บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 194 เมืองเก้าคด
ตอนที่ 194: เมืองเก้าคด
“ที่มาของอูหวนสุ่ยจวินเป็นอย่างไรและเขาฝึกฝนสิ่งใดอยู่?”
ในเวลานี้หนิงซือฮวา ชิงหว่าน และจินเซี่ยวชวนเริ่มสงสัยเช่นกัน
เถาชิงซานแลเห็นว่าหนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ มาพร้อมกับซูอี้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าละเลยคนเหล่านี้และกล่าวอย่างเคารพ
“ว่ากันว่าอูหวนสุ่ยจวินเป็นปรมาจารย์ที่ตกตายลงกลางสมรภูมิรบ ก่อนที่เขาจะตาย เขาเต็มไปด้วยความโกรธและอาฆาต ครั้งเมื่อนานวันเข้าหลังจากถูกหล่อเลี้ยงโดยสายธารโลหิตที่อยู่ใต้ดิน เขาจึงกลายเป็นผีร้ายในที่สุด”
“เป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้วที่เขาสร้างเมืองเก้าคดอยู่ก้นแม่น้ำต้าฉาง ระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันควรจะเปรียบได้กับปรมาจารย์วิถียุทธ์ระดับสาม”
“อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่าเขามีความชำนาญในคาถาชั่วร้ายบางอย่างและครอบครองพลังลึกลับต้องห้าม หากย่างก้าวเข้าสู่เมืองเก้าคด ต่อให้เป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์ขั้นสาม เขาก็สามารถสังหารอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็น”
“ว่าแต่ ข้าขอบังอาจถามท่านเซียนอมตะได้หรือไม่ ท่านมาที่นี่เพื่ออะไร?” เถาชิงซานถามด้วยความเคารพ
“ตามหาคน”
ซูอี้เอ่ยตอบเฉยเมย “เมื่อไม่กี่วันก่อน เรือโดยสารจมลงในน่านน้ำนี้ หนึ่งในผู้โดยสารบนเรือนั้นคือคนที่ข้าห่วงใยมาก”
เถาชิงซานตกตะลึง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดสิ่งใดออกไป เถิงหย่งซึ่งอยู่ด้านข้างชิงโอกาสขึ้นเอ่ยก่อน
“เรียนท่านเซียนอมตะ เรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของผีเฒ่าอูหวนเป็นแน่แท้! ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผีเฒ่าตนนั้นล่มเรือนับไม่ถ้วนในน่านน้ำนี้ จำนวนผู้ที่ตกตายลงไปนั้นไม่ทราบได้เลยว่ามีมากถึงเพียงใดแล้ว!”
น้ำเสียงของเถิงหย่งเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองปนเปไปด้วยมโนธรรม อีกทั้งยังเปลี่ยนสรรพนามเรียกขานอูหวนสุ่ยจวินด้วยความเดือดดาล
เถาชิงซานก็พยักหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “แต่ท่านเซียนอมตะ อย่าได้กังวลจนมากเกินไป แม้ว่าอูหวนสุ่ยจวินจะโหดร้าย แต่นิสัยสันดานของเขานั้นเจ้าเล่ห์และรอบคอบ เขากล้าเพียงแต่สังหารเหล่าคนธรรมดาก็เท่านั้น”
“หลังจากนี้เจ้าพาเราเข้าไปในเมืองเก้าคด”
ซูอี้ตัดสินใจแล้วกล่าวว่า “จงแสร้งปฏิบัติกับเราเหมือนเป็นข้ารับใช้ของเจ้ายามที่อยู่ข้างใน”
จากนั้นเขาหันศีรษะมองไปที่จินเซี่ยวชวนและกล่าวว่า “เจ้าหาที่ปลอดภัยรออยู่แถวนี้จนกว่าพวกข้าจะกลับมา”
จินเซี่ยวชวนรีบพยักหน้าเห็นด้วย
“ลุกขึ้น”
ซูอี้เหลือบมองอมนุษย์ร่างผอมสูงเถิงหย่งที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
เถิงหย่งถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณท่านเซียนอมตะ ขอบคุณท่านเซียนอมตะที่เมตตา!”
