บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 189 ปลุกคนหยิบมือในโลกให้ตื่น
ตอนที่ 189: ปลุกคนหยิบมือในโลกให้ตื่น
เพียงแค่หายใจเข้าออกสามครั้ง
กระแสน้ำวนที่เต็มไปด้วยดวงดาวขนาดมหึมาก็ค่อย ๆ หายสาบสูญไป
มีเพียงแค่ลำแสงที่ไหลทะลักราวกับน้ำตกจากทางช้างเผือก ยามเมื่อตกลงมาจากท้องฟ้า ก็เปลี่ยนเป็นภาพลวงตาที่ขุ่นมัว เล็กละเอียดดั่งหมอกฝน
ไม่ต้องพูดถึงปุถุชนคนธรรมดา แม้แต่หนิงซือฮวาเองก็เห็นได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
ท้ายสุดแล้วจะเป็นใครกัน?
หนิงซือฮวาขมวดคิ้วงามขึ้น
กระแสน้ำวนทางช้างเผือก แสงฝนราวกับน้ำตก!
ปรากฏการณ์เช่นนี้ เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัว มันห่างไกลจากปรากฏการณ์ทั่วไปมาก
ซูอี้?
หนิงซือฮวานึกถึงชายหนุ่มสามชุดเขียวที่พบกันวันนี้ขึ้นมา
ทันใดนั้นนางก็ส่ายหน้าและปฏิเสธความคิดนี้ทันที
ในความเป็นจริงแล้ว บนร่างซูอี้นั้นมีความลึกลับและลี้ลับมาก แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จะเป็นชายหนุ่มที่มีวิถียุทธ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นกลางทำให้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือปรากฏการณ์สะพานทอดข้ามท้องฟ้าสู่เวิ้งเช่นนี้ แปรเปลี่ยนดวงดาวนับหมื่นพันให้เป็นกระแสน้ำวน ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้ที่สำเร็จสี่ขอบเขตแห่งวิถียุทธ์ แม้แต่ตัวตนอย่างเทพเซียนเดินดินวิถีต้นกำเนิดก็แทบจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘สวรรค์เชื่อมมนุษย์’ ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ไม่ได้!
“ดูเหมือน ในโลกใบนี้จะยังมีความลับซ่อนอยู่มากกว่าที่ข้าคิดไว้…”
หนิงซือฮวามองอย่างเลื่อนลอย
…..
ณ ส่วนลึกทะเลฮุนหมิง ทางตอนเหนืออาณาจักรต้าโจว
บนเกาะโดดเดี่ยวสีดำทมิฬที่ถูกปกคลุมไปด้วยพายุหิมะตลอดปีแห่งหนึ่ง
“หากเป็นไปได้ ข้าก็ไม่อยากอยู่ในสถานที่หนาวยะเยือกแม้แต่นกก็ไม่ขี้ไปตลอดชีวิตหรอก”
เก๋อเฉียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นแอบด่าพึมพำกับตัวเอง พลางสะบัดหิมะเย็นที่ปกคลุมบนชุดคลุม เขายืนขึ้นท่ามกลางลมหนาวที่หนาวเหน็บราวกับคมมีด
“การฝึก ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ ก็เหมือนกับไอ้บ้าคนหนึ่งที่อดทนอยู่ในโลกที่เปล่าเปลี่ยว ทนรับความลำบากที่คนธรรมดาไม่สามารถทนได้ นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือกเอง ไม่ใช่ข้าที่บีบบังคับเจ้า”
ในจิตวิญญาณ ชายชราผู้หนึ่งรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของเขา
เก๋อเฉียนเงียบ
เมื่อเอ่ยถึงความอับอาย ครั้งตอนที่ชายชราได้ถ่ายทอดวิธีการฝึกฝนบำเพ็ญให้กับเขา โดยการยกตัวอย่างเส้นทางที่แข็งแกร่งลึกลับทั้งสี่อย่าง
และทุกเส้นทางถูกชายชราคุยโอ้อวดอย่างมหัศจรรย์ยิ่ง เป็นที่รู้กันว่าทรงพลังมากสุดในโลกหล้า และสามารถนำสู่การเป็นราชันวิถีลึกล้ำได้โดยตรง…
แต่สุดท้าย เก๋อเฉียนก็ปฏิเสธ
เขาทำแค่เอ่ยถาม “เคล็ดวิชานับพัน เส้นทางทางนับหมื่น จะมีลู่ทางใดที่ทำให้ข้าไม่ตายในตอนท้ายบ้าง?”
ตอนนั้นชายชราโกรธเดือดดาลดุจฟ้าผ่า ตะโกนด่าอย่างหยาบคาย เขาโกรธจนใช้ฝ่ามือฟาดเจ้าเด็กขี้ขลาดที่มีสติฟั่นเฟือนคนนี้
แต่สุดท้าย…
เขาไม่อาจเปลี่ยนความคิดของเก๋อเฉียนได้ จึงได้แต่ถ่ายทอด ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ ส่วนหนึ่งให้ พร้อมกับดุด่าไปด้วย
เมื่อคิดดูแล้วมันก็สอดคล้องกับนิสัยของเขา เมื่อบำเพ็ญผ่านเส้นทางส่วนนี้ พลันราบรื่นจนน่าประหลาดใจ การพัฒนานั้นก็ยิ่งเร็วมาก
แม้ว่าชายชราจะเยาะเย้ยเขาว่าตลอดชีวิตนี้เป็นได้แค่คนเขลาคนหนึ่งบ่อย ๆ แต่ทว่าบางครั้งก็ไม่รีรอที่จะชื่นชมเขาที่บำเพ็ญสำเร็จ…
เพียงแต่ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวในการบำเพ็ญคัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริงก็คือ จะต้องอดทนความเจ็บปวดดุจมีดและขวานสับเข้าไปในร่าง
ด้วยเหตุนี้ เก๋อเฉียนจึงต้องทนทุกข์ทรมานมาก
เช่นเดียวกับตอนนี้ ที่อยู่ในทะเลฮุนหมิงที่สามารถทำให้ปุถุชนคนหนึ่งเหน็บหนาวจนกลายเป็นน้ำแข็ง เพื่อฝ่าฟันเข้าสู่การเป็นปรมาจารย์ เขาต้องทนฝึกเก้าพันเก้าร้อยแปดสิบเอ็ดวัน เพื่อรับความหิวโหยและความเหน็บหนาวที่กระหน่ำซ้ำเติมเข้ามาทั่วร่าง
ด้วยสิ่งเหล่านี้ถึงจะสามารถฝึก ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ ได้ …นี่คือรากฐานที่จะก้าวไปสู่เส้นทางการเป็นปรมาจารย์!
“ตอนนี้ยังเหลืออีกเจ็ดสิบสองวัน ทนอีกสักนิดหนึ่ง… เมื่อกลายเป็นปรมาจารย์แล้ว ด้วยพละกำลังของข้า หากไม่ไปหาเรื่อง ไม่ใจร้อน ไม่บุ่มบ่าม ระมัดระวังทุกสิ่งทุกอย่าง จะต้องอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคงได้อีกหลายปี… ”
เก๋อเฉียนกำลังให้กำลังใจตัวเองอยู่
ทันใดนั้น
บนท้องฟ้าที่มืดครึ้มและมีเมฆมาก พลันเผยภาพลวงตาขุ่นมัวเลือนรางของแสงฝนที่เล็กละเอียดออกมา
“หืม?”
ในจิตวิญญาณ น้ำเสียงที่ตกใจของชายชราดังขึ้นมา
ชั่วครู่หนึ่ง เก๋อเฉียนรู้สึกแสบตากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า คล้ายกับว่าเห็นสัตว์ใหญ่มหึมาปรากฏอยู่บนท้องฟ้า เขาเชิดหน้าขึ้นมองไปในส่วนลึกของท้องฟ้า “ดาวหยกดุจกระแสน้ำวน แสงฝนสาดกระเด็น ผู้ใดกันที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้?”
น้ำเสียงต่ำดั่งเสียงฟ้าร้องก้องกังวานท่ามกลางพายุหิมะ ดูเหมือนจะรู้สึกทึ่ง
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ เก๋อเฉียนก็นิ่งงันไป ก่อนที่ภาพลวงตาขนาดใหญ่ที่อัดแน่นว่างเปล่า จะถูกชายชราที่อยู่ในจิตวิญญาณคนนั้นแปรเปลี่ยนไป!
“ปรากฏการณ์เช่นนี้ เรียกได้ว่าพบเห็นได้ยากในหมื่นพันปี และดูเหมือน ข้าจะประเมินโลกนี้ต่ำเกินไป…”
น้ำเสียงของชายชราดูเหมือนจะเคร่งขรึมและประหลาดใจ
และในยามนี้ จู่ ๆ เก๋อเฉียนก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาสัตว์ใหญ่ขนาดมหึมาที่อยู่ตรงหน้าเล็กน้อย กระดองเกล็ด ส่วนหัวเป็นเต่า หางเป็นงู…
นี่ไม่ใช่รูปร่างเต่าหางมังกรดำในตำนานหรอกรึ!?
