บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 191 ข่าวร้าย
ตอนที่ 191: ข่าวร้าย
ขณะที่ครุ่นคิด พลันซูอี้นึกถึงสัญญาที่ให้ไว้กับจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง เฉินเจิ้ง
ตอนที่อยู่มหานครอวิ๋นเหอครั้งนั้น เฉินเจิ้งเคยกล่าวว่า หนึ่งเดือนให้หลัง ลึกเข้าไปในหุบเขามารบุปผาโลหิตซึ่งเป็นหนึ่งในแปดมหาขุนเขาปีศาจ จะมีปรากฏการณ์ฝูงสัตว์อสูรคลั่งระเบิดขึ้นซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่สิบปีจะเกิดขึ้นหนึ่งหน
ถึงเวลานั้น ลึกเข้าไปในหุบเขามารบุปผาโลหิตจะมีปรากฏการณ์พิสดารตะลึงโลกเกิดขึ้น สายรุ้งทิพย์นับร้อยนับพันจะพุ่งกลางอากาศ ฟ้าแลบฟ้าร้อง ราวกับมีความลี้ลับใหญ่ซุกซ่อน!
“หากกล่าวเช่นนี้ แปดมหาขุนเขาปีศาจในอาณาจักรต้าโจวไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ….”
ซูอี้พูดกับตัวเองเบา ๆ
“วันข้างหน้าหากเมื่อไรที่สหายเต๋าสนใจ ข้าสามารถร่วมเดินทางไปยังแปดมหาขุนเขาปีศาจพร้อมกับเจ้าได้”
ริมฝีปากงามของหนิงซือฮวาเผยอยิ้ม
ซูอี้กล่าว “เรื่องในวันข้างหน้าค่อยว่ากัน”
“ใช่แล้ว ข้ายังมีอีกเรื่องจะบอกสหายเต๋า”
หนิงซือฮวากล่าว “ข้าให้เหวินหลิงเจามาฝึกตนอยู่ข้างกายแล้ว”
ซูอี้นิ่งไป ทันใดรู้สึกเดาไม่ถูกว่าผู้หญิงคนนี้หมายความว่าอย่างไร
พักใหญ่ ๆ เขาจึงกล่าว “นางไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าตั้งนานแล้ว พูดเรื่องเหล่านี้เพื่อเหตุอันใด?”
หนิงซือฮวากล่าวหยั่งเชิง “แม่นางน้อยคนนี้มีจิตใจมุ่งมั่น อีกทั้งคุณสมบัติไม่เลว ข้าอยากจะดูว่า หากข้าเป็นผู้สั่งสอนแนะนำ นางจะสามารถก้าวเดินบนมหาวิถีได้ถึงขั้นใด”
“เจ้าอยากจะดูว่า วันข้างหน้านางมีหวังจะล้ำหน้าข้าได้หรือไม่มากกว่ากระมัง” ซูอี้ส่ายหน้าหัวเราะสบาย
หนิงซือฮวาก็หัวเราะเช่นกัน แล้วกล่าวแผ่วเบา “เรื่องในวันข้างหน้า ไม่มีใครบอกได้ สหายเต๋าไม่รู้สึกว่า เช่นนี้จึงจะสนุกหรอกหรือ?”
ซูอี้ไม่ได้กล่าวอะไรให้มากความอีก
เขาไม่สนใจหัวข้อสนทนาเช่นนี้มากนัก
ขณะที่กำลังพูด เสียงที่แฝงด้วยความร้อนใจของเจิ้งมู่เหยาก็ดังมาจากด้านนอกเรือนพำนักหินศิลา “ท่านอาซูอี้ ข้าสืบได้ความมาแล้ว”
เจิ้งมู่เหยามาถึงด้านในอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นหนิงซือฮวา สาวน้อยสวยแชล่มเย้ายวนคนนี้ราวกับตื่นตระหนกอย่างแรง แสดงความคารวะด้วยอาการเลิ่กลั่ก “ศิษย์เจิ้งมู่เหยา คารวะใต้เท้าเจ้าตำหนัก”
ซูอี้ย่นคิ้วพลางกล่าว “ว่ามา”
หนิงซือฮวากะพริบตาปริบ ๆ แล้วกล่าวคำออก “ข้าต้องออกไปก่อนหรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้า “ไม่ต้อง พูดขึ้นมา เรื่องนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับตำหนักเทียนหยวนของพวกเจ้าด้วยเช่นกัน”
หนิงซือฮวาตะลึงไปเล็กน้อย
เจิ้งมู่เหยาเอ่ยพูดขึ้นมาแล้ว “ท่านอาซูอี้ ก่อนหน้านี้บิดาของข้าได้ส่งคนไปสืบมาแล้ว เรือลำนั้นที่ท่านกล่าวถึง อยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคปลาดำ หลังจากออกจากมหานครอวิ๋นเหอ พลบค่ำวันที่สองตอนที่ผ่าน ‘เทือกเขาพันวน’ เจอมรสุมพายุฝนกระหน่ำรุนแรงอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน เรือทั้งลำจมดิ่งลงไปในคลื่นน้ำวน”
นัยน์ตาของซูอี้หรี่ลงในทันใด กล่าว “พูดต่อไป”
“เมื่อวานนี้ พรรคปลาดำส่งคนไปสืบเสาะดูแล้ว พบแต่เพียงซากปรักหักพังของเรือลำนั้นกับศพอีกสิบกว่าศพ”
เจิ้งมู่เหยากล่าวเร็วปรื๋อ “แต่ ศพเหล่านั้นล้วนเป็นคนปกติทั่วไป ข้าถามถึงฐานะแล้ว ไม่พบผู้อาวุโสจู้กู่ชิง”
“จู้กู่ชิง”
คิ้วเชิดของหนิงซือฮวาย่นเล็กน้อยราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง “เจ้ากำลังสืบข่าวที่มีความเกี่ยวข้องกับจู้กู่ชิงอยู่”
เจิ้งมู่เหยาพยักหน้าติด ๆ กัน กล่าว “ถูกต้อง”
“ข้าเคยได้ยินมาว่าเทือกเขาพันวนแห่งนี้อยู่ติดกับขุนเขาของแม่น้ำต้าฉาง สาเหตุที่เรียกชื่อเช่นนี้ อันที่จริงแล้วเกี่ยวข้องกับแม่น้ำต้าฉาง เส้นทางน้ำในช่วงนั้นมีเก้าคดสิบแปดโค้ง กระแสน้ำหลากเชี่ยว ทุกครั้งเวลาที่ฝนฟ้าแปรปรวน ผิวน้ำจะเกิดกระแสน้ำวนขนาดใหญ่”
“ต่อให้เป็นเรือสำราญลำโตแล่นผ่าน ล้วนต้องพลิกคว่ำได้รับอันตราย”
หนิงซือฮวากล่าวเสียงหนัก “ในสถานการณ์ทั่วไป เวลาที่เจอกับสภาพอากาศที่แปรปรวน เรือที่แล่นไปมาล้วนต้องจอดเทียบอยู่ด้านนอกเขตน้ำแห่งนั้น เพราะว่าเมื่อพลัดเข้าไปในนั้นแทบจะไม่มีทางรอด เก้าตายรอดหนึ่ง”
ฟังจบ ประกายสายตาของซูอี้ลุ่มลึกขึ้นมา แล้วกล่าวคำออก “ปรมาจารย์สามารถเดินบนน้ำได้ สามารถอยู่กลางอากาศได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ด้วยวิถีการฝึกตนของจู้กู่ชิง ต่อให้ต้องพาใครอีกคนหนีออกจากแม่น้ำแถบนั้น คงไม่ใช่ปัญหา ตามความเห็นของข้า ปัญหาควรจะอยู่ตรงที่มาของมรสุมพายุฝนที่เกิดขึ้นโดยกะทันหัน”
เจิ้งมู่เหยารีบเสริม “ท่านอาซูอี้กล่าวไม่ผิด เมื่อสักครู่ตอนที่ออกไปสืบ หัวหน้าพรรคปลาดำบอกว่า มรสุมพายุฝนในวันนั้นเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมาก ทั้งยังมีลมกระโชกกับฟ้าผ่ารุนแรงน่ากลัวยิ่งนัก”
“อีกทั้ง ตามที่ชาวบ้านนายพรานที่พักอาศัยในละแวกนั้นบอกมา ตอนนั้นพวกเขาเข้าใจว่าเทพอัสนีกำลังพิโรธ ต้นไม้และก้อนหินบนภูเขาที่อยู่ใกล้ ๆ ถูกมรสุมพายุในครั้งนั้นทำลายไปไม่รู้เท่าใด”
“พายุฝน ลมมรสุม ฟ้าแลบฟ้าผ่า… มีพิรุธเช่นนี้ จะต้องมีสาเหตุเบื้องหลังเป็นแน่”
ซูอี้ลุกขึ้น กล่าว “หัวหน้าพรรคปลาดำที่เจ้าเอ่ยถึงนั้นอยู่ที่ใด?”
เขารู้สึกเป็นห่วงในความปลอดภัยของเหวินหลิงเสวี่ย
เจิ้งมู่เหยากล่าวด้วยความไม่สบายใจนัก “เอ่อ… ข้ามัวแต่รีบร้อนนำข่าวมาแจ้งให้ท่านอารับรู้ ไม่ได้พาหัวหน้าพรรคมาด้วย แต่ตอนนี้เขาน่าจะยังอยู่ที่บ้านข้า”
“สหายเต๋าคิดจะไปเทือกเขาพันวนในตอนนี้งั้นหรือ?”
หนิงซือฮวามองออกอย่างแม่นยำ ว่าจิตใจของซูอี้ผิดแปลกไป!
เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจมาก หรือว่าคน ๆ นี้จะชอบจู้กู่ชิง?
“ไม่ผิด”
ซูอี้ตอบ ขณะที่กำลังจะให้เจิ้งมู่เหยานำทาง จู่ ๆ ก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก
——
“คุณชายซูอยู่หรือไม่? เจิ้งผู้นี้พาจินเซี่ยวชวนหัวหน้าพรรคปลาดำมาขอรับ”
ผู้ที่มาคือเจิ้งเทียนเหอผู้นำตระกูลเจิ้ง
ข้างกายของเขา ติดตามด้วยชายวัยกลางคนร่างผอมสูงผิวดำคล้ำ นามว่าจินเซี่ยวชวน หัวหน้าพรรคปลาดำ
ในแคว้นกุ่นอันยิ่งใหญ่ หัวหน้าพรรคปลาดำถือได้ว่าเป็นเพียงแค่กองกำลังระดับสามเท่านั้น จินเซี่ยวชวนผู้เป็นหัวหน้าพรรคมีการฝึกตนในขั้นสอง ‘เบิกชีพจร’ ของขอบเขตรวบรวมลมปราณเท่านั้น
เวลานี้เขายืนข้างกายเจิ้งเทียนเหอ บุคคลยิ่งใหญ่สุดยอดผู้มีอำนาจล้นฟ้าคนนี้ แทบจะกล่าวได้ว่าหวาดผวา ตื่นเต้นยิ่งนัก สองเข่าแทบจะอ่อนฮวบ
“ผู้นำตระกูลเจิ้งรู้ว่าข้ากำลังจะหาตัวเขา?” ซูอี้ประหลาดใจ
“ในเมื่อเป็นเรื่องที่คุณชายให้ความสนใจ ย่อมต้องเป็นเรื่องไม่ธรรมดา ข้าเกรงว่าเหยาน้อยจะเล่าความได้ไม่ละเอียด จึงพาจินเซี่ยวชวนมาหาด้วยตนเอง” เจิ้งเทียนเหอยิ้มพลางกล่าว
“ลำบากเจ้าแล้ว” ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
ดูไว้ เช่นนี้สิจึงเรียกว่าทำงานรอบคอบอย่างแท้จริง ความคิดความอ่านฉับไว สาวน้อยบุ่มบ่ามอย่างเจิ้งมู่เหยาเช่นนี้ยังห่างไกลอีกนัก
ซูอี้เบนสายตาไปมองจินเสี้ยวชวน ถามออกมาทันใด “เจ้ารู้เรื่องเทือกเขาพันวนใช่หรือไม่?”
จินเซี่ยวชวนสะดุ้งวาบ ตอบยิ้มแย้มเป็นมิตรในทันใด “กราบเรียนใต้เท้า ผู้น้อยใช้ชีวิตอยู่บนแม่น้ำต้าฉางระหว่างมหานครกุ่นโจวกับมหานครอวิ๋นเหอเป็นเวลานาน ถือได้ว่าพอรู้เรื่องเทือกเขาพันวนอยู่บ้าง”
กระทั่งผู้นำตระกูลเจิ้งยังต้องให้ความนอบน้อมถึงเพียงนี้ ถึงแม้ดูแล้วเป็นเพียงแค่หนุ่มน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ทว่าจินเซี่ยวชวนไหนเลยจะกล้าเพิกเฉย?
ซูอี้ถามอีก “ไปเทือกเขาพันวนเร็วที่สุดต้องใช้เวลากี่วัน?”
จินเซี่ยวชวนรีบตอบ “หากว่าขี่ม้าออกเดินทางในเวลานี้ ไม่พักแวะระหว่างทาง วันพรุ่งนี้ก่อนฟ้าสว่างน่าจะถึง แต่ ระหว่างทางมีทางเขาคดเคี้ยวมากมาย หากว่าใต้เท้าต้องการจะไป สบายที่สุดยังคงเป็นทางเรือ ถึงแม้จะช้าสักหน่อย แต่…”
ไม่รอให้พูดจบ ซูอี้ก็ตัดบท “ประเดี๋ยวเจ้านำทาง”
“ข้าไปกับเจ้าด้วย” หนิงซือฮวาเอ่ยออกมาในฉับพลัน
เจิ้งเทียนเหอถือโอกาสนี้ถามขึ้นมา “บังอาจถามคุณชายซู ท่านนี้คือ?”
นับตั้งแต่เข้ามาในเรือนพำนักหินศิลาแล้ว เขาก็สังเกตพบว่าพลังของสาวน้อยใบหน้าอ่อนวัยคนนี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ดวงตาใสประดุจน้ำคู่นั้นของนางกวาดมองมา ทำให้บุคคลระดับปรมาจารย์อย่างเจิ้งเทียนเหอถึงกับใจสยดเนื้อสยอง ไอหนาวผุดขึ้นจากสันหลัง
เจิ้งมู่เหยารีบร้อง “บิดา ท่านนี้คือเจ้าตำหนักเทียนหยวนของข้า”
ซี้ด!
เจิ้งเทียนเหอสูดปากรับลมเย็น ในใจประหวั่นพรั่นพรึง รีบกุมมือคารวะ “โปรดอภัยที่ก่อนหน้านี้เจิ้งผู้นี้ตาไร้แวว หวังว่าท่านเจ้าตำหนักหนิงจะให้อภัย!”
หนิงซือฮวา! จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อ?
แต่กระอักกระอ่วนก็ตรงที่ น้อยนักที่หนิงซือฮวาจะปรากฏตัว นางทำตัวลึกลับมาก จนกระทั่งหลายปีมานี้ กระทั่งเขาผู้เป็นผู้นำตระกูลเจิ้งก็ยังไม่เคยพบหน้าค่าตามาก่อน
“เจ้าตำหนักเทียนหยวน…”
จินเซี่ยวชวนกลืนน้ำลายฝืดคอ ตื่นตระหนกจนหนังศีรษะชา ตาถลนอ้าปากค้าง
สำหรับคนระดับเขา เจิ้งเทียนเหอก็ถือเป็นหัวแม่มือสูงเด่นที่ไม่อาจปีนป่ายถึงแล้ว ทว่าตัวตนของหนิงซือฮวาแทบจะกล่าวได้ว่าเปรียบเสมือนเทพเซียนบนสวรรค์ทำได้แค่ชะเง้อตามอง
แต่มาคิดดูอีกที กระทั่งเจิ้งเทียนเหอกับหนิงซือฮวาก็ยังต้องนอบน้อมอยู่ข้างกายหนุ่มน้อยชุดเข้มคนนี้ จินเซี่ยวชวนตะลึงจนแทบจะเป็นลมอยู่ตรงนั้น
ท่านนี้เป็นเทพเซียนจากที่ใดกัน!?
“คุณชาย ข้าก็อยากไปกับท่านด้วย”
เวลานี้ ฉาจิ่นรวบรวมความกล้าอย่างเต็มที่กล่าวออกมา
เจิ้งมู่เหยาเห็นเช่นนี้ ลูกนัยน์ตาใสกลอกกลิ้ง พลางกล่าวคำออก “ท่านอาซูอี้ ข้าก็ไปด้วย!”
เจิ้งเทียนเหอไหนเลยจะมองเหตุการณ์ไม่ออก เรื่องในครั้งนี้ไม่ว่าจะต่อซูอี้ หรือต่อหนิงซือฮวา ล้วนมีความสำคัญถึงเพียงนี้?
หากสามารถติดตามไปด้วยได้ บางทีไม่เพียงแต่สามารถใกล้ชิดซูอี้ได้มากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังสามารถผูกไมตรีกับหนิงซือฮวาได้อีกด้วย!
