บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 195 แท่นบูชายัญ
ตอนที่ 195: แท่นบูชายัญ
ไม่ไกลนัก ชายหัวล้านที่มีดวงตาสีฟ้ายืนอยู่
เขากำลังแทะหัวที่เปื้อนเลือดอย่างพึงพอใจจนแก้มพอง
เมื่อเห็นชายคนนี้ เถาชิงซานก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างเย็นชา “คางคกสิบสาม แม้ว่าข้าจะไม่ใช้ประโยชน์จากอำนาจของท่านราชากลืนสมุทร ข้าก็สามารถฆ่าคางคกอย่างเจ้าได้!”
เถิงหย่งพูดกับซูอี้ด้วยเสียงเบา “ท่านเซียนอมตะ อีกฝ่ายคือคางคกสิบสามแห่งสันเขาทรายพิษ ก่อนหน้านี้มันเป็นเพียงคางคกตาน้ำเงิน แต่เมื่อมันเบิกสติปัญญาสำเร็จ มันก็เรียกตัวเองว่าเป็นราชาปีศาจเพลิงพิษ ความแข็งแกร่งของมันนั้นนับว่าล้นเหลือ”
มีร่องรอยของความรังเกียจที่ไม่อาจปกปิดได้ในแววตาของหนิงซือฮวา
สัตว์ประหลาดตัวนี้สมแล้วที่เป็นคางคก มันดูน่าขยะแขยงอย่างยิ่งยวด
“ฮ่า ๆๆ”
คางคกสิบสามแลบลิ้นสีแดงสดยาวหนึ่งศอกออกมาเลียรอบ ๆ ใบหน้าอันอ้วนท้วนของมันทำความสะอาดคราบเลือดและเศษเนื้อออกจนสะอาด
จากนั้นเมื่อมันเก็บลิ้นของตนเองเสร็จสิ้นจึงพูดว่า “เมื่องานชุมนุมเบิกสวรรค์ของพี่อูหวนสิ้นสุดลง เจ้ากล้าที่จะสู้กับราชาผู้นี้หรือไม่ไอ้เฒ่าเถา! ถ้าเจ้าแพ้ จงมอบลูกท้อไฟหยางบริสุทธิ์ให้แก่ราชาผู้นี้หนึ่งผล แต่ถ้าหากราชาผู้นี้แพ้ ข้าจะยอมโค้งคำนับเจ้าเรียกว่าปู่! เจ้าว่าอย่างไรกับข้อเสนอข้า?”
เถาชิงซางเอ่ยตอบอย่างเย็นชา “ทำไมข้าจะไม่กล้า? แต่มันติดตรงที่ข้าไม่อยากเป็นปู่ของคางคก และข้าไม่ต้องการมีหลานชายชั่วช้าเช่นเจ้า!”
คางคกสิบสามหัวเราะลั่น ดวงตาสุกใสของมันเต็มไปด้วยความดุร้าย “เถาชิงซาน เจ้าและข้าจะได้เห็นดีกันแน่!”
หลังจากนั้นเขาก็เดินโซเซไปไกล
“จ้าวบรรพตเถา เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมคางคกสิบสามถึงหยิ่งผยองนัก?”
ทันใดนั้นเสียงถอนหายใจแหบ ๆ ก็ดังขึ้นจากชายชราตาสีฟ้าถือไม้เท้าอยู่ในมือซึ่งอยู่ไม่ไกลนักตรงแผงขายเนื้อที่เต็มไปด้วยเลือด
ซูอี้และหนิงซือฮวามองหน้ากัน และตระหนักว่าพวกเขาเคยเห็นชายชราคนนี้กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดมาก่อนเมื่อตอนพวกเขาแอบดูอยู่ที่ริมฝั่งของแม่น้ำต้าฉาง
“ทำไม?” เถาชิงซานขมวดคิ้ว
ชายชรายิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “มอบบางสิ่งให้ข้า แล้วข้าจะชี้แนะทางสว่างให้”
เถาชิงซานเหยียดมือของตนเอง ชี้ไปที่ระยะไกลก่อนจะพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา “ไปซะ!”
