูอี้ก็เดินขึ้นไปบนชั้นสอง
ฉาจิ่นที่เดิมทีคิดไปต่าง ๆ นานาอย่างเขินอาย เหมือนกับถูกมีดเล่มหนึ่งทิ่มแทงในใจ นางนิ่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
ให้นางที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งไปซื้อเสื้อให้กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง?
และผู้หญิงคนนั้นยังเป็นน้องสาวภรรยาของเจ้าอีก เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้?
มันไม่เกินไปหน่อยรึ?
ฉาจิ่นมีท่าทางที่คลุมเครือ
นางไม่รู้เลยว่า วันนี้ซูอี้กับเหวินหลิงเจาได้ตัดความสัมพันธ์กันแล้ว…
ไม่เช่นนั้น ก็คงพอเข้าใจอยู่บ้างกระมัง?
…..
หลังจากทานข้าวเสร็จ ซูอี้ก็นั่งทำสมาธิ ฝึกบำเพ็ญอย่างสงบ
วันนี้ที่ได้ประมือกับหนิงซือฮวา จู่ ๆ ก็ทำให้เขานึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้
แม้อาณาจักรต้าโจวจะอยู่ฝั่งโลกสามัญ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหล่าคนเหนือโลกทั้งหล้าแฝงตัวอยู่
เช่นเดียวกับ หนิงซือฮวา เจ้าตำหนักเทียนหยวน แค่เห็นก็รู้แล้วว่านางไม่ใช่คนของโลกสามัญแห่งนี้เป็นแน่
แม้จะเป็น ‘เทพเซียนเดินดิน’ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเช่นนางได้
ยิ่งไปกว่านั้น หนิงซือฮวายังล่วงรู้ความลับของ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ และเรียกเขาว่า ‘สหายเต๋า’ สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่านางสังเกตเห็นเบาะแสบางอย่างบนตัวเขา
ทั้งหมดนี้ล้วนชัดเจนพอแล้ว ว่าหนิงซือฮวาผู้นี้ไม่ธรรมดา
และในมหาทวีปคังชิงอันมีหลายร้อยดินแดน อาณาจักรต้าโจวเป็นเพียงแค่หนึ่งในหลายอาณาจักรที่อยู่ตรงมุมหนึ่งเท่านั้น
คิดดูแล้ว บนโลกนี้จะต้องไม่มีแค่ ‘หนิงซือฮวา’ คนเดียวเท่านั้นที่มีที่มาลึกลับและพิเศษเช่นนี้
“แบบนี้สิถึงจะสนุก ไม่เช่นนั้นล่ะก็ โลกใบนี้คงจะน่าเบื่อไปหน่อย…”
ซูอี้แอบพึมพำกับตัวเอง
หนึ่งชั่วยามต่อมา
มีเสียแตกร้าวดังขึ้น ศิลาวิญญาณระดับสามที่ซูอี้กำไว้แน่นแตกออกเป็นผุยผง
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็นำมันออกมาอีกหนึ่งก้อน
ในตอนที่สังหารหลิ่วหงฉี ผู้อาวุโสสายนอกสำนักวงเดือน ทำให้เขามีศิลาวิญญาณระดับสามหลายสิบก้อน เหตุใดเขาถึงจะไม่เต็มใจใช้มันล่ะ
และอีกอย่าง บางทีการตัดขาดพันธนาการระหว่างเขากับเหวินหลิงเจา ก็อาจจะไปกระตุ้นหนิงซือฮวาเข้า
ซูอี้รู้สึกได้ว่าตนจำต้องเพิ่มขั้นพลังขึ้นอีก!
