บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 190 เรื่องเล่าดินแดนพิสดาร
ตอนที่ 190: เรื่องเล่าดินแดนพิสดาร
“พวกนางยังไม่กลับตำหนักเทียนหยวนหรือ?”
ได้ยินคำตอบของเจิ้งมู่เหยา หัวคิ้วของซูอี้จึงย่นลงเล็กน้อย
พวกของหลิงเสวี่ยพบกับเรื่องอันใดระหว่างทางจนการเดินทางล่าช้า หรือว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นเช่นนั้นหรือ?
“กลับไปบอกบิดาของเจ้า ให้เขาใช้กำลังของตระกูลเจิ้งช่วยข้าสืบหาเรือลำหนึ่ง”
ซูอี้พูดพลางบอกลักษณะของเรือที่ออกเดินทางจากมหานครอวิ๋นเหอเมื่อหกวันก่อนลำนั้น พร้อมทั้งเวลาที่ออกเดินทาง
เจิ้งมู่เหยาเพิ่งเดินเข้าไปในเรือนพำนักหินศิลา เพิ่งนั่งไปสักครู่ เก้าอี้ยังไม่ทันร้อน จึงยังไม่อยากจะจากไปเลย
ทว่าเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของซูอี้แล้ว นางจึงจริงจังขึ้นมา และไม่กล้าล่าช้าอีก แล้วรีบออกเดินทางไป
“คุณชาย ข้างกายแม่นางเหวินหลิงเสวี่ยมีปรมาจารย์จู้กู่ชิงอยู่ด้วย จะต้องไม่มีเรื่องอันใดเป็นแน่”
ฉาจิ่นกล่าวอ่อนโยน
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ “วิถียุทธ์ของจู้กู่ชิงยังสู้ฉางกั้วเค่อไม่ได้ ข้าไม่อาจฝากฝังความหวังทั้งหมดไว้ที่นางได้”
ฉาจิ่นกล่าว “แต่ในโลกสามัญแห่งนี้ ความสามารถของจู้กู่ชิงเรียกได้ว่าสุดยอดแล้ว ยกเว้นเสียแต่เจอกับปรมาจารย์ที่เก่งกว่า ไม่เช่นนั้น ยังคงสามารถปกป้องแม่นางหลิงเสวี่ยได้”
ซูอี้พยักหน้า พลางกล่าวคำออก “รอฟังข่าวก็แล้วกัน หวังว่าข้าจะคิดมากไปเอง”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ ฉับพลันก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น…
“ข้าจะไปเปิดประตู”
ฉาจิ่นรีบเดินออกไป
ไม่นานนัก ฉาจิ่นก็เดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาอ่อนวัยร่างเล็กราวกับสาวน้อยในชุดกระโปรงสีอ่อนลายเมฆ
“คุณชาย…”
ฉาจิ่นกำลังจะพูดต่อ ทว่าซูอี้เลิกคิ้วกล่าวแทรกขึ้นมา “ไม่มีธุระอะไรของเจ้าแล้ว ออกไปก่อน”
ฉาจิ่นพยักหน้า เดินออกห้องไปเงียบ ๆ
เมื่อสักครู่ ตอนที่นางเห็นหญิงแปลกหน้าผู้มาเยือนอย่างกะทันหันคนนี้ นางรู้สึกตื่นตระหนกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ความพรั่นพรึงหวั่นเกรงคืบคลานเข้ามาในหัวใจ ทำให้นางยังไม่ทันได้สอบถามอะไรฝ่ายตรงข้ามก็ก้าวเดินเข้ามาในเรือนพำนักหินศิลาแล้ว
“นางผู้นี้คือใครอีก?”
แววตางามของฉาจิ่นแฝงด้วยความคลุมเครือเคลือบแคลง หรือว่าจะเป็นเทพเซียนเดินดิน?
คิดถึงตรงนี้ ตัวนางเองก็ตกใจ
“เป็นไปได้อย่างไรที่แคว้นกุ่นจะมีเทพเซียนเดินดิน บางทีสตรีผู้นั้นอาจจะเป็นปรมาจารย์ที่เก่งกาจมากคนหนึ่งก็เป็นได้”
ฉาจิ่นคิดเช่นนี้แล้วชะเง้อหูฟังด้วยความตั้งใจ
“ข้าเพิ่งออกจากตำหนักเทียนหยวนเมื่อตอนเที่ยง ตอนเย็นเจ้าก็มาหาข้าอย่างกะทันหัน ต้องการจะทำอะไร?”