เถาชิงซานใช้โอกาสนี้พูดว่า “ท่านเซียนอมตะ นี่คือเถิงหย่งจากภูเขาลั่วหยาแห่งเขตปกครองหย่งเหอ ด้วยความบังเอิญเขาดูดซับพลังของน้ำพุวิญญาณลึกลับ ดังนั้นจึงสามารถเปิดสติปัญญาและปลุกความสามารถในการแปลงร่างเป็นมนุษย์…”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ซูอี้อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเถิงหย่ง “เถาวัลย์ทองคำเช่นเจ้าเป็นเพียงพฤกษาวิญญาณระดับสี่ แต่กระนั้นตอนนี้เจ้ากลับสามารถเบิกสติปัญญาของตนเองได้ วาสนาของเจ้านับได้ว่าไม่เลวนัก”
หนิงซือฮวากล่าวเสริม “สหายเต๋า เถาวัลย์ทองคำเป็นวัสดุที่ดีเยี่ยมสำหรับการสร้างชุดเกราะวิญญาณ โดยเฉพาะเมื่อมันมีอายุมากกว่าพันปี มันยิ่งหายาก”
เถิงหย่งสั่นสะท้าน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความตกใจ
ดูเหมือนสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดอย่างเขา แม้จะดูน่าเกรงขามต่อคนทั่วไป แต่ในสายตาของผู้บ่มเพาะอันแท้จริง เขาไม่นับเป็นอะไรได้เลยนอกจากวัตถุวิญญาณ!
ซูอี้หัวเราะ “เมื่อเบิกสติปัญญาได้เช่นนี้แล้วก็ไม่ควรถูกนับเป็นวัตถุ ไม่สมควรที่เราจะถือว่ามันเป็นวัตถุวิญญาณอีกต่อไป”
หนิงซือฮวาพยักหน้าอย่างเข้าใจแจ่มชัด “สิ่งที่ท่านพูดมานั้นเป็นความจริง แต่ถ้าชายคนนี้ตกตายลงในอนาคต ข้าจะยินดียิ่งที่จะได้เก็บร่างเขาไว้ใช้งาน”
ในตอนแรกเถิงหย่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่หนิงซือฮวาเอ่ยขึ้น ใบไม้เถาวัลย์สีเขียวใบหนึ่งปรากฏขึ้นบนศีรษะของเขาอย่างกะทันหัน…
เขามองไปที่หนิงซือฮวาด้วยความกลัวอย่างสุดซึ้ง
สตรีนางนี้… ช่างน่ากลัวนัก!
“ชิงหว่าน เจ้ากลับลงไปในน้ำเต้าปลุกวิญญาณก่อน” ซูอี้เอ่ยสั่ง
“เจ้าค่ะ”
ชิงหว่านกลายร่างเป็นลำแสงและหายเข้าไปในน้ำเต้าปลุกวิญญาณ
ผีที่หายากและบริสุทธิ์อย่างนางจะทำให้เกิดการจลาจลที่คาดเดาไม่ได้เมื่อปรากฏตัวในเมืองเก้าคดที่ซึ่งผีร้ายมากมายรวมตัวกัน
จากนั้น ภายใต้การจ้องมองที่ตะลึงงันของทุกคน รัศมีในร่างกายของซูอี้ก็เปลี่ยนไปอย่างเงียบ ๆ กลับกลายเป็นร่างของเขามีกลิ่นอายของปีศาจ!
เถาชิงซานสั่นไหวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ท่านเซียนอมตะ หรือว่าท่านเป็น…”
“ไม่ ข้าไม่ใช่”
ซูอี้ขัดขึ้น “นี่เป็นเพียงทักษะลับในการเปลี่ยนกลิ่นอายของตัวเองเท่านั้น”
หนิงซือฮวารู้สึกประหลาดใจเช่นกัน “สหายเต๋า ทักษะลับนี้ของท่านช่างน่าสนใจอย่างแท้จริง”
“อยากเรียนรู้? ข้าสอนให้เจ้าได้”
“เช่นนั้นข้าขอขอบคุณสหายเต๋าที่มีน้ำใจแก่ข้าแล้ว”
ดวงตาที่สวยงามของหนิงซือฮวาเต็มไปด้วยความหวังและอยากรู้อยากเห็น
ซูอี้ท่องคาถาด้วยพลังแห่งดวงจิตของตนเอง เสียงถ้อยคำอันคลุมเครือดังออกจากริมฝีปากของเขา
ในไม่ช้า สีหน้าของหนิงซือฮวาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และถัดมากลิ่นอายของร่างกายนางก็เปลี่ยนไปอย่างเงียบ ๆ กลายเป็นไม่ต่างจากเหล่าปีศาจทั้งหลาย
เมื่อรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตนเอง หัวใจของหนิงซือฮวาเต้นระทึกอย่างบ้าคลั่ง แม้ทักษะลับนี้จะดูเรียบง่าย แต่ผลลัพธ์ของมันช่างแยบยลและเหลือเชื่อมาก!
“ถ้าข้ามีทักษะลับที่วิเศษเช่นนี้ ข้าจะไม่มีทางเต็มใจเปิดเผยมันให้ผู้อื่นรู้อย่างง่ายดายเช่นนี้แน่นอน แต่ชายผู้นี้กลับไม่ได้หวงแหนมันแม้แต่น้อย…”
“นี่หมายความได้ถึงสิ่งเดียว ก็คือเขามีทักษะอื่นอีกมากมายที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านี้อย่างเทียบไม่ได้จนเขาไม่จำเป็นต้องแยแสกับทักษะนี้หากมันจะตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นก็ตามที!”
“เขาน่ากลัวกว่าที่ข้าคิดไว้มาก…” หนิงซือฮวาลอบคิดในใจกับตัวเอง
แน่นอนว่าหนิงซือฮวาคิดถูก ในหัวของซูอี้มีทักษะและวิชาที่เลิศล้ำอยู่มากมาย เขาจะสนใจอะไรกับทักษะเล็กจ้อยเช่นนี้? และยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการช่วยเหวินหลิงเสวี่ยให้เร็วที่สุด!
“ไปกันเถอะ” ซูอี้ตัดสินใจลงมือโดยไม่ชักช้า
จากนั้นโดยการนำของเถาชิงซานและเถิงหย่ง ทั้งกลุ่มจึงมุ่งหน้าเข้าไปยังกลุ่มหมอกที่หมุนวนบนพื้นผิวของแม่น้ำต้าฉาง
แม้จะแลดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเดินบนผิวน้ำ แต่แท้จริงแล้วกลับมีอำนาจที่มองไม่เห็นทำให้ผิวน้ำมีมวลแข็งประหนึ่งพื้นดินไม่ผิดเพี้ยน
หลังจากฝ่ากลุ่มหมอกเข้าไปด้านใน ทันใดนั้นร่างของพวกเขาทั้งหมดต่างตกลงไปยังกระแสน้ำวน
แต่หลังจากร่วงหล่นลงไปได้พักหนึ่ง พลังอันอ่อนโยนก็โอบล้อมรอบตัวพวกเขา ทำให้ร่างของพวกเขาร่อนลงยังก้นแม่น้ำอย่างแผ่วเบา
นี่คืออำนาจแห่งค่ายกลอันยิ่งใหญ่ซึ่งเชื่อมระหว่างลำน้ำและภูเขาอย่างลึกลับ
ในไม่ช้า ซูอี้และคนอื่น ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นในโลกสีเทา ทั้งทิศต่างเป็นสีเทาไปหมด ข้างหน้ามีเมืองใหญ่ตั้งอยู่ กำแพงเมืองกำลังลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีเขียวที่แผดเผาสะท้อนอาบท้องฟ้าและผืนดินใต้บาดาลจนเป็นสีเขียวมืดมน
สีนี้ช่างน่ารังเกียจยิ่ง
ซูอี้ขมวดคิ้ว
“ถ้าข้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ข้าคงไม่เชื่อว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ใต้แม่น้ำต้าฉาง”
หนิงซือฮวาประหลาดใจและมองไปรอบ ๆ
นางสามารถเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าสถานที่แห่งนี้ถูกค้ำจุนโดยอำนาจแห่งเส้นชีพของภูเขาแม่น้ำต้าฉางที่อยู่ล้อมรอบมาบรรจบกัน มันเต็มไปด้วยบรรยากาศที่มืดมนและอึดอัด
“นี่คือพลังแห่งการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ อูหวนสุ่ยจวินนับว่ามีความสามารถอยู่บ้างที่สามารถหาสถานที่นี้ได้และยึดครองเป็นของตัวเองได้สำเร็จ”
หลังเอ่ยจบ ซูอี้มองไปที่เถาชิงซานที่อยู่ข้าง ๆ และพูดว่า “เจ้าจงนำเราเข้าไปและตามหาคนที่ข้าต้องการพบเจอ”
เถาชิงซานพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ถัดมาพวกเขาเดินตรงไปที่เมือง
ยามไปถึงหน้าประตูเมือง มีตัวอักษรขนาดใหญ่สีแดงฉานประหนึ่งโลหิตสามตัวสลักอยู่บนซุ้มประตูเมือง ‘เมืองเก้าคด’! ยามทั้งสองด้านของประตูเมืองเป็นกลุ่มทหารผีใบหน้าดุร้ายที่ร่างกายปกคลุมไปด้วยหมอกที่น่าอึดอัด
ทันทีที่เห็นเถาชิงซานและเถิงหย่ง ผีทหารยามตนแรกเอ่ยออกเสียงดังกังวาน “จ้าวบรรพตเถาแห่งภูเขามารดาภูตผี และผู้อาวุโสเถิงหย่งแห่งภูเขาลั่วหยามาถึงแล้ว!”
