บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 193 งานชุมนุมเบิกสวรรค์
ตอนที่ 193: งานชุมนุมเบิกสวรรค์
หนิงซือฮวาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ชิงหว่านซึ่งกำลังนำทางอยู่ข้างหน้า ความรู้สึกแปลก ๆ บังเกิดขึ้นในใจของนาง
จะว่าไปแล้วซูอี้หาใช่คนโลภมากในความงาม ไม่เช่นนั้นแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่ซูอี้จะปล่อยสาวงามอย่างเหวินหลิงเจาไปอย่างไม่แยแสขนาดนั้น
แต่ทว่าหลังจากได้ยินเรื่องราวปัญหาเกี่ยวกับจู้กู่ชิง เขากลับเร่งร้อนออกมาตามหาทันทีในคืนนี้ และยิ่งไปกว่านั้น เขายังเลี้ยงผีสาวซึ่งงามเลิศล้ำเพื่อเอาไว้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรในอนาคต…
“บุรุษผู้นี้เข้าใจยากจริง ๆ”
หนิงซือฮวาส่ายหัวอย่างลับ ๆ
จะว่าไปแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะผู้บ่มเพาะ นางรู้อยู่แก่ใจว่าเหล่าตัวตนไร้เทียมทานที่นางเคยพบเจอมา ก็ยังมีบางคนที่ชื่นชอบการบ่มเพาะแบบคู่บำเพ็ญเพียร
หาใช่เรื่องน่าประหลาดใจใด ๆ ไม่
ในทางตรงกันข้าม คำว่า ‘ขอบเขตจักรพรรดิ’ ของซูอี้กระตุ้นความสนใจของหนิงซือฮวา
“ท่านคาดเดาว่าสักวันหนึ่งแม่นางชิงหว่านจะสำเร็จขอบเขตจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ?”
หนิงซือฮวาถามอย่างแผ่วเบา
ซูอี้เอ่ยถามกลับอย่างเฉยเมย “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
หนิงซือฮวาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “หากผู้ใดต้องการเป็นจักรพรรดิ คนผู้นั้นต้องมีความพากเพียร สติปัญญาดี และมีโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ ทั้งสามนี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เหนือวิถียุทธ์ วิถีต้นกำเนิด วิถีวิญญาณ คือวิถีลึกล้ำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดแห่งมรรคาสวรรค์ ตั้งแต่สมัยโบราณมีผู้คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ก้าวไปถึง”
ซูอี้เหลือบมองนางและเอ่ยออก “ดูเหมือนเจ้าจะมีความรู้ไม่น้อย”
หนิงซือฮวาส่ายหัวและกล่าวว่า “ความรู้เหล่านี้ส่วนใหญ่ข้ารับรู้มาจากการได้ยินผู้อื่นเล่าขาน สำหรับข้าตอนนี้ ระดับดังกล่าวอยู่ไกลเกินไป”
จากนั้นนางถามกลับ “แล้วท่านล่ะสหายเต๋า?”
ซูอี้ยิ้มและพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องทดสอบ ข้าเป็นแค่คนหนุ่มผู้ที่อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสองเพียงเท่านั้น…”
หนิงซือฮวาผิดหวังเล็กน้อย ปากของชายผู้นี้ปิดสนิทซะเหลือเกิน!
“ตราบใดที่อยู่ใกล้ชิดต่อไป ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะไม่เห็นความลับบางอย่างของเขา!”