สำหรับการมีอยู่ของเขา และภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ขาดทรัพยากรในการบำเพ็ญ การเพิ่มขั้นพลังไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร
ว่ากันถึงแก่นแท้แล้ว คือจะต้องปรับรากฐานหลักให้มั่นคงกว่าชาติก่อน
เช่นเดียวกับขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสอง ที่เรียกว่า ‘เบิกชีพจร’ นี้ สำหรับคนอื่น ๆ แล้ว หากต้องการเบิกจุดชีพจรวิญญาณสิบสองจุด ก็จะต้องเสียเวลา เสียกำลังและทรัพยากรไม่รู้ตั้งเท่าไร
แต่สำหรับซูอี้แล้ว เมื่อก้าวเข้าไปบำเพ็ญขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสอง เขาก็ได้เบิกจุดชีพจรวิญญาณทั้งสิบสองจุดได้แล้ว ลมปราณเคลื่อนไปตามทั่วร่าง จุดเบิกวิญญาณหนึ่งร้อยแปดจุดกับชีพจรวิญญาณอีกสิบสองจุดก็หมุนเวียนเป็นวัฏจักร และหมุนเวียนกันไปตามลำดับ กลายเป็นการหมุนเวียนที่ลึกลับอย่างหนึ่ง
เมื่อเบิกจุดชีพจรวิญญาณสิบสองจุดไปทีละจุด ก็เท่ากับว่าได้สร้างสะพานเชื่อมระหว่างคนกับสวรรค์
ตัวของคนเองนั้นก็เหมือนกับสะพาน ที่เชื่อมระหว่างสวรรค์ ทำให้ในยามที่บำเพ็ญ ก็จะได้ดูดซับพลังลมปราณมหาศาลไปอีกขั้นหนึ่งได้
แต่สำหรับซูอี้แล้ว ในสายตาเขาการเบิกชีพจรขั้นนี้ ยังขาดจุด ‘ชีพจรลับ’ อีกหนึ่งจุด!
และชีพจรลับนี้ ก็ได้เชื่อมร่างกายกับจิตวิญญาณไว้ เช่นเดียวกับที่เชื่อมผ่านจุดชีพจรวิญญาณทั้งสิบสองจุด ซึ่งมีเพียงแค่ผู้สำเร็จ ‘เบิกมวลกายวิญญาณ’ เท่านั้นถึงจะรู้สึกถึงได้
ในหลายวันมานี้ ในระหว่างที่ซูอี้กำลังบำเพ็ญ เขารู้สึกถึงชีพจรลับจุดนั้น เช่นเดียวกับสะพานที่เชื่อมระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกาย
แต่เมื่ออยากจะเปิด ‘ชีพจรลับนี้’ มันกลับเลือนราง สุดท้ายก็ขาดหายไป ด้วยเหตุนี้ ปัญหาในการเพิ่มการฝึกฝนบำเพ็ญสำหรับซูอี้ก็มีเพียงปัญหาเดียวก็คือการหาทางออกในการเปิด ‘ชีพจรลับ’ ที่มองไม่เห็นนี้
“การสร้างรากฐานก็เหมือนกับ ‘เบิกมวลกายวิญญาณ’ หากต้องการเปิดชีพจรลับจุดนี้ เกรงว่าจะต้องหาจุดพลิกสถานการณ์…”
ซูอี้ไตร่ตรองขึ้น
สถานการณ์ที่ง่ายที่สุดในการเปิดจุดชีพจร เห็นที่จะเป็นการอยู่ในระหว่างความเป็นและความตาย!
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพบในระหว่างการต่อสู้เท่านั้น
ประสบการณ์ในการบำเพ็ญของซูอี้ในหนึ่งแสนแปดพันปีก่อน ทำให้เขานึกถึงร้อยวิธีที่จะแก้ไข ‘ช่วงที่ยากลำบาก’ นี้ได้
แต่สุดท้าย ก็ถูกเขาสลัดทิ้งไป
เขาจะต้องแสวงหาจุดพลิกสถานการณ์นั้นด้วยตัวเอง
ดาบเก้าแดนคุมขัง!
ซูอี้ไม่เคยลืม ในตอนนั้นที่สร้างรากฐาน ‘เบิกมวลกายวิญญาณ’ มันได้ปลุกดาบเก้าแดนคุมขัง และได้รับพลังจากดาบเก้าแดนขุมขังมาทดแทน ทำให้ตัวเองที่มีรากฐานอยู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่งแข็งแกร่งขึ้นมาอีกขั้น!
และ ‘ชีพจรลับ’ ที่เชื่อมระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณเอาไว้ กับดาบเก้าแดนขุมขังที่อยู่ในจิตวิญญาณมาโดยตลอด โชคดีที่สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
“ข้าใช้เคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องเป็นแนวทางในการหายใจเข้าออก ปรับเปลี่ยนการฝึกลมปราณ ส่วนในจิตวิญญาณ ก็ใช้จุดลมปราณมาช่วยเสริมในการแปรเปลี่ยนและใช้ร่วมกับพลังจิตวิญญาณ …เมื่อทั้งสองต่างก็มารวมกัน และเมื่อผนวกรวบกับชีพจรลับ ก็จะปลุกพลังของดาบเก้าแดนคุมขังให้ตื่นขึ้นมา!”