เขากระแอมแห้ง ๆ ขึ้นมาทีหนึ่ง กำลังเตรียมตัวจะพูดว่าคืนนี้ตัวเองไม่มีธุระที่ไหนอยู่พอดี เต็มใจจะไปช่วยอีกแรงหนึ่ง
ใครจะคาดคิดว่าซูอี้ยังไม่ทันเอ่ยความ หนิงซือฮวาก็ส่ายหน้ากล่าวปฏิเสธก่อนแล้ว “การเดินทางในครั้งนี้ มากสุดไปได้แค่สามคนเท่านั้น”
พูดจบ นางก็เงยหน้าขึ้นในทันใด เสียงหวีดใสกังวานสะท้อนไปไกลดังออกมาจากปากของนาง
อย่างรวดเร็ว เสียงร้องใสกังวานดังขึ้นจากชั้นเมฆบนท้องฟ้ายามราตรี
ร่างของสัตว์ปีกขนาดใหญ่ตัวหนึ่งร่อนลงมาจากฟากฟ้า ฉับพลันมาหยุดกลางเรือนพำนัก
นี่ก็คืออินทรียักษ์ขนสีเขียวอำพันทั้งตัว งดงามยิ่งนัก ยืนอยู่ตรงนั้น สูงหนึ่งวาเศษ ๆ ดวงตาแหลมคมน่ากลัว
ฉาจิ่น เจิ้งมู่เหยา กับจินเซี่ยวชวนถึงกับสูดปาก พลังบนร่างของนกแววตาดุตัวนี้ไม่ด้อยไปกว่าปรมาจารย์คนหนึ่งเลยทีเดียว!
สัตว์อสูรระดับเก้า อินทรีเกล็ดเขียว!
เจิ้งเทียนเหอหรี่ตา คำพูดที่ใกล้จะหลุดจากปากอยู่แล้วถูกเก็บกลับไป รู้สึกผิดหวังลึก ๆ ในใจ เข้าใจความหมายของหนิงซือฮวาแล้ว
หนิงซือฮวากล่าวแผ่วเบา “สหายเต๋า หากให้ชิงเอ๋อร์พาไป ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ถึงเทือกเขาพันวน แต่นั่งได้มากสุดแค่สามคนเท่านั้น”
ชิงเอ๋อร์คือชื่อที่นางตั้งให้อินทรีเกล็ดเขียว
ซูอี้กล่าวโดยไม่ต้องคิดอีก “ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้า แล้วยังมีจินเซี่ยวชวนไปด้วยกัน”
ฉาจิ่นผิดหวังในทันใด
เจิ้งมู่เหยาเบะปาก จ้องดูอินทรีเกล็ดเขียวตัวนั้นด้วยความอิจฉา แอบคิดในใจ ไม่รู้ว่านั่งอินทรีใหญ่ตัวนี้ท่องเที่ยวไปบนฟากฟ้าจะมีรสชาติเป็นอย่างไร
“ถ้าเช่นนั้นเจิ้งผู้นี้เฝ้ารออยู่ตรงนี้ จะช่วยคุณชายดูแลเรือนพำนักให้เรียบร้อย นอกจากนี้ ขออวยพรให้คุณชายกับเจ้าตำหนักหนิงประสบความสำเร็จ!”
เจิ้งเทียนเหอประสานมือคารวะพลางกล่าว
ซูอี้พยักหน้า หันไปกล่าวกับฉาจิ่น “หากว่าในช่วงเวลาอันสั้น ข้าไม่อาจกลับมาได้ เจ้าจงดูแลตัวเองให้ดี”
ฉาจิ่นนิ่งตะลึง ประดุจมีหินใหญ่ร่วงหล่นบ่อน้ำกลางดวงใจ เกิดเป็นกระแสอบอุ่นราวกับคลื่นถาโถม ไม่ให้ได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย
นางไม่นึกฝันมาก่อนเลยว่า เวลาเช่นนี้ ซูอี้ยังมอบความเป็นห่วงเป็นใยให้กับตนเอง
หากว่านางจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่ซูอี้กำชับให้นางดูแลตัวเองให้ดี…
“คุณชายโปรดวางใจ”
บนใบหน้างามหยดย้อยใสสว่างของฉาจิ่นเผยรอยยิ้มชื่นบานน่าหลงใหล
อย่างรวดเร็ว เสียงร้องดังกังวานดังขึ้นท่ามกลางแสงราตรี
ภายใต้สายตาของทุก ๆ คน อินทรีเกล็ดเขียวกางปีกสีเขียวกินบริเวณกว้างถึงสามวาออก และพาซูอี้ หนิงซือฮวา กับจินเซี่ยวชวนบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
และหายลับไปไกลในชั้นเมฆภายใต้ท้องนภาอันมืดมิด