ทันใดนั้น ที่หน้าประตูเมือง ผีสาวผิวสีซีดในชุดหลากสีสันสดใสก็ปรากฏตัวขึ้น และเดินออกมาทำความเคารพพลางกล่าวว่า “บ่าวผู้นี้ยินดียิ่งที่แขกทั้งสองให้เกียรติมาร่วมงาน”
เถาชิงซานกล่าวอย่างเฉยเมย “พาเราไปชมงานชุมนุมเบิกสวรรค์”
“เจ้าค่ะ”
ผีสาวในชุดหลากสี หันหลังกลับและนำทาง
ซูอี้และคนอื่น ๆ เดินตามอย่างไม่เร่งร้อน
ทันทีที่เขาเข้าไปในเมือง เขาเห็นอาคารสีทะมึนตั้งเรียงรายอยู่มากมายพวกมันดูคล้ายกับโลงศพขนาดใหญ่ มีผนังและชายคาที่มิดชิด
สองข้างทางของถนนมีโคมสีขาวห้อยอยู่ ฉายแสงประหนึ่งก้อนเมฆที่ล่องลอย
ตามท้องถนนมีผีบินลอยอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีทั้งผี วิญญาณ ปีศาจ ฯลฯ รวมไปถึงยังมีพวกผีที่ดุร้ายและผีพยาบาทปะปน
บรรยากาศรอบด้านมีทั้งเสียงพูดคุยครึกครื้น สลับตัดกับเสียงร้องไห้ เสียงหัวเราะ การไว้ทุกข์ และคร่ำครวญ…
ที่นี่ดูไม่ต่างจากอาณาจักรวิญญาณที่ซูอี้เคยไปเยือน
หากเป็นเพียงผู้บ่มเพาะทั่วไปคงกลัวจนหัวหดหากย่างกรายเข้ามาในเมืองนี้
แต่ซูอี้และหนิงซือฮวาหาใช่ผู้บ่มเพาะธรรมดาไม่ สีหน้าของทั้งคู่ไร้ซึ่งหวาดกลัว อีกทั้งยังขมวดคิ้วอย่างรังเกียจกับแดนผีที่ทั้งมืดมน โกลาหล และตบลอบอวลไปด้วยกลิ่นหายนะเช่นนี้
ตามท้องถนนมีบรรดาผีตั้งร้านค้าอยู่มากมาย บางร้านค้ามีหม้อเหล็กใบใหญ่กำลังต้มเนื้อเน่ารวมกับเส้นผมยาวซึ่งดูน่าขยะแขยง อีกทั้งยังมีพ่อค้าแม่ค้าขายเร่ขายดวงตาเปื้อนเลือด อวัยวะที่เน่าเปื่อย และเศษชิ้นส่วนเนื้อและเลือดต่าง ๆ อีกมากมายหลายเจ้า
ไม่ไกลนักเด็ก ๆ หลายคนกำลังกระโดดเล่นวิ่งไล่ตีกันด้วยแขนอาบเลือดของมนุษย์ผู้ใดไม่มีใครทราบอย่างสนุกสนาน อีกทั้งบางครายังกระโจนเข้าหาสหายของตนเองและกัดอย่างดุร้าย
เดินต่อไปอีกสักเล็กน้อยมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังถักเย็บหนังมนุษย์อย่างตั้งใจ และชั้นวางที่ทำจากกระดูกซึ่งวางอยู่ด้านหลังล้วนเต็มไปด้วยหนังมนุษย์ซึ่งถักออกมาเป็นชุดเอาไว้ห่มใส่หลายรูปแบบ
ฉากนองเลือดและโหดร้ายเช่นนี้ถูกพบเห็นได้ทุกหนทุกแห่งในเมืองนี้ เหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดาปกติเหล่าผีที่กระทำกัน
ทันใดนั้น ซูอี้เห็นชายชราคนหนึ่งที่ทั้งร่างคล้ายถูกย้อมไปด้วยสีน้ำเงินเข้มอยู่เต็มตัว เขาสวมชุดกระดาษสีขาวและศีรษะหายไปครึ่งหนึ่ง นั่งอยู่หลังแผงของตนเองริมถนน รอบริการลูกค้าอย่างเหนื่อยหน่าย
ที่ด้านหน้าของชายชรามีวัตถุอยู่อย่างหนึ่งซึ่งคล้ายกับลูกคิด แต่ของชิ้นนี้มันประกอบด้วยกระดูกแขนและกระดูกส่วนมือสีขาวเหมือนหิมะ ส่วนตัวลูกคิดทำขึ้นมาจากซี่ฟันนับสิบซี่
“เจ้ากำลังทำอะไร” หนิงซือฮวาสังเกตเห็นฉากนี้และถาม
“นับคำนวณ” ชายชราไม่ได้เงยหน้าขึ้น
“คำนวณสิ่งใด?”