ในห้อง ซูอี้นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบพลางมองดูหญิงสาวใบหน้าอ่อนวัย
“สหายเต๋าคงจะรู้สึกได้ถึงปรากฏการณ์พิสดารอันลี้ลับที่เกิดขึ้นตอนพลบค่ำวันนี้เช่นกันใช่หรือไม่?”
หนิงซือฮวานั่งลงอีกด้านพลางเอ่ยพูดเสียงเบา
ลักษณะของนางมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นลักษณะที่เหนือกว่าคนทั่วไป และยังมีความอ่อนวัยใสบริสุทธิ์ของสาวน้อย ผสมผสานเป็นความผุดผ่องประดุจปีศาจภูตพราย
“ปรากฏการณ์พิสดาร?”
ซูอี้ราวกับเข้าใจกระจ่างขึ้นมา กล่าวด้วยความประหลาดใจ “รู้สึกได้ ที่เจ้ามา ก็เพราะสงสัยว่าข้าเป็นผู้ชักนำให้เกิดขึ้นเช่นนั้นหรือ?”
หนิงซือฮวาส่ายหน้า กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่โง่เขลาถึงเพียงนั้น ปรากฏการณ์ประหลาดที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ หลายหมื่นปียากนักจะได้เห็นสักครั้ง อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนเช่นสหายเต๋าเลย กระทั่งผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดก็ยังทำถึงขั้นนั้นไม่ได้”
ซูอี้ก็หัวเราะเช่นกัน “เช่นนั้นหรือ ไม่แน่หรอก”
“ดูเหมือนว่าสหายเต๋ามองอะไรบางอย่างออกเช่นนั้นหรือ?” หนิงซือฮวากล่าวด้วยความสนใจ
ซูอี้ถามเสียงราบเรียบ “เจ้ากำลังจะขอให้ข้าชี้แนะเช่นนั้นหรือ?”
หนิงซือฮวาเป็นเจ้าตำหนักเทียนหยวน หากว่าเป็นคนอื่นกล้าพูดเช่นนี้ละก็ นางคงไม่ปล่อยไว้แล้ว หรือไม่เช่นนั้นอาจต้องสั่งสอนฝ่ายตรงข้ามสักหน่อยว่าควรต้องประพฤติตนเช่นไร
ทว่าต่อหน้าซูอี้ นางกลับไม่รู้สึกว่าถูกหมิ่นประมาทแต่อย่างใด เป็นเพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่นางเห็นซูอี้ ก็เข้าใจว่าคน ๆ นี้คือ ‘คนร่วมวิถี’ ของนาง
น้ำเสียงของหนิงซือฮวาใสกังวาน “ข้ามาที่นี่ เพราะรู้สึกสงสัยในปรากฏการณ์พิสดารครั้งนี้ หากว่าสหายเต๋าสามารถให้คำชี้แนะได้ ข้าน้อมยินดีชะเง้อหูตั้งใจฟัง”
ซูอี้หยิบจอกน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าว “แต่เหตุใดข้าต้องชี้แนะเจ้าด้วย?”
หนิงซือฮวาชะงักไปชั่วครู่ กะพริบตาปริบ ๆ และกล่าวคำออก “ถือว่า…ข้าติดค้างน้ำใจสหายเต๋า เป็นอย่างไร?”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา กล่าว “ยังจำคำกล่าวที่ข้าพูดในวันนี้ก่อนออกจากตำหนักเทียนหยวนได้หรือไม่?”
สีหน้าของหนิงซือฮวาประหลาดไป กล่าว “สหายเต๋ายังคงติดใจถือสาการประลองเพื่อศึกษาร่วมกันในวันนี้อยู่อีกหรือ?”
ซูอี้มองดูนางด้วยสายตาลุ่มลึกครู่หนึ่ง แล้วกล่าวคำออก “การประลองนั้น เท่ากับทำให้เจ้าได้รู้ว่า ต่อให้ออกกำลังไปอย่างสุดฝีมือก็ไม่เห็นว่าจะสามารถรั้งข้าไว้ได้ ความตั้งใจเช่นนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นความปรารถนาดี เจ้าคิดว่า ข้าควรจะเคียดแค้นหรือไม่?”
หนิงซือฮวาสูดลมหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง ประสานมือคารวะพลางกล่าว “วันนี้ข้าล่วงละเมิดไปจริง ๆ หวังว่าสหายเต๋าจะให้อภัย”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา พลางกล่าวคำออก “เจ้าเป็นถึงเจ้าตำหนักเทียนหยวน ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ไว้หาโอกาส เจ้าก็รับกระบวนท่าของข้า”
หนิงซือฮวาทำหน้าไม่ถูกออกมา นางคาดไม่ถึงเลยว่า บุคคลระดับอย่างซูอี้เช่นนี้จะใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยถึงเพียงนี้
ทว่าคิด ๆ ดู วิธีการประมือของนางในวันนี้ไม่ค่อยจะยุติธรรมจริง ๆ จึงไม่อาจพูดตอบโต้แทนตัวเองได้
“เช่นนี้ก็แล้วกัน ต่อไปไม่ว่าเมื่อไรที่สหายเต๋าต้องการจะประลองเพื่อศึกษาร่วมกัน ข้าจะอยู่ประลองศึกษาด้วยจนถึงที่สุด มากสุดก็เพียงแค่โดนสหายเต๋าซัดเท่านั้น”
หนิงซือฮวาหัวเราะแสดงอาการอ่อนข้อออกมา
ซูอี้ได้ทีแล้วไม่ซ้ำเติม พลางกล่าว “เอาล่ะ ไม่กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว เกี่ยวกับเรื่องปรากฏการณ์พิสดาร ข้าพอทำความเข้าใจมาบ้าง แต่ไม่อาจบอกเจ้าได้ถึงความลึกล้ำภายในได้”
“เพราะเหตุอันใด?” คิ้วงอนงามของหนิงซือฮวาย่นเล็กน้อย
ซูอี้เอ่ย “เรื่องใด ๆ ในโลกนี้ ไหนเลยจะมีเหตุผลมากมายถึงเพียงนั้น ถ้าเช่นนั้นเจ้าสามารถบอกข้าได้หรือไม่ ที่แท้เจ้าเป็นอสุรกายเฒ่าที่อยู่มานานไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี หรือว่าพรสวรรค์ในสายเลือดบนตัวเจ้ามีตรงไหนที่พิเศษไม่ธรรมดา?”
หนิงซือฮวานิ่งเงียบไปชั่วครู่ ไม่นานนักจึงยิ้มพลางย้อนถาม “สหายเต๋าเล่า เป็นหัวหน้ามารที่แย่งร่างเพื่อคืนชีพ หรือว่าเป็นเซียนที่ตกลงมาจากสรวงสวรรค์?”
ไม่รอให้ซูอี้ตอบ หนิงซือฮวาก็กล่าวอีก “คำถามที่พัวพันไปถึงความลับส่วนตัวเช่นนี้ ข้าไม่มีทางพูด และสหายเต๋าก็ไม่มีทางพูดเช่นกัน แต่ตอนที่ข้ากับเจ้าพบหน้ากันครั้งแรกก็สามารถมองเห็นพิรุธของแต่ละฝ่ายออก นี่ก็คือเหตุผลที่ข้ามองสหายเต๋าเป็น ‘ผู้ร่วมวิถี’ ออก”
นางเหลือบตามองไปที่ซูอี้ แล้วกล่าวคำออก “ข้าก็หวังเช่นกันว่า สหายเต๋าจะสามารถมองออกถึงความปรารถนาดีของข้า เพราะอย่างไรเสีย ภูมิแดนแห่งโลกสามัญนี้มีคนเช่นข้ากับเจ้าอยู่น้อยมาก กล่าวโดยไม่ปิดบัง ในรอบสามสิบปีมานี้ ข้าเดินทางรอบพรมแดนอาณาจักรต้าโจวอยู่ตลอด ทว่าหาจนทั่วป่าเขาลำเนาไพร มีวันนี้เท่านั้นที่ได้พบสหายเต๋าร่วมวิถีอย่างเจ้า”
ซูอี้นิ่งตะลึง ก่อนจะถาม “เจ้าหา ‘ผู้ร่วมวิถี’ มาโดยตลอดงั้นหรือ? เพราะเหตุใดกัน?”