เช่นเดียวกับที่คางคกสิบสามพูดเมื่อครู่ ก่อนชายชราจากไปเขาทิ้งท้ายว่า “เจ้าและข้าจะได้เห็นดีกัน!”
เขายันไม้ค้ำและเดินออกไปอย่างเย็นชา
“นั่นใครอีก?” หนิงซือฮวาถาม
“พังพอนเฒ่าที่เร่ร่อนอยู่ตามสุสานทั้งเดือนปี ขุดหลุมศพและขโมยกระดูกของเหล่าคนตาย มันเรียกตัวเองว่า ‘จ้าวภูผาเหลือง’ ว่ากันว่าสาเหตุที่มันเบิกสติปัญญาได้เป็นเพราะมันบังเอิญไปขโมยน้ำมันตะเกียงจากตะเกียงทองสัมฤทธิ์ในสุสานแห่งหนึ่งได้สำเร็จ”
เถาชิงซานไม่ได้ปกปิดสีหน้าดูถูกของตนเองแม้แต่น้อย
เถิงหย่งอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “จ้าวบรรพตเถามีบางอย่างผิดปกติกับไอ้เจ้าคางคกสิบสามนั่น และยิ่งไปกว่านั้นพังพอนตัวนั้นดูเหมือนจะจับตาดูเจ้าอยู่”
เถาชิงซานตะลึงครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยบอกทันทีด้วยความไม่พอใจ “พวกมันทุกตนต่างรู้ว่าข้าเป็นผู้พิทักษ์ต้นท้อไฟหยางบริสุทธิ์ให้ท่านราชากลืนสมุทร พวกมันไม่มีทางกล้าทำอะไรตัวข้าแน่!”
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้ข้ามีท่านเซียนอมตะอยู่เคียงข้าง ข้าจะกลัวพวกมันไปทำไมกัน! เขาลอบกล่าวเสริมในใจ
“แขกผู้มีเกียรติ งานชุมนุมเบิกสวรรค์กำลังจะเริ่มแล้ว โปรดตามข้ามาเถิด”
ผีสาวในชุดหลากสีเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินนำต่อไปข้างหน้า
มีอีกหลายกลุ่มที่เดินตามมา
หลังจากผ่านถนนสายยาวหลายสาย สายตาของทุกคนก็แลเห็นในทันใด ในระยะไกลมีลานกว้างขนาดใหญ่ซึ่งประดับประดาไปด้วยโคมไฟมากมายส่องแสงสว่างจ้า
ที่ใจกลางลานกว้างมีแท่นบูชาสีดำสูงเก้าฉื่อตั้งตระหง่านอยู่
รอบ ๆ ลานกว้างมีเสาทองสัมฤทธิ์ขนาดยักษ์แปดเสาตั้งตระหง่านราวกับค้ำฟ้า เสาแต่ละต้นถูกปกคลุมไปด้วยอักขระประหลาด ๆ ยึกยือคล้ายไส้เดือน
ไกลออกไปมีโต๊ะและที่นั่งที่อัดแน่นไปด้วยตัวตนที่หลากหลาย เมื่อซูอี้และคนอื่น ๆ มาถึง มีหลายร้อยตัวตนจับจองอยู่บนที่นั่งเหล่านั้นอยู่ก่อนแล้ว มีทั้งผี ทั้งปีศาจ ทั้งวิญญาณอาฆาต ทั้งสัตว์ประหลาด และแม้แต่วิญญาณไร้รูปลักษณ์ก็มีอยู่
บรรยากาศรอบด้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงคำราม เสียงกระซิบ และเสียงอีกหลากหลาย
มันเหมือนกับฉากของกลุ่มปีศาจที่กำลังโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง
“สหายเต๋า แท่นบูชาสีดำนั้นค่อนข้างแปลก มันดูคล้ายกับเป็นศาสตราวิญญาณอันชั่วร้าย”
หนิงซือฮวากล่าวอย่างแผ่วเบา
จากระยะไกล นางสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีที่เล็ดลอดออกมาจากแท่นบูชาสีดำนี้ มันเต็มไปด้วยเลือดและความชั่วร้ายอย่างยิ่ง
“ลานแห่งนี้สร้างขึ้นตามทิศทั้งเก้าของฮวงจุ้ย โดยมีค่ายกลแปดทองคำคุมขังฝังอยู่ภายใน ส่วนแก่นกลางของมันคือแท่นบูชาสีดำนั้น”
ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย “ในความคิดของข้า ทั้งหมดนี้ควรเป็นค่ายกลเพื่อบูชายัญรูปแบบหนึ่ง”
