บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 198 หลิงเสวี่ยอยู่ที่ใด
ตอนที่ 198: หลิงเสวี่ยอยู่ที่ใด?
ฟ้าแลบสีเลือดครึ้มน่าเกรงขามเปล่งแสงแสบตา เผยกลิ่นอายการทำลายล้างที่แปลกประหลาดและน่าหวาดกลัว
ชั่วพริบตาหนึ่ง หนิงซือฮวาสัมผัสได้ถึงอันตราย นางสะบัดแขนเสื้อ และในขณะเดียวกันก็มีม่านกระจกเหลืองทองสลักลายเมฆติดกันปรากฏออกมา
ปัง!
ม่านกระจกเหลืองทองระเบิดแตกเป็นเสี่ยง ๆ เศษชิ้นส่วน กระจัดกระจาย
หนิงซือฮวาหลบออกไปทันที ใบหน้าที่อ่อนเยาว์เผยความเคร่งขรึมที่หาได้ยากออกมา
ม่านกระจกเหลืองทองของนางนั้นเป็นอาวุธวิญญาณที่ล้ำเลิศชิ้นหนึ่ง กลับไม่คิดเลยว่าจะถูกทำลายอย่างง่ายดายเช่นนี้!
ด้วยสิ่งนี้จึงทำให้นางดูออกได้ทันที ว่าค่ายกลขนาดใหญ่รอบลานพิธี แข็งแกร่งไม่แพ้การโจมตีของผู้ฝึกตนระดับวิถีต้นกำเนิดเลย
“ไม่คิดว่าจะถูกขวางไว้…”
อูหวนสุ่ยจวินตกตะลึง ในที่สุดก็รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของหนิงซือฮวา จึงไม่ลังเลที่จะเปิดการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
“ย่าห์! ย่าห์! ย่าห์!”
เขาตะโกนเสียงดังติดต่อกันออกมา ชุดพิธีลายงูเหลือมสีเงินพลิ้วไหว ธงสีเลือดกวัดแกว่งไปมา พลันประตูทองสัมฤทธิ์เก้าบานรอบลานพิธีเสียงดังสั่นสะเทือน ราวกับรูปสัญลักษณ์แปลกประหลาดแต่ละรูปตื่นขึ้นมาจากความเงียบสงัด และปล่อยการโจมตีที่รุนแรงและแปลกประหลาดที่ทำให้คนกลัวออกมา
มีเสียงสั่นสะเทือนของสายฟ้าสีเลือดดุจคมมีดแวววับร่วงลงมาจากฟ้า มีฝนโลหิตไหลทะลักลงมา ภาพมายาของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวกลายเป็นแสงโลหิตที่ทอดยาวไปในอากาศ…
“ช่างน่าหวาดกลัวนัก!”
เสียงสั่นสะเทือนและเสียงตกใจดังขึ้นในลาน ไม่รู้ว่ามีเหล่าภูตผีปีศาจกี่ตัวที่ตกใจกับเหตุการณ์นี้ พวกมันต่างก็ใจหล่นไปถึงตาตุ่มทันที
แท้ที่จริง พวกมันก็เพิ่งได้เห็นค่ายกลขนาดใหญ่นี้กับตาเป็นครั้งแรก ราวกับเทพเซียนกำลังสำแดงอำนาจบารมีก็ไม่ปาน!
ชั่วพริบตานั้น หนิงซือฮวากลับกลายเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด สัมผัสได้ถึงความยากลำบาก
พรึบ!
ในเสื้อคลุมของนางเปล่งเงาแสงสีครามออกมา รวมตัวกันกลายเป็นง้าวสั้นสีครามที่มีรูปร่างแปลกเล่มหนึ่ง
ยาวสามฉื่อ มีความหนาราวกับแขนเด็ก และปกคลุมด้วยเปลวไฟลายเมฆที่บิดเบี้ยวเลือนรางหนึ่งชั้น คมง้าวดั่งจันทร์แรมสีครามที่แหลมคมแวววาว
ง้าวจันทร์แรมเพลิงคราม!
เมื่ออยู่ในมือของหนิงซือฮวา ง้าวสั้นก็ร่ายรำอย่างสง่างามทันที มันระเบิดภาพมายาเปลวเพลิงสีครามออกมาราวกับความฝัน เปลวไฟลุกลามแวววาว มีกลิ่นอายเผาไหม้ทำลายล้างน่าตกใจ
ฉับพลันนั้น คล้ายกับพลังอำนาจของนางพุ่งทะลวงสูงขึ้นไปอีกขั้น
เคร้ง!
หนิงซือฮวากวัดแกว่งง้าวสั้น จนเห็นคมมีดสีครามพุ่งเข้าไปในอากาศ เปลวไฟระเหยเป็นไอ ชั่วพริบตาหนึ่งก็โจมตีสายฟ้าสีเลือดที่ตรงเข้ามาปะทะแตกกระเจิง
ท่ามกลางแสงฝนกระเด็นไปทุกทิศทาง ร่างบางสั่นไหวเล็กน้อย ทว่านางไม่ตกใจและยอมถอยเหมือนเมื่อครู่ที่จนตรอกเช่นนั้น
และแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงมีสายตาที่เคร่งขรึมเหมือนเดิม
ค่ายกลขนาดใหญ่รอบลานพิธีล้วนหมุนเวียน ปลดปล่อยฟ้าผ่า พายุฝน แสงโลหิต… ราวกับมากมายมหาศาล จู่โจมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง
อานุภาพของพลังนั้น เพียงพอที่จะสังหารปรมาจารย์คนหนึ่งได้อย่างสบาย และแม้ว่าจะมีปรมาจารย์มากมายอยู่ที่นี่ ก็ยากที่จะขัดขวางพลังสังหารราวกับคลื่นยักษ์นี้ได้!
แม้หนิงซือฮวาจะอวดดี แต่นางก็ไม่กล้ามั่นใจขนาดนั้น
ช่วงเวลาดังกล่าว ร่างนางเปล่งประกาย เคลื่อนไหวอยู่ภายในสนามไม่หยุด ราวกับลำแสงภาพมายาที่รวดเร็วว่องไว เร็วจนน่าเหลือเชื่อ และมักจะหลบการโจมตีที่แทบจะเข้ามาอย่างกระชั้นชิดได้หมด
ในส่วนที่หลบไม่ได้จริง ๆ นั้น นางก็แกว่งง้าวสั้นฟันเข้าไป
เมื่อเห็นนางถูกปิดล้อมเอาไว้ จู่ ๆ ทั่วทั้งสนามก็ระเบิดเสียงหัวเราะและโห่ร้องออกมาจนแสบหู
“ผู้หญิงคนนี้เจอกับหายนะแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
“หากชายแก่อย่างข้ายังไม่ตายก่อน ข้าจะต้องแย่งเนื้อของนางมากิน”
“ค่ายกลขนาดใหญ่ของสุ่ยจวินแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ข้ายังสงสัยว่าแม้แต่มีเทพเซียนเดินดินมา ก็ยากที่จะหลบได้และตายอย่างเดียว! หรือว่านี่คือของรางวัลที่ได้รับมาจากการเซ่นไหว้ท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้น?”
เหล่าภูตผีปีศาจยิ่งมีคลื่นอารมณ์โหมซัดขึ้นไปอีก ดวงตาเปล่งประกาย ต่างเริ่มครุ่นคิดภายในใจ หากดำเนินการเซ่นไหว้เมื่อไหร่ ควรจะทำอย่างไรถึงจะได้รับ ‘ของตอบแทน’ จากเทพแห่งความกรุณาผู้นั้น?
แต่เมื่อลองเปรียบเทียบกับครั้งนี้ดูแล้ว สีหน้าของอูหวนสุ่ยจวินกลับน่าเกลียดขึ้นมา แปลกประหลาดใจจนยากที่พูดออกมา
ค่ายกลขนาดใหญ่นี้ ถูกขนานนามว่า ‘เก้าวังสังหารโลหิต’ รวบรวมพลังมาจากลมปราณแม่น้ำต้าฉางกับลมปราณเทือกเขาพันวน ค่ายกลใช้ลักษณะภูมิประเทศตามธรรมชาติของเก้าคดสิบแปดโค้ง และเมื่อหมุนเวียน มันก็จะสามารถสังหารเทพเซียนเดินดินได้ตลอดเวลา!
หลายร้อยปีมานี้ อูหวนสุ่ยจวินมาตั้งรกรากที่เมืองเก้าคด อาศัยค่ายกลแห่งนี้ พูดได้ว่าไม่เคยไม่ชนะเลยสักครั้ง และไม่เคยเผชิญกับภัยคุกคามใด ๆ เลย
ทว่าเขากลับไม่คิดเลยว่า ภายใต้สถานการณ์ใช้กำลังทั้งหมดในการหมุนเวียนค่ายกลขนาดใหญ่ กลับไม่สามารถฆ่าผู้หญิงที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์คนนั้นได้!!
“ไม่สนว่าจะเป็นใครหน้าไหน ก็ต้องตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด!”
นัยน์ตาอูหวนสุ่ยจวินฉายประกายความโหดเหี้ยม หันธงที่อยู่ในมือพ่นละอองน้ำสีเลือดออกมาทันที ทำให้พลังปราณในร่างกายอ่อนแอลงไปสามส่วน
และเริ่มจากตอนนี้ไป อานุภาพของเก้าวังสังหารโลหิตก็แข็งแกร่งขึ้นมาทันที!
ตูม!
พายุ สายฟ้า ดิน ไฟ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว พลังค่ายกลขนาดใหญ่ที่หลากหลายลานตาราวกับเขื่อนน้ำขนาดใหญ่แตกออก ถึงขนาดที่ปกคลุมไปทั่วร่างหนิงซือฮวา
“ไม่ดีแน่!”
หนิงซือฮวาหรี่ตาที่สดใสในทันที รู้สึกว่าไม่มีทางหลบหนีได้อีกแล้ว หากไม่ใช้ไพ่ไม้ตาย มีหวังถูกค่ายกลขนาดใหญ่นี้ปิดล้อมจนตายแน่!
เพียงแต่…
เมื่อนึกถึงตอนที่นางซ่อนไพ่ไม้ตายไว้หลายปี กลับต้องนำออกมาใช้ในที่สกปรกแห่งนี้ ในใจรู้สึกรับไม่ได้ขึ้นมา!
“เมื่อก่อนแข็งแกร่งแล้วอย่างไร? ถึงอย่างไรข้าในตอนนี้ก็เป็นแค่คนธรรมดาในวิถียุทธ์ก็เท่านั้น…”
หนิงซือฮวาถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ
ใบหน้าที่งดงามลึกซึ้งของนาง เผยประกายความเด็ดเดี่ยวออกมา
และทำให้เหล่าอันธพาลพวกนี้ได้รู้จัก ว่าฝีมือที่แท้จริงของเทพเซียนนั้นคืออะไร!
ระหว่างที่กลัดกลุ้มอยู่นั้น ดาบขนาดเล็กสีแดงที่มีรูปร่างเหมือนปลา ปรากฏอยู่ในมือข้างขวาของนาง ดาบเล็กใสแวววาว มีขนาดเล็กราวกับตะเกียบไม้ไผ่ ตรงด้ามของดาบสลักคำว่า ‘ปลาหลีฮื้อแดง’ ไว้ด้วยตราประทับโบราณ
“เจ้าตำหนักไม่ต้องสนข้า ท่านรีบไปเถอะ!”
ไม่ไกลนัก จู้กู่ชิงที่ถูกมัดล่ามโซ่ไว้หลายชั้น เมื่อทราบว่าหนิงซือฮวาตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย จึงตะโกนร้องออกมาเสียงดัง
“ช่างน่าขันนัก วันนี้ใครก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”
อูหวนสุ่ยจวินพ่นลมหายใจเย็นออกมา แววตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
การหมุนเวียนค่ายกลขนาดใหญ่ครั้งนี้ สูญเสียพลังไปมาก เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะสามารถฟื้นคืนพลังขึ้นมาเล็กน้อยได้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาโกรธแค้นมาก
หนิงซือฮวาไม่ลังเลสิ่งใดอีก นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ เริ่มขยับดาบเล็กที่มีรูปร่างเหมือนปลาสีแดง กำลังจะร่ายคาถาออกไป
ในขณะนั้นเอง
ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ดาบเล็กนี่ไม่เลวเลย นำมาใช้ที่นี่ก็ออกจะเป็นการทำลายสิ่งล้ำค่าของตามอำเภอใจไปหน่อย”
น้ำเสียงที่สบาย แฝงไว้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยดังขึ้น
หนิงซือฮวาหันกลับไปทันที เห็นซูอี้ซึ่งสวมชุดสีเขียวเข้มที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ข้าง ๆ นางตั้งแต่เมื่อใด
“เจ้า…”
หนิงซือฮวาตกใจ
ตูม!
พลังราวกับกระแสน้ำที่เต็มท้องฟ้าม้วนเข้ามา ขัดขวางคำพูดของนาง
“ให้ข้าจัดการเอง”
ขณะที่ซูอี้เอ่ย ก็แกว่งดาบบงการฟ้าดินที่อยู่ในมือเบา ๆ
ราวกับมีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นปรากฏออกมา พลังกระแสน้ำบ้าคลั่งสุดลูกหูลูกตานั้น เหมือนกับถูกจับเอาไว้ทันที และมันก็ชะงักงันอยู่ตรงครึ่งทางนั้น
จากนั้น
ตูม!
เสียงระเบิดที่สั่นสะเทือนไปทั่วฟ้า พลังที่ปกคลุมเต็มท้องฟ้าระเบิดเสียงดังครั่นครืน กลายเป็นแสงฝนสีเลือดกระจายไปทั่วฟ้า
ท่ามกลางแสงฝนที่สาดลงมา ร่างของซูอี้กับหนิงซือฮวาดูโดดเด่นสะดุดตานัก
ทั่วทั้งลานล้วนเงียบสงัด ไม่มีเสียงนกเสียงกาใด ๆ ทั้งสิ้น
เหล่าภูตผีปีศาจที่กำลังโห่ร้องและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ในเวลานี้ราวกับถูกอะไรบางอย่างมาขวางที่ลำคอไว้ ทั้งหมดล้วนอ้าปากค้าง เบิกตากว้าง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
นี่มันเรื่องอะไรกัน!?
“หรือว่าเมื่อครู่ชายหนุ่มผู้นี้จะระเบิดพลังขัดขวางการโจมตีของค่ายกลขนาดใหญ่นี้?”
เมื่อภูตผีปีศาจบางส่วนเห็นซูอี้มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างหนิงซือฮวา ก็เข้าใจขึ้นมาอย่างคลุมเครือ แต่ทว่าก็ไม่กล้าที่จะเชื่อ
หนิงซือฮวาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจไปชั่วครู่หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้ทำได้อย่างไร!?
“ซู… ซูอี้…”
ในที่ไกล ๆ จู้กู่ชิงเหม่อลอยอยู่ที่นั้น จิตใจนางคล้ายได้รับแรงกระเทือนจากภาพตรงหน้า
ก่อนหน้านี้นางรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ภายในใจกระสับกระส่ายเหลือเกิน กังวลว่าเจ้าตำหนัก หนิงซือฮวาจะเจอกับหายนะ
นึกไม่ถึงเลยว่า แค่ชั่วพริบตาเดียว อันตรายทั้งหมดก็มลายหายไป!
แล้วเป็นซูอี้ที่ปรากฏร่างออกมาอยู่ข้าง ๆ หนิงซือฮวา
เหตุใดจู้กู่ชิงจะไม่เข้าใจ ว่าเมื่อครู่ซูอี้คือคนที่พลิกสถานการณ์ในช่วงเวลากระชั้นชิดนั้น?
ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว อูหวนสุ่ยจวินมึนงงสับสนเล็กน้อย สีหน้าตึงขึ้น เขาไม่นึกเลยว่า จะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเช่นนี้
“ตายซะ!”
อูหวนสุ่ยจวินร้องตะโกนออกมาอย่างร้อนใจ แกว่งธงสีเลือดที่อยู่ในมืออย่างบ้าคลั่งทันที
ทว่า ‘เก้าวังสังหารโลหิต’ ที่อยู่รอบ ๆ ลานพิธีกลับไม่ตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้น
เหล่าภูตผีปีศาจต่างก็นิ่งอึ้งไป นี่มันคือเหตุการณ์อะไรกัน?
ในบรรยากาศที่เงียบสงัด มีแค่อูหวนสุ่ยจวินที่ร้องตะโกนคำว่า ‘ตาย’ ออกมา ทว่าแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแปลก ๆ บางอย่าง
“ตายเสียเถอะ!!”
ราวกับอูหวนสุ่ยจวินไม่อยากจะเชื่อ เค้นพลังทั้งหมด แกว่งธงสีเลือดนั้นอีกครั้ง
ประตูทองสัมฤทธิ์เก้าบานที่ล้อมรอบลานพิธีนั้นเงียบสงัด ภูตผีปีศาจที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เงียบทั้งหมด บรรยากาศที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแปลก ๆ ยิ่งหนักข้อขึ้นไปอีก
เป็นในตอนนี้เอง ท่าทางแกว่งธงของอูหวนสุ่ยจวิน กลับกลายเป็นเหมือนกับลิงตัวหนึ่งที่กำลังเล่นกลองเขย่าอยู่ ช่างตลกขบขันนัก
แม้แต่หนิงซือฮวาก็แอบยิ้มเยาะ หรือว่าชายผู้นี้จะยังมองไม่ออก ว่าการควบคุมค่ายกลขนาดใหญ่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง และถูกซูอี้ยึดกุมไปแล้ว?