หนิงซือฮวาถอนใจเบา ๆ “ตระเตรียมการเพื่อวันข้างหน้า ตามที่ข้ารู้ ถึงแม้มหาทวีปคังชิงนี้จะแร้นแค้นกันดาร จนกล่าวได้ว่าระบบวิถีอันสูงส่งแทบจะไม่มีอยู่ แต่ทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายเหมือนดังที่เห็นภายนอกเป็นแน่”
พูดถึงตรงนี้ นางเบนสายตามองไปยังซูอี้ พลางกล่าว “ดังเช่นแปดมหาขุนเขาปีศาจในอาณาเขตอาณาจักรต้าโจวแห่งนี้ แต่ละแห่งล้วนซ่อนเร้นความลี้ลับอันยิ่งใหญ่ ตอนนี้ข้าสืบค้นเพียงแค่ขุนเขาปีศาจสามลูกเท่านั้น ไม่ผิดจากความคาดหมาย ล้วนพบเจอเรื่องราวพิสดารที่ไม่ธรรมดา อันตรายน่ากลัวจนต้องย้อนกลับระหว่างทาง”
ซูอี้เลิกคิ้ว เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องราวเช่นนี้ จึงกล่าวว่า “เรื่องราวพิสดารเหล่านั้นคือเรื่องอะไรกันแน่?”
“ดังเช่นขุนเขาปีศาจหมื่นอสรพิษทางพรมแดนตะวันตกของอาณาจักรต้าโจวมีบ่อโคลนแห่งหนึ่งเป็นสีเลือด กระดูกสีขาวลอยอยู่บนผิว มีหมอกหนามัวฟ้าผ่าฟ้าร้อง ข้าเคยบุกเข้าไปข้างในพบกับแท่นบูชาแกะสลักเป็นรูปสัตว์ และนกประหลาดบนแท่นบูชากำลังเซ่นไหว้หัวกระโหลกสีขาวดังหิมะ…”
พูดถึงตรงนี้ แววตาของหนิงซือฮวาส่องประกายประหลาด “เพียงแค่มองดูไกล ๆ พลังประหลาดไร้รูปร่างบางอย่างแทบจะทำให้จิตใจของข้ากระเจิง เป็นเพราะใช้วิธีลับบางอย่างจึงพอฝืนประคับประคองสติไว้ได้ และหนีถอยออกมาจากที่ตรงนั้น”
“ตามความเห็นของข้า เผชิญหน้ากับพลังพิสดารไร้รูปร่างเช่นนั้น ต่อให้เป็นปรมาจารย์ตั้งแต่กำเนิดก็ไม่อาจต้านทานได้ ข้ายังถึงขั้นสงสัยว่าหากผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดไป สิบคนคงจะรอดเพียงหนึ่งเท่านั้น”
ฟังถึงตรงนี้ ซูอี้เริ่มแสดงสีหน้าสนใจออกมาด้วยเช่นกัน กล่าว “เช่นนี้รู้สึกสนุกขึ้นมาบ้างแล้ว สถานที่ที่กันดารปราณวิญญาณถึงเพียงนี้ กลับซุกซ่อนสถานที่อันตรายถึงเพียงนั้น เห็นได้ชัดว่ามีความผิดปกติเป็นอย่างมาก”
หนิงซือฮวาหัวเราะพลางกล่าว “หากว่าสหายเต๋าสนใจ พวกเราสามารถหาเวลาไปสืบเสาะด้วยกันได้”
ซูอี้กลับส่ายหน้าพลางกล่าว “รอเมื่อไรที่การฝึกตนของข้าไม่สามารถก้าวหน้าไปได้อีก บางทีอาจจะพิจารณาไป”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาถาม “ขุนเขาปีศาจอีกสองแห่งมีปรากฏการณ์พิสดารเช่นใด?”