“บูชายัญ?” ดวงตาของหนิงซือฮวาหรี่ลงเล็กน้อย
การบูชายัญเป็นที่รู้จักในเรื่องความแปลกประหลาดและลึกลับ
จุดประสงค์ของการบูชายัญมักจะเป็นการเรียกพลังบางอย่างออกมา หรือเพื่อแลกกับบางสิ่งที่ต้องการ
ทว่าทุกพิธีบูชายัญล้วนคล้ายกัน ซึ่งก็คือจะต้องใช้สิ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวนำมาเป็นสิ่งเอาไว้บูชายัญ เพื่อที่จะได้สามารถสื่อสารกับอีกฝ่ายปลายทางได้โดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของเหล่าพระแห่งศาสนาพุทธ การบูชายัญนั้นถือว่าเป็น ‘หนทางต้องห้าม’ ซึ่งไม่ควรเอ่ยถึง
เท่าที่หนิงซือฮวารู้ แม้แต่พวกนักพรตผีหรือเหล่าปีศาจที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนแล้ว ก็ไม่ค่อยใช้การบูชายัญเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจกันสักเท่าไหร่
ส่วนเหตุผลนั้นไม่มีอันใดมาก เมื่อใดที่กระทำการบูชายัญแล้วมันหมายถึงได้ทำข้อตกลงที่มองไม่เห็นต่อพลังอันต่ำช้าบางอย่าง
มันเหมือนกับการบูชาเทพเจ้าที่ชั่วร้าย แม้ว่าจะได้รับพลังจากอีกฝ่าย แต่ก็ยังจะต้องเสียสละอย่างมากเพื่อแลกมา
และยิ่งไปกว่านั้น หากมีสิ่งใดเกิดผิดพลาดและการบูชายัญถูกขัดจังหวะ เทพผู้ชั่วร้ายตนนั้นจะพิโรธและลงทัณฑ์อย่างแน่นอน
“เจ้าไม่สงสัยหน่อยหรือว่าอูหวนสุ่ยจวินผู้นี้ต้องการบูชายัญให้ผู้ใด?”
ซูอี้พูดเบา ๆ
“สหายเต๋าเห็นเบาะแสแล้วงั้นหรือ?”
หนิงซือฮวารู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นตัวตนที่ดีนัก ไม่เช่นนั้น ผีที่ไม่เลือกปฏิบัติเหล่านี้จะถูกบูชาได้อย่างไร?”
ดวงตาของซูอี้แสดงให้เห็นร่องรอยของการดูถูกเหยียดหยาม
ระหว่างการสนทนาผีสาวในชุดหลากสี ได้พาพวกเขาไปยังที่นั่งด้านข้างของลานกว้าง
“ท่านเซียนอมตะทั้งสอง โปรดเชิญนั่ง!”
เถาชิงซานเชิญซูอี้และหนิงซือฮวานั่งลงทีละคนก่อนที่ตัวเขาจะนั่งลงกับเถิงหย่ง
บนโต๊ะมีของอย่างสุรา แตง และผลไม้ ซึ่งทั้งหมดเป็นของแปลก ไม่ได้มีค่า แต่ก็ค่อนข้างหายาก
เมื่อเวลาผ่านไปแขกเริ่มหลั่งไหลเข้ามาเพิ่มเติม และในขณะเดียวกัน กลุ่มของผีสาวก็เริ่มบรรเลงบทเพลงแปลกประหลาดซึ่งฟังดูคล้ายกับการคร่ำครวญมากกว่าจะขับร้อง
“จ้าวบรรพตเถา ไม่เจอกันเสียนานเลย”
ทันใดนั้น หญิงสาวในเครื่องแต่งกายทางการราวกับเป็นสนมในวังซึ่งมีผิวซีดและดวงตาที่ส่องสว่างเดินเข้ามาหาพร้อมกับถือจานในมือที่มีลูกตาเปื้อนเลือดอยู่หลายดวง
“พระสนมซานซิ่ว? ข้าไม่นึกเลยว่าท่านจะมา”
เถาชิงซานขมวดคิ้ว
“อูหวนสุ่ยจวินจัดงานชุมนุมเบิกสวรรค์ทั้งที ข้าจะไม่มาชมพิธีได้อย่างไร”
หญิงสาวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นจานในมือให้ “นี่คือดวงตาหกคู่ของเด็กชายและเด็กสาว ข้าเพิ่งควักมันออกมาทั้งเป็นไม่มีร่องรอยบุบสลาย รสชาติมันเยี่ยมนัก เจ้าอยากลองหรือไม่จ้าวบรรพตเถา?”
