บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 192 เขตผี
ตอนที่ 192: เขตผี
ภายใต้ท้องนภาอันมืดมิด
ปีกของอินทรีเกล็ดเขียวกรีดคลื่นเมฆบนท้องฟ้าเป็นชั้น ๆ ราวกับมีดดาบแหลม
จินเซี่ยวชวนเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์สามัญธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไหนเลยจะเคยได้สัมผัสลิ้มลองการโบยบินกลางอากาศเช่นนี้?
ตอนแรกเขาตกใจกลัวจนหมอบติดปีกสีเขียวซึ่งมีความแข็งแกร่งประดุจเหล็ก พร้อมกับเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
ทว่าอย่างช้า ๆ เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าอันเป็นปกติของซูอี้กับหนิงซือฮวาแล้ว จินเซี่ยวชวนจึงทำใจกล้าค่อย ๆ ชะเง้อตามองลงไปข้างล่างทีละน้อย
เนื่องจากเวลานี้เป็นช่วงกลางคืน อีกทั้งยังอยู่ห่างจากพื้นดินไกลมากแล้ว จึงมองเห็นแต่เพียงเค้าโครงของภูเขาและผืนน้ำอันเลือนรางหายลับไปจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถมองวัตถุบนพื้นได้ชัดเจน
จนกระทั่งผ่านถึงน่านฟ้าของมหานครแห่งหนึ่ง จินเซี่ยวชวนเบิกตาโตในทันใด
มองเห็นแสงไฟดวงเล็กคลุมเครือบนพื้น มหานครอันยิ่งใหญ่คล้ายกับกล่อง ส่วนอาคารสิ่งก่อสร้างที่สร้างเป็นแนวภายในเมืองคล้ายกับเมล็ดถั่วลิสง
“สวรรค์ มหานครบนโลกเล็กกระจิริดถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
จินเซี่ยวชวนรำพึง
สายตาทอดมองลงมาแบบ ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความกระจ้อยร่อยของมนุษย์โลกเป็นครั้งแรก
“แม่น้ำต้าฉางช่วงบริเวณเทือกเขาพันวน มีความพิเศษอันใด?”
ฉับพลัน ซูอี้ส่งเสียงถาม
จินเซี่ยวชวนสะดุ้งขึ้นมาในใจ เก็บความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายกลับ จากนั้นจึงตอบด้วยความนอบน้อม
“กราบเรียนใต้เท้า ช่วงน้ำเก้าคดสิบแปดโค้งมีกระแสน้ำเชี่ยวกราก หินโสโครกใต้น้ำมีมาก หากพูดถึงความพิเศษ คงพิเศษตรงที่ทุก ๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง สายน้ำช่วงนั้นจะเกิดปรากฏการณ์พิสดารเหนือปกติ”
“บางครั้งยังมีมรสุมลมพร้อมกับฟ้าแลบฟ้าคำราม จนทำให้ทุกคนต่างก็สงสัยว่าใต้น้ำนั้นมีมังกรยักษ์ร้ายกาจจำศีลอยู่”
“ช่วงเวลาหลายปีมานี้ ไม่รู้ว่ามีเรือจำนวนมากมายเท่าใดที่ต้องแตกในบริเวณเทือกเขาพันวนแห่งนี้ หากว่าคนขับเรือเป็นคนเก่าแก่ ปกติจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก”
ฟังถึงตรงนี้ ซูอี้ก็พูดตัดบท “นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ยังมีเรื่องประหลาดผิดปกติอื่น ๆ อีกหรือไม่?”