“บัญชีของเหล่าคนเป็นที่ยังมีชีวิตอยู่และที่เสียชีวิตในเมืองเก้าคดนี้”
หลังจากเอ่ยจบชายชราเผยรอยยิ้มสยดสยองขึ้นใบหน้า “คำนวณโดยคร่าว หนึ่งร้อยสามสิบเก้าปีกับอีกสิบเก้าวันแปดเดือน มีคนเป็นตกตายอย่างน้อยหนึ่งแสนสามหมื่นคนในเมืองเก้าคด สตรีและเด็กมีมากกว่าสามหมื่นคน และมากกว่าหนึ่งหมื่นคนเป็นเด็กวัยเยาว์ ผู้ชายมากกว่าห้าหมื่นคนในวัยเจริญพันธุ์ และผู้สูงอายุมากกว่าสี่หมื่นคน ผู้คน… ”
ชายชราผู้นี้ทำตัวเหมือนกับนักบัญชีซึ่งกำลังทำบัญชีรายรับรายจ่าย มีร่องรอยของความพึงพอใจที่อธิบายไม่ได้ในรอยยิ้มแปลก ๆ นั้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้หนิงซือฮวาขมวดคิ้วและอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่ซูอี้อยู่ข้าง ๆ นาง
“หากเจ้าไม่ชอบใจ ก่อนจะออกจากที่นี่ข้าจะเก็บกวาดให้หมดสิ้น”
สีหน้าของซูอี้ยังคงเรียบเฉย
ในชีวิตก่อนหน้า เขาเคยเห็นฉากย้อมโลหิตยิ่งกว่านี้มามากมายไม่ต่างอะไรจากนรกบนผืนดิน และเขาถึงกับเคยบุกลงไปยังยมโลกและได้เห็นสิ่งที่โหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านี้นับพันเท่า
อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะได้เห็นมันมากแล้ว แต่ยามได้เห็นอีกครั้งคราขณะนี้ ความรังเกียจตามสัญชาตญาณในใจพลันปะทุขึ้นอย่างอดไม่ได้
ผีสาวในชุดหลากสีที่นำทาง นางหันหัวมาและพูดตักเตือนอย่างขึงขัง “แขกผู้มีเกียรติโปรดระมัดระวังคำพูดจาด้วย หากนายท่านได้ยินเข้า… ”
ทว่าก่อนที่นางจะพูดจบ เถาชิงซานพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “เป็นเพียงสาวใช้อย่าได้ริอาจอวดดีต่อหน้าข้า! เจ้าเชื่อหรือไม่ต่อให้ข้าสังหารเจ้าที่ตรงนี้ ไอ้ผีเฒ่าอูจะไม่พูดสิ่งใดแม้แต่ประโยค!”
ผีสาวในชุดหลากสีตัวสั่นและนิ่งเงียบ
แต่มันใดนั้นเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นไม่ไกล
“ไม่ได้เจอกันเสียนาน ไม่นึกเลยว่าเถาชิงซานจะกล้าพูดจาใหญ่โตขึ้นมาก ว่าแต่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าต่อให้เจ้าจะถูกให้ท้ายโดยราชากลืนสมุทรผู้ยิ่งใหญ่แล้วจะสามารถอยู่เหนือกฎของที่แห่งนี้ได้?”