เถาชิงซานตัวแข็งค้างราวกับกลัวว่าซูอี้จะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นตัวประหลาดกระกายเลือดมนุษย์ เขาจึงรีบตอบกลับอย่างรวดเร็วอย่างเฉียบขาด
“ตั้งแต่ข้าเบิกสติปัญญามาได้ ข้าก็ไม่เคยแตะต้องอาหารไร้มโนธรรมเช่นนี้อีก แต่เจ้ากลับจงใจนำมันมาต่อหน้าข้า เจ้ามีเจตนาใดซ่อนอยู่กันแน่!?”
สนมซานซิ่วตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนพ่นลมอย่างเย็นชา “จ้าวบรรพตเถาข้าอุตส่าห์ปฏิบัติต่อเจ้าด้วยน้ำใจ เจ้าปฏิเสธข้าก็ไม่ว่า แต่เหตุใดถึงหยาบคายกับข้าเช่นนี้!”
นางจงใจยั่วยุเพิ่มเติมโดยการหยิบลูกตาบนถาดออกแล้วยัดเข้าไปในปากสีแดงเข้มของนาง ก่อนจะเคี้ยวมันอย่างรุนแรงด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ
จากนั้นดวงตาของนางก็กวาดไปรอบ ๆ แล้วพูดอย่างเย้ยหยัน “ของเหล่านี้อร่อยยิ่งนัก จ้าวบรรพตเถา เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่ามันเป็นอาหารไร้มโนธรรมไม่ควรแก่การแตะต้อง คำพูดของเจ้ามันไม่เกินหน่อยหรืออย่างไร?”
“มาทางนี้เถิด จ้าวบรรพตเถาได้รับการชี้แนะจาก ‘เซียนอมตะ’ ผู้หนึ่งมา จนเส้นทางแห่งการฝึกตนพัฒนาไปอีกขั้น มันไม่แปลกหากเขาจะคิดว่าตนเองแตกต่างจากเรา”
ไม่ไกลนัก คางคกสิบสามเยาะเย้ย “ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีราชากลืนสมุทรคอยหนุนหลังจนหยิ่งจองหองลืมเลือนสหายเก่าอย่างเราไปหมดสิ้น!”
ใบหน้าของเถาชิงซานมืดหม่น เขารู้ดีว่าขณะนี้มีดวงตามุ่งร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนมองมายังตน
“ได้เซียนอมตะชี้แนะ…”
สนมซานซิ่วพึมพำ ดวงตาสีฟ้าราวกับเปลวเพลิงของนางสว่างวาบขึ้นในทันใด “จ้าวบรรพตเถา เนื่องจากเซียนอมตะผู้นั้นได้ชี้แนะให้เจ้าเห็นเส้นทางการฝึกฝน เช่นนั้นเจ้าช่วยชี้ทางสว่างให้ข้าบ้างจะได้หรือไม่?”
สายตาจากบริเวณใกล้เคียงซึ่งเต็มไปด้วยความโลภจับต้องมายังเถาชิงซานในทันที
พวกเขาส่วนใหญ่ได้ยินมาแล้วว่าจ้าวบรรพตเถาได้รับการสอนสั่งจากเซียนอมตะท่านหนึ่งจนสามารถเดินบนเส้นทางฝึกตนที่แท้จริงได้
นี่เป็นสิ่งล่อใจที่ไม่อาจต้านทานได้สำหรับปีศาจและอมนุษย์เหล่านี้
ผู้ใดบ้างไม่อยากเป็นผู้ฝึกตนอันแท้จริง?