จินเซี่ยวชวนขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน ฉับพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วกล่าวคำออก “กราบเรียนใต้เท้า เคยมีเรื่องเล่าที่เล่ากันว่า ลึกเข้าไปในแม่น้ำต้าฉางซึ่งเป็นอีกด้านของเทือกเขาพันวน มีเมืองบาดาลซ่อนอยู่ พวกยักษา อสุรกายจำนวนมากได้ซ่อนตัวอยู่ในนั้น”
“ยังมีคนกล่าวจนถึงขั้นที่ว่ามองเห็นวิญญาณผีร้ายในน้ำบริเวณนั้น แต่ละตนล้วนสยดสยองน่ากลัวทั้งสิ้น”
“ด้วยเหตุนี้ ในช่วงระยะหลายปีมานี้ เรือที่ล่องอยู่บนเส้นทางน้ำแถบนั้นจึงต้องตระเตรียมเครื่องบูชา จุดธูปเซ่นบวงสรวง ขอให้คลาดแคล้วจากผีร้ายในน้ำ”
ฟังจนจบ ซูอี้ตกอยู่ในภวังค์
หนิงซือฮวาราวกับเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้วเช่นกัน ก่อนจะกล่าวคำออก “เมื่อเป็นเช่นนี้ เทือกเขาพันวนนั้นก็มีบางอย่างที่แปลกประหลาดผิดปกติจริง ๆ”
ซูอี้กล่าว “เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว บางทีอาจจะพบเบาะแสบางอย่างก็เป็นได้”
อินทรีเกล็ดเขียวรวดเร็วมาก ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มองเห็นเทือกเขาพันวนซึ่งปกคลุมด้วยความมืดมิดยามวิกาลแต่ไกล ๆ
“ใต้เท้า นั่นคือเทือกเขาพันวน ทอดตัวเป็นแนวยาวหลายสิบลี้” จินเซี่ยวชวนรีบร้องบอก
ซูอี้ลุกขึ้นยืนมือไพล่หลัง มองลงไปข้างล่าง
การมองลงจากที่สูงภายใต้แสงราตรี ทำให้มองเห็นภูเขาและแผ่นน้ำดูคลุมเครือไม่ชัดเจน
หากไม่ใช้สิ่งอื่นใด อาศัยเพียงแค่สายตา ซูอี้แยกแยะออกแต่เพียงเค้าโครงภูเขาและผืนน้ำกับขอบแนวเท่านั้น
ทว่า เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“ให้สัตว์ร้ายนี้บินวนรอบเส้นทางน้ำใกล้ ๆ เทือกเขาพันวนแห่งนี้หน่อย” ซูอี้เอ่ยขึ้น
อินทรีเกล็ดเขียวได้ยินคำว่า ‘สัตว์ร้าย’ สองคำนี้แล้วส่งเสียงร้องออกมาด้วยความไม่พอใจ หันหน้ากลับไปเขม่นมองซูอี้
หนิงซือฮวาตบหัวมันเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู พลางกล่าวยิ้มแย้มเบา ๆ “ชิงเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท หากทำให้สหายเต๋าท่านนี้โกรธ แม้แต่ข้าก็ไม่อาจปกป้องเจ้าได้”
นัยน์ตาสีทองอร่ามของอินทรีเกล็ดเขียวหรี่ลงเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงบินวนกลางอากาศแต่โดยดี
แสงดาวมัวหมอง ในยามมืดมิด
หมอกหนาปกคลุมทั่วภูเขาและผืนน้ำ
ในสายตาของซูอี้ แม่น้ำในช่วงนั้นมีความกว้างถึงร้อยวา เลาะเลี้ยวประดุจไส้เดือนคืบคลานคดเคี้ยวไปมา กระแสน้ำเริ่มไหลเชี่ยวจากบริเวณนี้ด้วยเช่นกัน กระทั่งอยู่ห่างไกลกันมากก็ยังได้ยินเสียงคลื่นซัดเป็นพัก ๆ
สักพักใหญ่ ๆ ซูอี้เก็บสายตากลับมา แล้วกล่าวว่า “ที่ตรงนี้มีปัญหาจริง ๆ เสียด้วย”
“ช่วงน้ำบริเวณนี้มีรูปร่างคล้ายงู เชื่อมต่อภูเขา กระแสน้ำไหลเชี่ยว เปรียบกับแนวเขาอันสงบนิ่ง ก่อตัวเป็นความเคลื่อนไหวในความสงบ ธาตุหยางในธาตุหยิน คล้ายกับค่ายกลธรรมชาติ…”