หนิงซือฮวาเล่าออกมาหมดเปลือกไม่มีปิดบัง
ลึกเข้าไปในดินแดนหนาวเหน็บทางตอนเหนือของอาณาจักรต้าโจว มีทะเลขุ่นอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตซึ่งถูกปกคลุมด้วยพายุหิมะน้ำแข็งตลอดทั้งปี
‘ขุนเขาปีศาจเพลิงเงิน’ ลอยอยู่บนผิวทะเล ขุนเขาลูกนี้ไม่ใหญ่นัก ทว่าภายในกลับมีห้องใต้ดินลึกมากจนไม่อาจคะเนได้ ราวกับหุบเหวที่ทะลุไปยังส่วนลึกสุดของใต้ดิน
หนิงซือฮวาเคยเข้าไปลึกถึงสามพันวา เจอเขาวงกตใต้ดินขนาดใหญ่มาก ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับรังผึ้ง และเส้นทางคดเคี้ยวมากมายหลายเส้น
เมื่อนางพยายามจะสืบเสาะความลี้ลับของเขาวงกตใต้ดิน ระยะเวลาไม่ถึงครึ่งเค่อก็พบกับซากศพที่คลุมกายด้วยชุดเกราะเสียหายกลุ่มหนึ่ง พลังของแต่ละศพล้วนประหลาดและน่ากลัวราวกับสามารถฆ่าบุคคลระดับปรมาจารย์ได้อย่างง่ายดาย
ตอนนั้น หนิงซือฮวารีบหนีในทันที
ไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เป็นเพราะรู้สึกได้ว่าต่อให้ฆ่าซากศพประหลาดเหล่านั้นตาย ระหว่างทางก็ยังจะต้องเจอกับภัยอันตรายที่มากขึ้น
สถานที่ตรงนี้ ได้รับสมญาจากหนิงซือฮวาว่า ‘ห้องศพใต้ดิน’
ส่วนดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรต้าโจว เป็นที่ตั้งของขุนเขาอันตรายอันมีชื่อสะท้านไปทั่วใต้หล้าว่า
‘ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา’
ขุนเขาลูกนี้ใหญ่มหึมา มีแนวยาวถึงพันลี้ ทั่วทั้งขุนเขาสามารถพบเห็นสัตว์ปีศาจเพ่นพ่าน
หหนิงซือฮวาเคยเข้าไปในขุนเขา พบซากวัดวิปัสสนาร้างซึ่งเข้าใจว่าน่าจะร้างมานานมากแล้ว
เมื่อความมืดแผ่ขยาย ภายในซากวัดร้างมีเงาของผีดอกบัวสีดำลอยวนเวียน จำนวนนับร้อยนับพัน ทั้งยังมีเสียงสวดมนต์ดังแว่ว ๆ แต่กลับน่าสยดสยองราวกับเสียงคร่ำครวญโหยหวนของภูตผี
หนิงซือฮวาเคยมองดูจากไกล ๆ บริเวณซากร้างท่ามกลางราตรีมืด เห็นไอปีศาจพุ่งขึ้นฟ้า บางครั้งเงาเลือนรางก็จะฉวัดเฉวียนท่ามกลางความมืดมิด ราวกับภูตผีนับร้อยกำลังเดินขบวน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์อันน่าพิสดารยิ่งนัก
ฟังเรื่องราวเหล่านี้จนจบแล้ว ซูอี้ถึงกับเหม่อลอย
ขุนเขาปีศาจหมื่นอสรพิษมีบ่อโคลนสีเลือด เป็นที่ตั้งของแท่นบูชาประหลาด กำลังเซ่นไหว้บวงสรวงหัวกะโหลกประหลาด…
ขุนเขาปีศาจเพลิงเงินมีห้องศพใต้ดิน หนทางลัดเลาะหลายสายราวกับใยแมงมุม ในนั้นมีซากศพโบราณประหลาดกระจายไปทั่ว…
ส่วนขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา มีซากปรักหักพังประหลาดอันเป็นต้นกำเนิดของดอกบัวปีศาจสีดำกับเสียงสวดมนต์…
ทุกอย่างทั้งหมดนี้ ฟังดูแล้วช่างลี้ลับยิ่งนัก
หากว่าเป็นที่เก้ามหาแดนดิน เรื่องเหล่านี้ไม่ถึงกับประหลาดมากนัก เพราะอย่างไรเสียที่นั่นก็คือภูมิภพฝึกตนอันยิ่งใหญ่ มีภัยอันตรายมากมายนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทั่ว
ทว่าบนมหาทวีปคังชิงอันมีรัฐแคว้นแห่งโลกสามัญอยู่มากมายก็มีสถานที่อันตรายน่ากลัวเหมือนกัน เช่นนี้ไม่ปกติเสียแล้ว!