หลังจากที่ไต่ตรองมาเป็นเวลานาน และอนุมานมาหลายครั้ง จนแน่ใจว่าอันตรายที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่เสี่ยงถึงชีวิต ซูอี้จึงไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะนำไปปฏิบัติ
เส้นทางในการฝึกนั้น ไม่มีสิ่งที่แน่นอนเลยจริง ๆ
หากต้องการแสวงหาลู่ทางที่สุดยอดและแข็งแกร่งกว่าชาติก่อน ในทุกขั้นตอนที่กำหนดเอาไว้ จะต้องพบกับความเสี่ยงที่ชาติก่อนไม่เคยได้พบเจอ
ซูอี้ได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้แล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปทีละเล็กทีละน้อย
ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นมืดลง และสีท้องฟ้าในยามเย็นก็ค่อย ๆ มืดครึ้มขึ้น…
“ไม่รู้ว่าคืนนี้คุณชายอยากจะทานสิ่งใด”
ฉาจิ่นดึงกระโปรงขึ้น นั่งอยู่บนม้านั่งหินที่อยู่ด้านหน้ากระถางดอกไม้อย่างงดงาม สะโพกอวบอิ่มกดอยู่บนขอบม้านั่งหิน บีบให้เนื้อหนังนูนออกมา
นางใช้มือหนึ่งเท้าคาง มองท้องฟ้าระยะไกลด้วยดวงตางดงามราวกับฝนในฤดูใบไม้ร่วง แววตาเหม่อลอย
ทันใดนั้น ฉาจิ่นก็ตกใจ มีแสงแวววาวประหลาดที่น่าเหลือเชื่อสะท้อนอยู่ในรูม่านตา
นางเห็นท้องฟ้าในยามราตรีอันมืดมิด จู่ ๆ ก็มีลำแสงเล็กละเอียดตกลงมาราวกับความฝัน หลากสีสันปลิวกระจาย
ในความมืดมิดนั้น หากไม่มองให้ดี ๆ ก็ยากที่จะมองเห็น
“นี่คือสิ่งใดกัน?”
ฉาจิ่นนั่งตัวตรงอยู่เงียบ ๆ ดวงตาที่งดงามของนางนั้นเบิกกว้าง
ณ ตำหนักเทียนหยวน
ภูเขาชิวเยี่ยภูเขาที่สูงที่สุด ภายในตำหนักคูหลง จู่ ๆ ก็ปรากฏร่างน่ารักน่าชังออกมา นางสวมชุดกระโปรงขาวลายก้อนเมฆ หน้าตาอ่อนเยาว์ราวกับเด็กผู้หญิง
เสียงลมหวีดหวิวบนยอดเขา พัดชุดของนางพลิ้วไหว เจ้าตำหนักที่ลึกลับคนนี้เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาที่เหมือนกับจันทร์เสี้ยวเผยแสงสีทองราวกับกระแสน้ำขึ้นลงก็ไม่ปาน
ส่วนลึกของท้องฟ้าในยามราตรีที่อยู่ในสายตานาง ไม่รู้ว่าเมื่อใดดวงดาวหลายดวงที่เปล่งประกายวิบวับได้หมุนเวียนมารวมกัน และก่อตัวเป็นทางช้างเผือกมหึมาที่ไม่อาจจะจินตนาการได้
จากนั้น ทางช้างเผือกจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุด มาบรรจบกันเป็นวงกลม และโคจรขึ้นมาอย่างช้า ๆ
คล้ายกับกระแสน้ำวนทางช้างเผือกขนาดมหึมา เหมือนสะพานทอดข้ามท้องฟ้าไปสู่ภายนอก ซึ่งมีขนาดใหญ่มหึมาเกินกว่าที่จะจินตนาการได้!
หลังจากนั้น ลำแสงลึกลับมากมายดุจความฝัน ก็สาดกระจายออกมาจากส่วนลึกในกระแสน้ำวนทางช้างเผือก จากภายนอกท้องฟ้าตกลงมาข้างล่าง
ราวกับแสงดาวทางช้างเผือก ตกลงมาจากที่แสนไกล!
นี่เป็นปรากฏการณ์ยอดเยี่ยมที่น่าเหลือเชื่อ ทำให้หนิงซือฮวาอดไม่ได้ที่จะตกใจ และรู้สึกถึงบางอย่างที่เลือนรางและเล็กน้อยภายในใจนาง
คือผู้ใดกันที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้?