หนิงซือฮวามองพิรุธบางอย่างออกถึงกับตะลึงไปเช่นกัน
“ที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่มงคลเลย พลังความชั่วร้ายรุนแรงเหลือเกิน ไปกัน พวกเราลงไปดูกัน”
ซูอี้พูดจบ อินทรีเกล็ดเขียวเริ่มร่อนลงสู่พื้นอย่างเชื่อฟัง
ด้วยความรวดเร็ว ทั้งสามก็มาอยู่บนชายหาดของแม่น้ำต้าฉาง ด้านข้างคือเทือกเขาพันวน
ครืน~~
กระแสน้ำเชี่ยวกราก คลื่นซัดกระเด็น เสียงน้ำราวกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่ว ภายใต้ราตรีอันมืดมิดหมอกหนาแผ่คลุมแม่น้ำต้าฉาง
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าไปหาที่เพื่อรอก่อน” หนิงซือฮวาสั่งกำชับ
อินทรีเกล็ดเขียวบินแหวกอากาศขึ้นไปในทันใด
“สหายเต๋ามองอะไรออกบ้างหรือไม่?” หนิงซือฮวาถาม
“มีคนใช้ประโยชน์จากภูเขาและแผ่นน้ำผืนนี้เพื่อตั้งกลไกกับดักต้องห้าม ฝีมือไม่ธรรมดาเลย ยังรู้ด้วยว่าต้องตั้งฐานกลไกที่ก้นบึ้งของแม่น้ำ ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถใช้ประโยชน์จากพลังการรวมตัวระหว่างแนวเขากับแนวน้ำ ประคองให้กลไกขับเคลื่อนไปได้ตลอด”
ซูอี้เอ่ยออกมา
คิ้วงอนของหนิงซือฮวาเลิกขึ้นเล็กน้อย และกล่าวคำออก “หรือว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดคนใดสร้างพิมานใต้แม่น้ำนี้?”
“ตอบยาก หากช่ำชองเคล็ดวิธีการตั้งกลไก ต้องเป็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณ และยังสามารถใช้ประโยชน์จากสภาพภูเขาและผืนน้ำแห่งนี้สร้างกลไกใหญ่เช่นนี้ได้อีก”
ซูอี้กล่าวเสียงหนัก “แต่สามารถมั่นใจได้ว่าระยะเวลาหลายปีมานี้ เรื่องผิดปกติมากมายที่เกิดขึ้นในบริเวณนี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับกลไกใหญ่แห่งนี้”
“พวกเราไปดูที่อื่น ๆ กัน”
พูดจบ เขาก็ย่างเท้าเดินไปตามชายหาด
หนิงซือฮวากับจินเซี่ยวชวนติดตามอยู่ข้างหลัง
ราตรีมืดมิดอึมครึม คลื่นน้ำโหมกระหน่ำ จนกระทั่งเดินไปข้างหน้าเป็นเวลาหนึ่งเค่อ ซูอี้หยุดนิ่งในทันใด เบนสายตามองไปยังผิวน้ำที่ไม่ไกลนัก
ตรงนั้นมีหินโสโครกที่กินบริเวณกว้างหลายวาตั้งอยู่ แต่โผล่ขึ้นเหนือน้ำเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น
จับจ้องดูหินโสโครกก้อนนั้นสักพัก ซูอี้ก็กล่าวว่า “น่าสนใจนัก ด้านล่างกระแสน้ำนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการซุกซ่อนสิ่งสกปรกโสมมจริง ๆ เสียด้วย เหมาะสำหรับภูตผีวิญญาณชั่วที่ฝึกตนผิวเผินเป็นอย่างมาก หากว่าข้าดูไม่ผิด ด้านล่างของวิถีน้ำเก้าคดสิบแปดโค้งนี้จะต้องมี ‘เขตผี’ ขนาดใหญ่ตั้งอยู่”
‘เขตผี’ ดังกล่าวก็คือสถานที่พักอาศัยของหมู่ภูตผี อาจจะเป็นหมู่บ้าน อาจจะเป็นเมืองนคร ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในพื้นที่มืดมิดห่างไกล คนในโลกไม่อาจเสาะหาพบ
“เขตผี? เช่นนี้ก็แสดงว่าผู้ที่ใช้ประโยชน์จากภูเขาและผืนน้ำแห่งนี้และสร้างกลไกใหญ่ขึ้นอาจจะเป็นภูตผีที่ร้ายกาจมาก?”
หนิงซือฮวาแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมา ขณะเดียวกันในใจก็ยังแอบตื่นตระหนกไม่หาย
ตลอดทางมานี้นางก็ได้ตรวจดูอยู่นานมากเช่นกัน ทว่าพอจะมองพิรุธออกเพียงเลือนรางเท่านั้น ไม่เหมือนกับซูอี้ที่สามารถกระจ่างแจ้งถึงความลับของพื้นที่ตรงนี้
“เขตผี…”
จินเซี่ยวชวนสั่นสะท้านไปทั้งตัว กลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “เช่นนี้ก็แสดงว่า ใต้น้ำนี้มีอสุรกายกับผีร้ายอยู่จริง ๆ หรือ?”
“กลัวอะไร ก็เพียงแค่ภูตผี ไม่เห็นมีอะไรให้กลัวเลย”
หนิงซือฮวาส่ายหน้า
เวลานี้ ปลายนิ้วของซูอี้เคาะน้ำเต้าปลุกวิญญาณที่คล้องเอว “ชิงหว่าน”
ท่ามกลางควันขาวรายล้อม ชิงหว่านหญิงสาวสวยน่ารักในชุดกระโปรงยาวสีโลหิตปรากฏตัวขึ้น
ผิวพรรณของสาวน้อยขาวเนียนอิ่มเอิบ ดวงตาทั้งกลมโตและสดใส โค้งตัวน้อย ๆ กลางอากาศ ก้มหน้ากล่าวหวั่น ๆ “หว่านเอ๋อร์คารวะนายท่าน”
หนิงซือฮวากับจินเซี่ยวชวนต่างก็ตะลึง
“เจ้ามาสัมผัสดูสักหน่อย พลังหยินรุนแรงที่สุดในบริเวณนี้คือที่ใด” ซูอี้เอ่ยขึ้นมา
ชิงหว่านพยักหน้าติดต่อกัน
นางสูดหายใจลึก ๆ เงาร่างเพรียวยาวชดช้อย กระโปรงแดงพลิ้วสะบัด พลังลี้ลับซับซ้อนผุดกระเพื่อมเป็นครั้ง ๆ ลึกเข้าไปในดวงตาใสสะอาดเรียวงามคู่นั้นปรากฏประกายแสงสีม่วงประหลาดออกมา
“การฝึกตนของเด็กคนนี้ก้าวหน้าเร็วมาก แปลงร่างวิญญาณเป็นตัวตนได้จนถึงขั้นนี้แล้ว…”
แววตาของซูอี้ผิดแปลกไปเล็กน้อย
ในช่วงระยะนี้ เขาชี้แนะวิธีการฝึกตนให้ชิงหว่านเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น
คาดไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยคนนี้เริ่มมีแววใกล้จะกลายเป็น ‘ผีวิญญาณ’ เสียแล้ว
เพียงแค่กลายเป็นผีวิญญาณ ร่างวิญญาณก็จะไม่หวาดกลัวแสงแดดแผดเผาอีกต่อไป เวลาที่ออกมาเดินบนโลกก็จะไม่ต่างอะไรไปจากคนธรรมดา
ถึงขั้นนี้แล้วก็จะมีรากฐานย่างก้าวสู่วิถีผู้ฝึกผีอย่างแท้จริง!
อีกทั้ง ผู้ฝึกผีแตกต่างไปจากผู้บ่มเพาะทั่วไป ต้นกำเนิดของร่างผู้ฝึกผีเดิมคือพลังวิญญาณ ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนเลือดลมกายาเหมือนดังผู้ฝึกยุทธ์
ด้วยเหตุนี้เมื่อชิงหว่านกลายเป็นผีวิญญาณแล้ว สามารถย่างก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งวิถีต้นกำเนิดได้โดยตรง
“ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ร่างวิญญาณของชิงหว่านเดิมทีสะอาดบริสุทธิ์หาได้ยาก ในสายตาผู้ฝึกผีสามารถกล่าวได้ว่าเป็นเนื้อนาทองที่หายากในหมื่นปี”
“ส่วน ‘เคล็ดวิชามหาวิญญาณทศทิศ’ ที่ข้าถ่ายทอดให้นางเป็นวิชาชั้นสูงที่จักรพรรดิผีซีหมิงมหาแดนดินริเริ่มขึ้น ได้รับการขนานนามจากผู้ฝึกผีในใต้หล้าว่าเป็นคัมภีร์ลับอันดับหนึ่ง”
“ประกอบกับในช่วงเวลานี้ มีเม็ดยาที่ข้าป้อนเป็นอาหาร การฝึกตนของนางไม่ก้าวหน้าก็คงยาก…” ซูอี้กล่าวกับตัวเอง ทว่าในใจรู้สึกประหลาด
หากว่าชิงหว่านกลายเป็นผีวิญญาณก็เท่ากับว่าสามารถย่างก้าวสู่วิถีต้นกำเนิดได้โดยตรง กลายเป็นผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิด ในโลกสามัญอย่างอาณาจักรต้าโจวเช่นนี้ ไม่ต่างไปจากเทพเซียนเดินดิน!