หรือว่า…
ทันทีที่เก๋อเฉียนนึกมาถึงตรงนี้ สัตว์ใหญ่มหึมาที่อยู่ตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นว่างเปล่าและค่อย ๆ สูญสลายไป ในขณะเดียวกันก็มีน้ำเสียงที่เคร่งขรึมของชายชราดังขึ้นในหัว
“เจ้าหนุ่ม ข้าอดที่จะเตือนเจ้าอย่างหนึ่งไม่ได้ ภายในอาณาจักรต้าโจวนี้มีสิ่งแปลกประหลาด เหมือนจะมียอดฝีมือที่น่าหวาดกลัวอยู่ในโลกนี้! ”
“สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่า เรื่องที่มหาทวีปคังชิงมีพลังวิญญาณที่เหือดแห้ง ห่างไกลจากที่ข้าคิดไว้ก่อนหน้ามาก และไม่ได้ถูกกำหนดไว้ว่าเป็นโลกใบเล็กที่สุด”
“นี่มันแปลกประหลาดจริง ๆ ข้ายังคิดว่าบนโลกนี้มีแค่ข้าที่ศักดิ์สิทธิ์และวิเศษเช่นนี้ แต่ใครจะคิดเล่าว่า…”
“เฮ้อ ดูเหมือนจากนี้ข้าต้องจัดการบางอย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ไห้ผู้ใดเห็นโฉมหน้าอันสูงส่งที่แท้จริงของข้าได้…”
เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่ตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าของชายชรา เก๋อเฉียนก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก และเอ่ยขึ้นทันที
“ชายแก่ ที่แท้เจ้าก็บำเพ็ญ ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ด้วย”
ในจิตวิญญาณ น้ำเสียงก็ขาดหายไปทันที ราวกับตกอยู่ในความเงียบสงัด
“ข้าเรียนรู้คัมภีร์เต๋าหลายอย่าง จะมีเพียงส่วนนี้ได้อย่างไรกัน?”
เป็นเวลานาน ชายชราถึงได้พ่นลมหายใจออกมา
“แต่เมื่อครู่เจ้ากลับเปลี่ยนเป็นเต่าแก่ตัวดั่งภูเขาสูงใหญ่เชียวนะ”
เก๋อเฉียนเอ่ยเยาะเย้ย “และยังว่าข้าเป็นคนขี้ขลาด ที่แท้เจ้าก็เป็นชายแก่ขี้ขลาดเช่นกัน!”
“หุบปาก!”
ชายชราโมโหราวกับกลบเกลื่อนความอับอาย
ทว่าเก๋อเฉียนกลับยิ่งเอ่ยอย่างมีความสุข “ต่อจากนี้ พวกเราอย่าได้เยาะเย้ยกันและกัน เมื่อดูเจ้าแล้ว หากไม่ใช่ชายแก่รักตัวกลัวตาย ท่านจะมีชีวิตนึกคิดที่คอยอยู่ในจิตวิญญาณข้าได้อย่างไร?”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็ขมวดคิ้ว “แต่จะว่าไปแล้ว เมื่อครู่เห็นสิ่งใดกันแน่ เหตุใดถึงได้ตกใจจนกลายเป็นเช่นนั้นได้?”
ในจิตวิญญาณ ชายชราเอ่ยด้วยเสียงดังก้องดุจฟ้าผ่า “ไอ้บ้าที่ไหนตกใจกัน ฮะ? ข้าจะตกใจกับปรากฏการณ์นั้นได้อย่างไร ฮะ?”
หลังจากส่งเสียงดังก้องแล้ว ชายชราก็หอบไปครู่หนึ่ง และเอ่ยขึ้น “ข้าก็แค่กล่าวเตือนเจ้า โลกใบนี้มันมีปัญหาซ่อนเร้นอยู่!”
“วางใจเถอะ ข้าระมัดระวังมากกว่าเจ้าเสียอีก ไม่น่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น จะต้องไม่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอย่างเด็ดขาด”
เก๋อเฉียนเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ก็เหมือนกับตอนนั้นที่เจ้ายุยงให้ข้าไปพบซูอี้ และข้าก็รู้ว่า แม้แต่เจ้าก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของชายหนุ่มคนนี้มีอะไรซ่อนอยู่ จะไปก่อเรื่องไม่ดีขึ้นง่าย ๆ ได้อย่างไร?”
ในจิตวิญญาณ ชายชราพ่นคำเหยียดหยามออกมาจากปาก “ปอดแหก!”
ทว่าเก๋อเฉียนกลับไม่สนใจและเอ่ยขึ้น “สรุปแล้ว จากนี้ไปข้าอาจจะพบกับซูอี้ แต่ต้องพยายามระมัดระวังเล็กน้อย ไม่กลายเป็นศัตรูได้ก็จะยิ่งดีมาก”
“หากกลายเป็นศัตรูเล่า?”
ชายชราเอ่ยถาม
เก๋อเฉียนนวดแก้มที่ถูกความเย็นจากพายุหิมะจนชา พลางเอ่ยพึมพำออกมาเสียงเบา “เช่นนั้นก็ลองดูว่าใครจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
…..
หลังจากที่เกิดปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ประชาชนหลายล้านที่อาศัยอยู่บนมหาทวีปคังชิง ส่วนใหญ่ต่างก็ไม่รู้สึกตัว
มีบุคคลลึกลับเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น ที่รู้สึกถึงเบาะแสเพียงเล็กน้อย ต่างก็อดที่จะรู้สึกทึ่งและใจสั่นขึ้นมาไม่ได้
ดังเช่น หนิงซือฮวา ชายชราที่อยู่ในจิตวิญญาณเก๋อเฉียน และคนอื่น ๆ
เพียงแต่ ด้วยความสามารถของพวกเขา ต่างก็วิเคราะห์เรื่องราวออกมาได้แค่คลุมเครือ และไม่รู้ว่าเป็นใครกันที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้
“ดูเหมือน ข้าจะตาลายจริง ๆ เสียแล้ว”
ท่ามกลางท้องฟ้ายามเย็นที่ค่อย ๆ มืดลง ฉาจิ่นแอบส่ายหัว และละสายตากลับมา
นางยังไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ที่เห็นแสงฝนเล็กละเอียดตกกระจายลงมาจากท้องอย่างเลือนรางนั้น แท้จริงแล้วคือเก๋งที่ใกล้น้ำย่อมได้จันทร์ก่อน*[1]
เพราะคนทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ยอดเยี่ยม นั่นก็คือชายบนชั้นสองที่อยู่ข้างหลังนาง
ฟู่
ซูอี้ถอนหายใจออกมายาว ๆ และตื่นขึ้นมาจากการนั่งทำสมาธิ
หยดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากเขาค่อย ๆ สูญหายสลายกลายเป็นไอ และนัยน์ตาที่ลึกซึ้งนั้นยังคงเหลือความหวาดผวาอยู่
ก่อนหน้านี้ เขาใช้เคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องพยายามฝึกการหมุนวน เมื่อพละกำลังทั้งหมดถูกใช้แปรสภาพจุดลมปราณ ในที่สุดก็ปลุกพลังของดาบเก้าแดนคุมขังได้ ด้วยเหตุนี้ ‘ชีพจรลับ’ ที่เชื่อมร่างกายกับจิตวิญญาณไว้ก็พลันเปิดออก!
และประสบการณ์ในครั้งนี้ ก็ทำให้เขาเข้าใจ ‘ความน่าหวาดกลัวระหว่างความเป็นและความตาย’ อย่างลึกซึ้ง ว่ามันอันตรายเป็นอย่างมาก!
“ไม่นึกเลย ว่าพลังของดาบเก้าคุมขังจะเข้าใจยากเช่นนี้ แค่เล็กน้อยเท่านั้น ก็เกือบทำให้จิตวิญญาณข้าแตกละเอียด…”
ซูอี้ขมวดคิ้ว ในหัวก็นึกถึงภาพนั้นเมื่อครู่โดยไม่รู้ตัว
ตอนนั้น ในตอนที่ชายหนุ่มทะลวงเปิด ‘ชีพจรลับ’ ก็รู้สึกราวกับพลังที่น่าสะพรึงกลัวทะลักท่วมระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณ จุดเบิกวิญญาณหนึ่งร้อยแปดจุดกับจุดชีพจรวิญญาณสิบสองจุดราวกับถูกโจมตีย้อนกลับคล้ายดั่งคลื่นซัดโหมเข้าชายฝั่ง
หากไม่ใช่เพราะการตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ยืนหยัดคงไว้ซึ่งสติเพียงน้อยนิด คงได้เป็นลมหมดสติไปแล้ว
และในฉับพลันนั้นเอง ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ ว่ามีดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น มันลอยสูงไกลสุดเอื้อม
เพียงแค่ตัดเบา ๆ ก็ทำให้ทางช้างเผือกที่กว้างใหญ่เล็กลง!
ตอนนั้น ทางช้างเผือกที่ม้วนตัว ก็กลายเป็นกระแสน้ำวน ดวงดาวที่สว่างจ้านับไม่ถ้วนถล่มสาดเทลงมา ตกลงสู่ด้านล่าง
นี่คือปรากฏการณ์ที่น่าเหลือเชื่อยิ่ง ทำให้ซูอี้เผยแสดงสีหน้า จนกระทั่งสงบลงครู่หนึ่ง ถึงได้คาดเดาความเป็นไปได้บางอย่างที่เลือนรางออกมา
ปรากฏการณ์นี้เกี่ยวข้องกับการที่เขาเปิด ‘ชีพจรลับ’!
ภายใต้การกระตุ้นพลังของดาบเก้าคุมขัง ทำให้เขาสามารถกลั่นตัวและเปิดจุดชีพจรลับหนึ่งเดียวนี้ได้!
และจนกระทั่งในใจสงบลงได้ ซูอี้ถึงได้สนใจชีพจรลับที่อยู่ภายในร่างกาย
มันเชื่อมจุดชีพจรวิญญาณทั้งสิบสองจุด ผสานจิตวิญญาณกับร่างกายรวมเข้าด้วยกัน เชื่อมโยงเกาะเกี่ยวกับจุดเบิกวิญญาณหนึ่งร้อยแปดจุด โยงใยเข้ากับลมปราณไปทั่วร่าง อย่างน่าอัศจรรย์
“เป็นอย่างที่คิดไว้ การมีชีพจรลับแตกต่างจริง ๆ เมื่อเทียบกับข้าที่เพียงแค่เปิดจุดชีพจรวิญญาณทั้งสิบสองจุด พละกำลังขณะนี้กลับพุ่งสูงขึ้นถึงสี่ขั้น!”
“เมื่อคิดดูแล้ว การฝึกรากฐานนั้นสำคัญที่สุด ในขอบเขตเดียวกันนี้ ข้านับว่าสูงล้ำห่างชั้นกว่าชาติก่อนในเวลาเดียวกันแล้ว”
ซูอี้แอบเอ่ยในใจ
เมื่อชาติก่อน เนื่องจากไม่มีรากฐาน และไม่อาจเบิกมวลกลายวิญญาณได้ จึงทำให้พลาดจุดชีพจรลับนี้ไปด้วย
แต่ยามนี้ มันไม่เหมือนกัน!
หลังเปิดชีพจรลับสำเร็จ เมื่อบรรลุถึงขั้นสอง ‘เบิกชีพจร’ ของขอบเขตรวบรวมลมปราณจนสมบูรณ์พร้อม ก็สามารถก้าวเข้าไปสู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสาม ‘แปรสภาพ’ ได้ทุกเมื่อ!
เป็นเวลานาน ซูอี้ถึงได้ลุกขึ้น และเมื่อเดินออกไปนอกห้อง ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว
ที่ชั้นล่าง ฉาจิ่นได้เตรียมข้าวเย็นไว้เรียบร้อย และอุ่นเหล้าเสร็จแล้ว
ภายใต้แสงไฟ หญิงงามกับอาหารเลิศรส
ซูอี้เพลิดเพลินไปกับอาหารรสเลิศ พลางเอ่ยถามขึ้น “เจิ้งมู่เหยายังไม่มารึ?”
ฉาจิ่นตกใจไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนนึกถึงหญิงสาวที่เย้ายวนราวกับจิ้งจอกน้อยคนนั้น ในใจก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย และเอ่ยขึ้น “คุณชายมีเรื่องอันใดถึงถามหานางกัน?”
“ข้าให้นางไปสืบเรื่องหนึ่ง”
ซูอี้เอ่ยตอบทันที
ฉาจิ่นแอบถอนหายใจออกมา ไม่นานก็รู้สึกอายจนหน้าแดงขึ้นมา ราวกับว่าเมื่อครู่นางคิดมากไปแล้ว…
แต่ไม่นาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาจากที่ไกล ๆ
“ท่านอาซูอี้ ข้ามาแล้ว”
[1] เก๋งที่ใกล้น้ำย่อมได้จันทร์ก่อน เป็นสำนวนจีน หมายถึงการที่เราไปอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย เราจะได้ประโยชน์ก่อนคนอื่น ๆ