“อย่าได้กังวลไปทุกคน ในความคิดของข้า ด้วยจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และใจอันกว้างดั่งมหาสมุทรของจ้าวบรรพตเถา ข้าเชื่อว่าในงานชุมนุมเบิกสวรรค์คืนนี้ เขาจะต้องนำวิธีการฝึกฝนออกมาอย่างแน่นอนเพื่อแบ่งปันต่อพวกเราจนครบทั้งหมด!”
ไม่ไกลออกไป พังพอนเฒ่า ‘จ้าวภูผาเหลือง’ กำลังยิ้มอย่างชั่วร้าย ดวงตาสีเขียวของมันกะพริบถี่ยิบอย่างเย้ยหยัน
“จริงงั้นหรือ!”
“ยอดเยี่ยมนัก!”
“ฮ่า ๆ เช่นนี้ข้าขอขอบคุณจ้าวบรรพตเถาล่วงหน้าแล้ว!”
มีเสียงหัวเราะดังระงมไปทั่วบริเวณ
สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของเถาชิงซานยิ่งดูน่าเกลียด ด้วยความโกรธและรำคาญอย่างยิ่ง เขาจึงคิดจะเอ่ยปากหักล้าง
ทว่าซูอี้กลับส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า “ตัวตนเหล่านี้ต่างตั้งเป้าไว้ที่เจ้าแล้ว มันไม่มีประโยชน์ใดที่จะพูดให้เปลืองคำ”
เถาชิงซานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างขมขื่นว่า “มันเป็นความผิดของผู้น้อยเองที่ไม่ระวังตน ในตอนนั้นผู้น้อยมีความสุขมากจนเกินไปจึงบังเอิญทำให้เรื่องของท่านเซียนอมตะที่สอนวิธีการฝึกฝนแก่ข้ารั่วไหล ชักนำภัยพิบัติมาสู่ตนอย่างไม่สมควร”
“อย่าได้คิดมาก” ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย
ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ ท่าทางของเขาสงบนิ่งหาได้ใส่ใจต่อเหล่าอมนุษย์แม้แต่น้อย
ตอนนี้เองที่หนิงซือฮวาตระหนักว่าเถาชิงซานผู้นี้ได้รับการ ‘รู้แจ้ง’ โดยซูอี้!
“จ้าวบรรพตเถา สหายสองคนนี้เป็นใครกัน ทำไมข้าถึงไม่เคยพบพวกเขามาก่อน?”
สนมซานซิ่วที่ยืนอยู่ไม่ไกลถามด้วยรอยยิ้ม
เถาชิงซานเริ่มเห็นอีกฝ่ายไม่เข้าตา ดังนั้นเขาจึงตบโต๊ะทันทีและตวาดอย่างเดือดดาล “หาใช่เรื่องของเจ้าไม่! จงไปให้พ้นหน้าข้า!”
ความครึกครื้นในบริเวณใกล้เคียงสงบลงทันที หลายสายตาหันมามองเพื่อดูเขา
ใบหน้าของสนมซานซิ่วแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดอย่างฉับพลัน
แต่ทันใดนั้นเสียงหัวเราะดังก้องขึ้นกลางลาน
“จ้าวบรรพตเถา เหตุใดเดี๋ยวนี้เจ้าฉุนเฉียวง่ายถึงเพียงนี้กัน? แต่เอาเถอะ วันนี้ทุกคนเป็นแขกของข้าอูหวนผู้นี้ ดังนั้นแล้วอย่าได้ทะเลาะกันอีกเลย”
ทุกสายตาต่างหันไปจับจ้องเจ้าของเสียงในทันที
ในระยะไกล ทั้งหมดแลเห็นชายผู้หนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีเงินและมงกุฎขนนกบนศีรษะค่อย ๆ ย่างก้าวเข้าใกล้ยังแท่นบูชาสีดำตรงกลางลานกว้าง
ทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยพลังงานสีดำซึ่งพลุ่งพล่านราวกับเพลิงโหม รูม่านตาของเขาเป็นสีแดงเข้ม สีหน้าหาได้แยแสสิ่งใดไม่
แน่นอนชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าเมืองเก้าคด ‘อูหวนสุ่ยจวิน’!