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…”
ใบหน้าอูหวนสุ่ยจวินเต็มไปด้วยความโกรธปนตกใจ ไม่อาจรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้
“ทักษะการจัดวางค่ายกลขนาดใหญ่นี้ค่อนข้างหยาบเกินไป เห็นได้ชัดว่าท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ของเจ้าไม่ได้ถ่ายทอดความสามารถที่แท้จริงให้กับเจ้า”
ซูอี้เอ่ยอย่างเฉยเมย
“ท่านเทพ…”
อูหวนสุ่ยจวินนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนราวกับถูกเตือนสติ ฉับพลันนั้นเขาเข้าจับจับจู้กู่ชิงที่อยู่ด้านข้างไว้ทันที
เห็นได้ชัดว่าเขายังตั้งใจที่จะใช้จู้กู่ชิงในการเซ่นไหว้ เพื่อเชื่อมประสานพลังที่มาจากท่านเทพแห่งความกรุณา
แต่ทันทีที่ยื่นมองออกไป ก็มีสายฟ้าสีแดงฉานราวกับคมมีดมาจากที่ไหนสักแห่ง ผ่าลงมาตัดแขนขวาขาดออก!
อูหวนสุ่ยจวินเจ็บปวดนัก บนใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า… เจ้าสามารถควบคุมเก้าวังสังหารโลหิตได้อย่างไร!?”
ในตอนนี้ เหล่าภูตผีที่อยู่รอบ ๆ ลานพิธีต่างตกใจกลัว พลันสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พวกมันรู้สึกมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
ตอนนี้ ประตูทองสัมฤทธิ์ปิดกั้นล้อมรอบลานพิธี ก็เท่ากับว่าพวกเขาที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก …อยากจะหนีก็หนีออกไปไม่ได้!
“ข้าเคยพูดว่าจะกวาดที่นี่ให้ราบเรียบ…”
ซูอี้มองดาบบงการฟ้าดินที่อยู่ในมือ และเอ่ยทันที “วิธีที่จะประหยัดกำลังมากที่สุด ก็ต้องยืมใช้ค่ายกลนี้”
“กวาดล้างที่นี่…” อูหวนสุ่ยจวินเบิกตากว้าง เอ่ยด้วยความโกรธ “ที่แห่งนี้ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่แนะนำให้สร้าง เจ้าทำเช่นนี้ จะต้องได้รับการลงโทษจากท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่แน่!”
ซูอี้แกว่งดาบบงการฟ้าดินที่อยู่ในมือเบา ๆ
ฉัวะ!
มีสายฟ้าสีเลือดเกิดขึ้นมาหนึ่งสาย แม้อูหวนสุ่ยจวินจะฝึกฝนบำเพ็ญเทียบเท่าปรมาจารย์ขั้นสาม ทว่าจะสามารถต้านทานอานุภาพของค่ายกลขนาดใหญ่นี้ได้อย่างไรกัน
ทันใดนั้น
เปรี้ยง!
เขาถูกผ่าจนเป็นควันสีดำ ร่างกลายเป็นพิการเลือนราง ราวกับระเบิดแยกออกเป็นเสี่ยง ๆ ทันที และหมดสภาพอยู่บนพื้น ชักดิ้นไปมาไม่หยุด
เมื่อเห็นภาพนี้กับตา เหล่าภูตผีปีศาจบริเวณรอบ ๆ ตะลึงตาค้าง ใบหน้าแต่ละคนเหมือนกับสีเหลืองคล้ายดิน วิญญาณหลุดออกจากร่าง
ซูอี้ไม่สนใจอูหวนสุ่ยจวินที่ได้รับบาดเจ็บหนักเกือบตายอีก เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าจู้กู่ชิง ยกดาบในมือขึ้นและฟันลงไปที่โซ่ซึ่งมัดอยู่บนร่างนางจนขาดออก
“หลิงเสวี่ยอยู่ที่ใด?”
ซูอี้ถามขึ้น