หนิงซือฮวาลอบเอ่ยกับตนเองอย่างลับ ๆ
ระหว่างทาง จินเซี่ยวชวนยังคงเงียบ ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ซูอี้และหนิงซือฮวาสนทนาได้อย่างสมบูรณ์ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปเขาก็ยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้น
คนหนึ่งเป็นเจ้าตำหนักในตำนานแห่งตำหนักเทียนหยวน ส่วนอีกหนึ่งคือชายหนุ่มลึกลับที่ทำให้ผู้นำตระกูลเจิ้งนอบน้อม
สำหรับจินเซี่ยวชวน ทั้งคู่เปรียบดั่งเทพสวรรค์สององค์ และเขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
ไม่ไกลออกไป ชิงหว่านก็พูดขึ้นว่า “นายท่าน ไม่ไกลข้างหน้าคือสถานที่ที่มีปราณหยินหนาแน่นที่สุดในบริเวณโดยรอบ”
ซูอี้เงยหน้าขึ้นมอง และเห็นพื้นผิวแม่น้ำปั่นป่วนภายใต้ความมืดมิดห่างออกไปหลายสิบจั้ง หมอกหนาระเหยกลายเป็นวังวน
เพียงแค่มองดู ซูอี้ก็ตัดสินได้ว่านี่คือ ‘เส้นทาง’ ที่นำไปสู่ก้นแม่น้ำต้าฉาง!
นอกจากนี้ยังเป็น ‘ประตู’ ซึ่งถูกสร้างโดยค่ายกล
“จากที่นี่ เราสามารถเข้าสู่อาณาจักรผีใต้น้ำได้”
หนิงซือฮวามองออก ดวงตาของนางพลันเปล่งประกาย
“มีคนกำลังมา ซ่อนตัวกันก่อน”
เมื่อซูอี้พูด เขาได้พาทุกคนไปหลบหลังหินยักษ์ข้างริมน้ำ
“ดูเหมือน… ไม่ใช่คน”
ดวงตาของหนิงซือฮวาเกิดประกายแสงสีทองจาง ๆ นางมองไปในระยะไกล
แลเห็นว่าท่ามกลางราตรีที่มืดมิด มีแสงเล็กน้อยปรากฏขึ้นบริเวณภูเขาที่อยู่ไกลออกไป และกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
เป็นกลุ่มร่างที่แปลก
แถวหน้าของกลุ่มเป็นผีน้อยสี่ตนที่มีร่างเงาพร่ามัว ทั้งร่างของมันปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ แต่ละตนมีโคมกระดาษสีขาวอยู่ในมือส่องแสงเป็นสีเขียวสลัว เห็นได้ชัดว่าพวกมันรับหน้าที่เป็นผู้นำทาง
ที่ด้านหลังมีผีตัวสูงกำลังอุ้มเก้าอี้เดินตาม ผีตนนี้มันมีแปดหน้าทุกหน้าล้วนเป็นสีเขียวและมีเขี้ยวแหลมเผยออกจากปาก
บนเก้าอี้ที่ผีตัวสูงกำลังแบกอยู่ มีชายอ้วนหัวล้านดวงตาสีฟ้าผู้หนึ่งนั่งอยู่ในท่าทางสบาย สายประคำสีดำที่คอของเขาสะดุดตายิ่งนัก
ยามกลุ่มผีประหลาดนี้เข้าใกล้ ปราณหยินที่อยู่รอบ ๆ ก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นตามลำดับ นำมาซึ่งความหนาวเย็นที่เพิ่มพูน
จินเซี่ยวชวนตกใจมากจนร่างกายของเขาเย็นเฉียบและดวงตาของเขาเบิกกว้าง
นี่มันสิ่งใดกัน เป็นผู้ยิ่งใหญ่เดินทางมางั้นหรือ!?
ไม่นานกลุ่มนี้ก็เดินไปที่ผิวน้ำ และเมื่อพวกเขาเข้าใกล้กระแสน้ำวนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอก ร่างของทั้งกลุ่มก็ค่อย ๆ เลือนหายไปทีละน้อย
“นี่…”
จินเซี่ยวชวนขยี้ตาคิดว่าเขากำลังหลอน
“ผีตนนั้นพัฒนามาจากวิญญาณอาฆาต อย่างมากที่สุดอาจเทียบได้กับปรมาจารย์วิถียุทธ์”
ดวงตาของหนิงซือฮวาแสดงให้เห็นร่องรอยของการดูถูก
นางกำลังพูดถึงผีเฒ่าหัวโล้นตาสีฟ้าซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนผีตัวเล็ก ๆ พวกนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของนางแม้แต่น้อย
“สายตาของสหายเต๋าช่างเฉียบแหลม เป็นไปได้มากที่จะมีอาณาจักรผีซ่อนอยู่ใต้น้ำ”
หนิงซือฮวาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองที่ซูอี้
ขณะที่นางกำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเสียงกรอบแกรบมาจากภูเขาที่อยู่ไกลออกไป
ทันใดนั้น ชายชราถือไม้เท้ารูปลักษณ์ดูสูงส่งปรากฏกายออกจากความมืดมิดของราตรีกาล
เป็นที่ประหลาดตาอีกคราเนื่องจากดวงตาของชายชราผู้นี้ก็เป็นสีฟ้าเช่นกัน
เขายืนอยู่ริมฝั่งของแม่น้ำต้าฉางครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินเหยียบผิวน้ำ ก้าวเข้าไปในบริเวณหมอกทึบ จากนั้นทั้งร่างจึงค่อย ๆ เลือนหายไป
“ปีศาจซึ่งกลายร่างจากพฤกษา แต่ลักษณะและกลิ่นอายของมันไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป เห็นได้ชัดว่ามันได้ก้าวเข้าสู่วิถีแห่งการบ่มเพาะเรียบร้อยแล้ว”
หนิงซือฮวารู้สึกประหลาดใจ
“มันคือปีศาจอย่างที่เจ้าว่า ก่อนหน้านี้มันคงพบเจอกับโชคบางอย่างจึงได้เข้าใจพื้นฐานในวิธีฝึกตน แต่ทว่าความแข็งแกร่งของมันขณะนี้ไม่ควรค่าให้แลเหลียว”
ซูอี้พยักหน้า
ภูตผีและพวกตัวประหลาดทั้งหมดสามารถจัดเป็น ‘ปีศาจ’ ได้
พืช ต้นไม้ นก หรือสัตว์ป่า สิ่งใดก็ตามที่เปิดสติปัญญาของตนสำเร็จ ถูกเรียกว่าปีศาจวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม การที่ปีศาจสักตนจะสามารถฝึกฝนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปีศาจบางตัวที่มีสายเลือดพิเศษหรือมีความสามารถพิเศษเฉพาะตัว พวกมันต้องผ่านความยากลำบากที่คาดไม่ถึงหากพวกมันต้องการเริ่มเดินบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ
เช่นเดียวกับคนแคระที่ซูอี้เจอในป่าลูกท้อในภูเขามารดาภูตผี มันเป็นตัวประหลาดที่เกิดจากต้นท้อไฟหยาง แม้ว่าจะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่ก็ยังห่างไกลจากการที่สามารถแปลงกายเป็นร่างมนุษย์ได้อย่างแท้จริง
สำหรับชายชราที่มีไม้เท้าอยู่ในมือ มันก็แค่ปีศาจที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ แม้ว่ามันจะเชี่ยวชาญวิธีการฝึกฝนบางอย่าง แต่ผลลัพธ์ที่มันสำแดงก็ยังไม่แนบเนียนนัก
“น่าสนใจ สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่มีเหล่าภูตผีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพวกปีศาจและตัวประหลาดอีกด้วย พวกมันเหล่านี้กำลังวางแผนที่จะทำสิ่งใดกันแน่?”
หนิงซือฮวาสนใจมาก
สวรรค์และโลกมีทั้งความชัดเจนและพร่ามัว สรรพสิ่งมีหยินและหยางเป็นองค์ประกอบ ดังนั้นแล้ว ในโลกปุถุชนนี้ย่อมมีด้านมืดที่ซ่อนอยู่
มนุษย์ทั่วไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มสังคมและอาศัยอยู่ในเมืองจึงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นภูตผี ปีศาจ หรือตัวประหลาดเหล่านี้ที่ซึ่งซุกซ่อนอยู่แต่ในความมืด
มีเพียงผู้บ่มเพาะเท่านั้นที่รู้ถึงการดำรงอยู่ของตัวตนเหล่านี้ที่อยู่หลังประตูของโลกมืด
“เราย่อมรู้หลังจากนี้”
ซูอี้กล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ระยะไกล
เขามีลางสังหรณ์ว่าคืนนี้ถูกลิขิตให้วุ่นวาย
ถัดจากนั้นไม่นาน เสียงสนทนาและหัวเราะดังมาในระยะไกล
“ว่ากันว่า ‘งานชุมนุมเบิกสวรรค์’ นี้จัดโดย ‘อูหวนสุ่ยจวิน’ และผู้ยิ่งใหญ่อีกหลายตน ข้าไม่รู้ว่าจริงหรือไม่”
“จ้าวบรรพตเถา เจ้าได้รับ ‘คำชี้แนะจากท่านเซียนอมตะ’ ทำให้วิถีแห่งการฝึกตนพัฒนาไปอีกขั้น อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากราชากลืนสมุทรอยู่เบื้องหลัง เจ้าจะยังสนใจเกี่ยวกับ ‘งานชุมนุมเบิกสวรรค์’ นี้อีกงั้นหรือ?”
…เสียงของบทสนทนาชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มของซูอี้มองเห็นชัดตามลำดับว่าคู่สนทนาทั้งสองมีร่างหนึ่งสูงและหนึ่งเตี้ย
ร่างที่สูงและผอมนั้นประดุจเสาไม้ไผ่ มันนุ่งห่มผ้ากระสอบ แก้มตอบยาวและแคบ อีกทั้งยังมีงูสีเงินเรียวยาวตัวหนึ่งพันอยู่รอบคอ
ส่วนร่างเตี้ยเป็นแคระที่มีผมและเคราสีขาว
ปีศาจอีกสองตน!
หนิงซือฮวามองเห็นรายละเอียดของปีศาจทั้งสองตนนี้ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ทันใดนั้นซูอี้เอ่ยขึ้นอย่างเบิกบาน “ช่างบังเอิญนัก ในที่สุดข้าก็มีผู้นำทาง”
หลังจากพูดจบ เขาเดินออกจากหลังหินในทันที
“ใคร!?”
เสียงตวาดทุ้มต่ำดังขึ้น ปีศาจร่างสูงผอมบางราวกับเสาไม้ไผ่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวในทันที ดวงตาของมันเผยแววสีแดงก่ำดูเย็นยะเยือกอย่างฉับพลัน
ฟ่อ!
งูสีเงินที่พันรอบคอของเขาชูคอขึ้นอย่างดุร้าย และมันเตรียมพร้อมที่จะจู่โจมได้ทุกเมื่อ
“กลับกลายเป็นมนุษย์งั้นหรือ?”
เมื่อเขาเห็นซูอี้ ปีศาจชายร่างผอมสูงบางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพูดด้วยสีหน้าอับอายกับตนเอง “ยิ่งมีชีวิตอยู่นาน ยิ่งขี้กลัว ข้าเกือบจะคิดว่ามีศัตรูลอบโจมตีเราเสียอีก”
ทว่าคนแคระที่อยู่ด้านข้างดวงตาเบิกกว้างแทบจะถลนออกจากเบ้า ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ชายร่างสูงผอมอดไม่ได้จะหัวเราะและหยอกล้อ “จ้าวบรรพตเถา เจ้าเป็นอะไรไป เจ้ากลัวเด็กคนนี้งั้นหรือไร?”
พรึ่บ!
คนแคระที่ถูกเรียกว่า ‘จ้าวบรรพตเถา’ ชายร่างผอมสูง คุกเข่าลงกับพื้นอย่างฉับพลัน สีหน้าดูตื่นเต้นและนอบน้อม “เถาชิงซานน้อย คารวะท่านเซียนอมตะ!”
ชายร่างผอมสูงบางตกตะลึง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง สถานการณ์นี้คืออะไร?
“ลุกขึ้น ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า” ซูอี้พูดอย่างใจเย็น
คนแคระตนนี้เป็นปีศาจตนเดียวกันกับที่คอยปกป้องต้นท้อไฟหยางให้ ‘ราชากลืนสมุทร’ เก๋อฉางหลิง
ครั้งนั้น ซูอี้ได้สั่งให้อีกฝ่ายเด็ดลูกท้อไฟหยางบริสุทธิ์ที่โตเต็มที่สามลูกมาให้ตัวเขา
แน่นอน เพื่อเป็นการตอบแทน ซูอี้จึงมอบ ‘เคล็ดวิญญาณแปรกำเนิด’ ให้อีกฝ่าย ซึ่งเป็นเคล็ดการฝึกตนของเหล่าปีศาจระดับแนวหน้า
เถาชิงซานลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและยืนอยู่อย่างนอบน้อม ที่หว่างคิ้วปรากฏซึ่งความชื่นชมอย่างไม่อาจจะปิดบัง
“จ้าวบรรพตเถา หรือนี่คือ… ท่านเซียนอมตะที่มอบ ‘เคล็ดวิญญาณ’ ให้กับเจ้าหรือ?”
ชายร่างสูงผอมอุทานออกคล้ายว่าเพิ่งตระหนักรู้ถึงความจริง
“ไม่ผิดแล้ว” คนแคระพยักหน้าอย่างจริงจัง
ชายร่างผอมสูงนิ่งงันไปอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นและก้มหน้างุด “เถิงหยงน้อยมีตาหามีแววไม่ ขอท่านเซียนอมตะโปรดให้อภัยที่เมื่อครู่ผู้น้อยแสดงกิริยาไม่เหมาะสมด้วย!”
ซูอี้เมินเฉยต่อปีศาจร่างผอมสูง เขาเบนสายตาไปหาเถาชิงซานและเอ่ยถาม “ว่าแต่เจ้าเถอะ เจ้าดั้นด้นจากภูเขามารดาภูตผีมาที่นี่เพราะเหตุใด?”
“เรียนท่านเซียนอมตะ เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้น้อยได้รับคำเชิญจากอูหวนสุ่ยจวินซึ่งกำลังจะจัด ‘งานชุมนุมเบิกสวรรค์’ ในเมืองเก้าคดของเขา เขาเชิญผู้น้อยมาร่วมพิธี”
เถาชิงซานไม่กล้าที่จะปกปิดและกล่าวด้วยความเคารพ
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นและกล่าวว่า “บอกข้าเกี่ยวกับอูหวนสุ่ยจวินผู้นั้นและเมืองเก้าคดอย่างละเอียด”
เถาชิงซานตกตะลึงครู่หนึ่งและอธิบายอย่างรวดเร็ว
ปรากฏว่าที่ด้านล่างของแม่น้ำส่วนนี้มีอาณาเขตผีที่เรียกว่า ‘เมืองเก้าคด’ ผู้เป็นเจ้าเมืองเรียกตัวเองว่า ‘อูหวนสุ่ยจวิน’
ส่วนงานชุมนุมที่เรียกว่า ‘งานชุมนุมเบิกสวรรค์’ นั้นถูกจัดโดยอูหวนสุ่ยจวิน เขาเชิญทั้งเหล่าปีศาจและภูตผีที่มีชื่อเสียงทั้งหมดในแคว้นกุ่นให้มารวมตัวกัน
ว่ากันว่าในงานชุมนุมเบิกสวรรค์นี้ อูหวนสุ่ยจวินตั้งใจจะประกาศรายละเอียดของการจัดงานที่ยิ่งใหญ่อีกงานหนึ่ง
ส่วนงานใหญ่นั้นคืออะไรแม้แต่เถาชิงซานก็ยังไม่รู้ทราบ สาเหตุที่เขาตัดสินใจมาที่งานชุมนุมนี้ก็เป็นเพราะอดไม่ได้ที่จะสงสัยถึงเรื่องนี้
หลังจากฟังแล้ว ซูอี้ก็อดหัวเราะไม่ได้
อูหวนสุ่ยจวินตนนี้เป็นผีแท้ ๆ แต่กลับจัดงานชุมนุมเบิกสวรรค์ขึ้นมา อมนุษย์ตนนี้คิดจริง ๆ หรือว่ามันนั้นเป็นผู้บ่มเพาะจริง ๆ?