“ไม่ได้ จะให้นางฝึกตนเร็วถึงเพียงนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นผลดี หากว่าไม่ฝึกฝนพื้นฐานให้ดี วันข้างหน้าจะต้องมีผลกระทบต่อความเลอเลิศอันได้มาจากคู่บำเพ็ญ…”
ซูอี้ตัดสินใจ จะต้องหาโอกาสชี้แนะชิงหว่านด้วยตนเอง บอกนางว่าควรจะสั่งสมธาตุวิถีเช่นใด ร่ำเรียนให้มากก้าวอย่างมั่นคง สร้างพื้นฐานให้มั่น จะได้ไม่กระทบต่อคู่บำเพ็ญในวันข้างหน้า
“นายท่าน ข้าสัมผัสได้แล้ว อยู่ตรงนั้น”
ฉับพลันชิงหว่านเก็บพลังกลับ ชี้นิ้วไกลออกไป
“เจ้านำทาง” ซูอี้ออกคำสั่ง
ทันใด ชิงหว่านนำหน้า พวกของซูอี้ติดตามอยู่ข้างหลัง
“สหายเต๋า แม่นางชิงหว่านท่านนี้เก่งกาจมาก ร่างวิญญาญสะอาดบริสุทธิ์ พลังลี้ลับยอดเยี่ยม เป็นเพียงคนเดียวในชั่วชีวิตของข้าที่ได้พบเห็น”
ระหว่างทาง ดวงตาใสแจ๋วของหนิงซือฮวาแฝงด้วยประกายแห่งความตื่นตระหนก
“หากไม่ใช่เช่นนั้น ข้าจะปล่อยให้นางอยู่ข้างกายได้เช่นใด” ซูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หนิงซือฮวา “…”
คำกล่าวนี้ไม่มีความถ่อมตนสักนิด
“แม่นางคนนี้ติดตามข้างกายสหายเต๋าได้ ถือได้ว่าเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่จริง ๆ ด้วยวิธีการของสหายเต๋า หากตั้งใจอบรมสั่งสอนให้ดี ความสำเร็จในวันข้างหน้าจักต้องส่องสว่างไร้ขอบเขตเป็นแน่”
หนิงซือฮวาหัวเราะเบา ๆ
“เรื่องนี้เป็นธรรมดาอย่างแน่นอน”
ซูอี้กล่าวด้วยความมั่นใจ “คนที่ข้าคัดเลือกให้คู่บำเพ็ญ วันข้างหน้าย่างก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิก็เป็นเรื่องง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ”
“คู่…คู่บำเพ็ญ!?”
หนิงซือฮวาควบคุมความรู้สึกไม่อยู่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตื่นตระหนกเพราะคำกล่าวอนาจารของซูอี้
สาเหตุที่คน ๆ นี้เก็บสาวน้อยผู้งดงามเช่นนี้ไว้ข้างกาย ที่แท้ก็เพื่อการบำเพ็ญคู่!?
หนิงซือฮวาจำต้องนิ่งเงียบ
เดิมที นางควรจะด่าทอฝ่ายตรงข้ามว่าไร้ยางอาย
ทว่าด้วยท่าทีสงบราบเรียบของซูอี้ รวมถึงเวลาที่กล่าวคำเหล่านี้ออกมาสามารถกล่าวได้อย่างไม่สะทกสะท้านเป็นเหตุเป็นผล เปิดเผยไม่ปิดบัง ทำให้นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาจึงจะดี…