บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 199 พี่เขยพาเจ้าหนี
ตอนที่ 199: พี่เขยพาเจ้าหนี
เหวินหลิงเสวี่ย?
หนิงซือฮวาตะลึงไปชั่วพักหนึ่งจึงเข้าใจแล้วว่าตนเองเข้าใจผิดไปตั้งแต่แรกเริ่ม
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้หลงใหลในความสวยของจู้กู่ชิง แต่ทว่ามาเพื่อช่วยน้องสาวภรรยาของเขาต่างหาก!
ทว่าเขาตัดขาดสัมพันธ์กับเหวินหลิงเจาไปแล้วไม่ใช่หรือ?
เหตุใดจึงเป็นห่วงความปลอดภัยของเหวินหลิงเสวี่ยถึงเพียงนี้เล่า?
เมื่อนึกถึงท่าทีกังวลที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดตอนที่ทราบข่าวขณะที่อยู่เรือนพำนักหินศิลาในคืนวานแล้ว แววตาของหนิงซือฮวาเปลี่ยนไปดูพิกลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
หรือว่าผู้ชายคนนี้คิดจะถีบหัวเหวินหลิงเจากระเด็น เพื่อจะไปแต่งงานกับน้องสาวของนางแทนหรอกกระมัง?
“เหวินหลิงเสวี่ยถูกผีเฒ่าตนนี้จับตัวไป ตอนนี้ถูกกักขังอยู่ในจวนของมัน โดยให้บุตรบุญธรรมฮูเหยียนเป้าเป็นผู้เฝ้า”
จู้กู่ชิงที่หนีรอดมาได้เล่าความอย่างรวดเร็ว “ใช่แล้ว ฮูเหยียนเป้าเป็นบุตรชายของฮูเหยียนไห่ หนึ่งในผู้นำสาขาย่อยประจำแคว้นกุ่นของพรรคมารหยิน ขณะที่พวกเรานั่งเรือกลับสู่มหานครกุ่นโจว ฮูเหยียนเป้าผู้นี้ก็หมายตาหลิงเสวี่ยเข้าแล้ว…”
ซูอี้ตัดบท “ถ้าเป็นเช่นนี้ เรื่องเลวร้ายในครั้งนี้ล้วนเป็นฝีมือของฮูเหยียนไห่ที่ก่อเหตุขึ้น?”
จู้กู่ชิงพยักหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “ถูกต้อง แรกเริ่มเดิมทีข้ามองที่มาของคน ๆ นั้นไม่ออก…”
ซูอี้ไหนเลยจะมีใจอดทนรับฟังเรื่องเหล่านี้ เขาหมุนตัวไปกระชากตัวอูหวนสุ่ยจวินที่อยู่บนพื้นขึ้น แล้วกล่าวคำออก “พาข้าไปจวนของเจ้า”
อูหวนสุ่ยจวินอ่อนกำลังลงไปมากตั้งนานแล้ว ไม่มีแรงกำลังจะต่อกรได้อีก
แต่เมื่อได้ยินว่าซูอี้จะไปช่วยเหวินหลิงเสวี่ยก็เกิดนึกแผนการได้ในทันใด แล้วกล่าวคำออก “หากเจ้ารับปากว่าจะไม่ฆ่าข้า… อ๊ากก!!”
ยังพูดไม่จบ อูหวนสุ่ยจวินก็เจ็บปวดจนชักกระตุกขึ้นมา ร่างวิญญาณราวกับโดนไฟแผดเผา เจ็บปวดจนไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้
“ข้าพูดแล้ว ข้าพูดแล้ว!”
อูหวนสุ่ยจวินยอมจำนนแต่โดยดี สายตาที่มองดูซูอี้แฝงไว้ด้วยความหวาดระแวงเกรงกลัว
“พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้”
ซูอี้มองไปที่หนิงซือฮวาสักครู่ จากนั้นจึงจากไป
ภูตผีปิศาจตนใดกันจะกล้าขัดขวางอีก?
ต่างก็พากันถอยหลีกทางให้ กลัวเพียงว่าหากขวางทางจะถูกซูอี้ฆ่าโดยไม่เกรงใจเท่านั้น
ครืน!
ประตูโลหะสัมฤทธิ์ขนาดมหึมาบานหนึ่งจมดิ่งลงไป หลังจากที่ซูอี้พาอูหวนสุ่ยจวินจากไปแล้ว ประตูบานนี้ก็ลอยตัวขึ้นมาขวางอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง
ภาพที่เห็นทั้งหมดนี้ทำให้จิตใจของภูตผีปิศาจที่อยู่ในเหตุการณ์อยู่ในสภาพสลดหดหู่ยิ่งนัก
——
ในจวนใหญ่โตโอ่อ่างดงามแห่งหนึ่ง
โคมไฟสีขาวแต่ละดวงส่องแสงสีเขียวอ่อน ๆ ส่องสะท้อนให้เห็นเงาอันน่าสยดสยอง
ในห้อง ๆ หนึ่ง
“แม่นางเหวิน ที่นี่คือเมืองเก้าคดของหนึ่งในบิดาบุญธรรมของข้า อย่าว่าแต่จู้กู่ชิงผู้เป็นอาจารย์ของเจ้าเลย แม้กระทั่งบรรดาอ๋องทั้งหลายมาก็ยังต้องตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
ฮูเหยียนเป้านั่งหัวเราะอารมณ์ดีอยู่ตรงนั้น มองดูสาวน้อยงดงามผู้มีใบหน้าอ่อนหวานเอิบอิ่มที่อยู่ไม่ไกลนัก แล้วสายตาเปลี่ยนไปเกิดความเร่าร้อนขึ้นอย่างไม่ตั้งตัว
ฉับพลัน สีหน้าของเขาก็เคร่งเครียด กล่าวน้ำเสียงจริงจัง “แต่เจ้าจงวางใจได้ ขอเพียงเจ้ารับปากว่าจะเป็นภรรยาของข้า ข้ารับรองว่าไม่เพียงแต่จะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ ทั้งยังจะสมรสรับเจ้าเข้ามาอย่างสมหน้าสมเกียรติ!”
เหวินหลิงเสวี่ยสีหน้าขาวซีด นิ่งเงียบไม่ตอบ แววตาสีหน้ามีแต่ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า หม่นหมอง รันทดใจยิ่งนัก
“เฮ้อ ช่างเถอะ”
ทันใด ฮูเหยียนเป้าก็ถอนใจลึก ๆ ทีหนึ่ง แล้วกล่าวคำออก “ข้าไม่บีบบังคับใจเจ้า ขอเพียงเจ้าดื่มชาโสมถ้วยนี้แล้ว วันพรุ่งนี้ข้าก็จะพาเจ้าออกไปจากที่นี่!”
พูดจบเขาก็ยื่นถ้วยหยกบนโต๊ะที่รินชาโสมจนเต็มไปให้ กล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยเสียเหลือเกิน “สองวันมาแล้วที่เจ้าไม่ได้กินอะไรเลย รีบดื่มเสีย วันพรุ่งนี้จึงจะมีเรี่ยวแรงหนีไปกับข้า”
เหวินหลิงเสวี่ยยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบ
เห็นสภาพเช่นนี้แล้ว ในที่สุดฮูเหยียนเป้าก็ทำใจเย็นต่อไปไม่ไหวอีก ตบโต๊ะฉาดใหญ่ในทันใด และกล่าว “เจ้าเป็นผู้หญิงที่ข้าฮูเหยียนเป้าชอบ ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าทำร้ายตัวเองเช่นนี้เป็นอันขาด!”
เขาถือถ้วยชาเดินตรงมาหา ยื่นไปติดริมฝีปากของเหวินหลิงเสวี่ย แล้วกล่าวคำออก “เชื่อฟังแต่โดยดี ดื่มเสีย ไม่เช่นนั้นข้าจะลงมือป้อนเจ้าด้วยตัวเอง”
เหวินหลิงเสวี่ยยังคงเพิกเฉยไม่ใส่ใจดังเดิมราวกับไม่ได้ยินเสียงพูด
ประกายแห่งความโหดเหี้ยมสว่างขึ้นในสายตาของฮูเหยียนเป้า เขายกมือเตรียมจะบีบปากของเหวินหลิงเสวี่ย
ขณะนี้เอง…
ปัง!
ประตูห้องที่ปิดสนิทถูกถีบให้เปิด
“ให้ตายสิ ไอ้สารเลวคนใดกัน…”
ฮูเหยียนเป้าสะดุ้งตกใจตัวสั่นงันงกไปทั้งตัว ถ้วยชาในมือเกือบจะร่วงหล่นกับพื้น เขาตกใจจนร้องด่าออกมา
พอหมุนตัวมองเห็นคนที่มาเท่านั้น ถึงกับนิ่งตะลึงไป “อ้าว ท่านพ่อบุญธรรม!? เหตุใดจึง…”
เห็นอูหวนสุ่ยจวินถูกชายหนุ่มชุดเข้มหิ้วมาราวกับลูกไก่ตัวน้อย ฮูเหยียนเป้าเกือบจะคิดไปว่าตัวเองตาลายไปแล้วเสียอีก
บิดาบุญธรรมเป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองเก้าคดแห่งนี้ สิงสถิตอยู่ตรงนี้เป็นเวลานานร้อยกว่าปี ไม่เคยมองบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์อยู่ในสายตา เหตุใดจึงอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปเสียได้?
เกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ขึ้น เหวินหลิงเสวี่ยกลับยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นราวกับว่าไม่เห็นไม่ได้ยินสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น
บนใบหน้างดงามขาวซีดของสาวน้อยเต็มไปด้วยความอ่อนล้าและเฉยชา ซูอี้เห็นเช่นนี้แล้วรู้สึกตระหนกขึ้นมา
“หลิงเสวี่ย ข้ามาช้าไป”
ซูอี้ถอนใจเบา ๆ รู้เช่นนี้แต่แรก ไม่ควรให้เหวินหลิงเสวี่ยกับจู้กู่ชิงนั่งเรือออกมาตั้งแต่แรกแล้ว
ร่างแบบบางของเหวินหลิงเสวี่ยสั่นสะท้านขึ้นมาน้อย ๆ ในที่สุดก็ได้สติกลับมา ด้วยสัญชาตญาณดวงตาทั้งสองทอดมองไป
จากนั้นจึงมองเห็นร่างของคนที่คุ้นเคย
นางนิ่งไปสักครู่ราวกับไม่อยากจะเชื่อ พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงระทวย “พี่เขย เป็นพี่เขยจริง ๆ หรือ?”
ซูอี้พยักหน้า กล่าว “เจ้าไม่ได้มองผิด นี่ไม่ใช่ความฝัน อย่าได้กลัว ข้ามาพาเจ้าหนีออกไปแล้ว”
น้ำเสียงอ่อนโยน เต็มไปด้วยความสงสารเอ็นดู
“พี่เขย…”
ฉับพลันก็เห็นเหวินหลิงเสวี่ยลุกขึ้น ร่างสูงเพรียวแบบบางสั่นสะท้านเล็กน้อย น้ำตาเม็ดใสร่วงออกมาเป็นทาง ไหลเลื่อนลงมาจากสองแก้มงดงามเนื้อละเอียดผิวอ่อนนุ่ม หยดน้ำตาเป็นประกายใสแจ๋ว ร่วงหล่นลงมาเสียงดังเปาะแปะ
เห็นเช่นนี้แล้ว ในใจของซูอี้รู้สึกทนไม่ได้
นับตั้งแต่เข้าสู่ตระกูลเหวินจนถึงตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสาวน้อยสดใสน่ารักผู้เบิกบานแจ่มใสมาโดยตลอดร้องไห้น้ำตาไหลพรากเช่นนี้
ส่วนฮูเหยียนเป้าราวกับเพิ่งนึกลำดับเหตุการณ์ได้ สีหน้าเปลี่ยนไป คิดจะเอื้อมมือจับเหวินหลิงเสวี่ยเพื่อจับอีกฝ่ายเป็นตัวประกัน
“คุกเข่าลง”
เสียงราบเรียบ ทว่าแฝงด้วยพลัง ‘เพลงดาบมหามิติพราก’ ของซูอี้ดังขึ้น
ฮูเหยียนเป้ารู้สึกราวกับมีเสียงดังครืนในสมอง ราวกับหัวจะระเบิดออก ร่างทรุดฮวบ สองเข่ากระแทกกับพื้น ไม่มีแรงกำลังจะต่อต้านแต่อย่างใด
“ในน้ำชาถ้วยนี้มีสิ่งใดผสม?”
ซูอี้เดินมาข้างหน้า แย่งถ้วยชาจากมือของฝ่ายตรงข้าม
“ชา… ชาโสม”
ฮูเหยียนเป้าหวาดกลัวอย่างหนัก ตอบเสียงสั่น “ใต้เท้าท่านนี้ บิดาของข้าคือฮูเหยียนไห่แห่งพรรคมารหยิน…”
“ดื่มให้หมด” ซูอี้ยื่นชาโสมไปให้
ฮูเหยียนไห่สะดุ้งจนสั่นระริกไปทั้งตัว แสดงสีหน้าลำบากใจออกมา
เอื๊อก!
ดาบบงการฟ้าดินขยับ หูขวาของฮูเหยียนเป้าก็ถูกเชือด น้ำเลือดสาดกระเซ็น เจ็บจนดิ้นทุรนทุรายพรวดพราดกับพื้นร่ำร้องโอดครวญ
“โอกาสครั้งสุดท้าย ดื่มมันเสีย” ซูอี้ถือชาในมือ
“ข้าดื่ม ข้าดื่มแล้ว!”
ฮูเหยียนเป้ายกถ้วยชาขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด จากนั้นกล่าวเสียงสั่น “ใต้เท้า ได้โปรดอย่าข้าฆ่าเลย ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้นจริง ๆ ข้าสามารถสาบานต่อฟ้าได้!”
ขณะที่เพิ่งพูดจบ หน้าของเขาก็แดงก่ำขึ้นมา ดวงตาแดงระเรื่อ ลมหายใจก็หนักหน่วงและรุนแรงขึ้นด้วย
“ยาปลุกกำหนัด…”
ดวงตาของซูอี้ยิ่งเย็นชามากขึ้น ความโหดเหี้ยมผุดทะลุขึ้นกลางหัวใจ
หากว่าตนเองมาช้าไปกว่านี้เพียงนิดเดียว ผลที่ตามมาแทบไม่อยากจะคิด!
ปัง!
ซูอี้โยนตัวอูหวนสุ่ยจวินไปกองด้านหนึ่งกับพื้น หลังจากนั้นเดินตรงไปจับแขนของเหวินหลิงเสวี่ย กล่าว “หลิงเสวี่ย พวกเราออกไปกันก่อน”
“พี่เขย ข้า…”
สภาพร่างกายของเหวินหลิงเสวี่ยอ่อนล้าเกินไป เพิ่งก้าวเดินไปได้เพียงหนึ่งก้าวก็แทบจะล้มแล้ว
“พักผ่อนให้ดีก่อน ข้าแบกเจ้าออกไป” ซูอี้พูดพลางพยุงร่างของสาวน้อยขึ้นหลัง
แบกขึ้นหลังแล้วจึงเดินออกจากห้อง
“ใครกล้าย่างเท้าออกจากประตูบานนี้ไปแม้แต่ครึ่งก้าว ข้าจะฆ่าให้ตาย”
ซูอี้ยืนอยู่ที่นอกประตู เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
ในห้อง อูหวนสุ่ยจวินผู้หมดเรี่ยวแรงกำลังนิ่งตะลึง พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
ฉับพลันทุกอย่างตรงหน้าเขาก็มืดมิด ร่าง ๆ หนึ่งกระโจนเข้ามากดทับเขาติดพื้น
“ไอ้สารเลว! เจ้าจะทำอะไร?”
อูหวนสุ่ยจวินตื่นตระหนก รู้ได้ในทันใดว่าเป็นฮูเหยียนเป้า
“สาวงาม ข้าร้อน… ข้าร้อน…”
แก้มสองข้างของฮูเหยียนเป้าแดงก่ำ สายตาเต็มไปด้วยอารมณ์พิศวาทเร่าร้อนประดุจเปลวไฟ พลังปะทุขึ้นเต็มร่างอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จับอูหวนสุ่ยจวินกดติดพื้นอยู่ตรงนั้น
“ให้ตายสิ!”
หัวใจของอูหวนสุ่ยจวินเต้นตุบ ๆ นึกขึ้นได้ว่ายาเร้ากำหนัดที่ฮูเหยียนเป้าดื่มไปเมื่อสักครู่นั้นมีฤทธิ์รุนแรงเกินทน จึงทำให้เขาไร้ซึ่งสติ มองเห็นภาพลวงตา
“ถอยไป! ถอยไปเดี๋ยวนี้!”
อูหวนสุ่ยจวินก็ตระหนกขึ้นมาแล้วเช่นกัน แผดเสียงร้องด่า พยายามจะขัดขืน ทว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ไหนเลยจะหลีกหนีได้พ้น?
การขัดขืนเช่นนี้เสียอีกที่กลับทำให้ฮูเหยียนเป้าหัวเราะหึ ๆ ขึ้นมา “แม่สาวงาม กำลังขาของเจ้าช่างรุนแรงเสียเหลือเกิน เอวของข้าแทบจะหักอยู่แล้ว!”
อูหวนสุ่ยจวินแทบคลั่ง แผดเสียงตวาดออกมาอย่างรุนแรง “ไอ้ชาติชั่ว ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ทว่าฮูเหยียนเป้ากลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ราวกับสัตว์ป่าที่ถูกความใคร่เข้าครอบงำ คิดแต่จะหาที่ระบาย อยากจะปลดปล่อย
…
นอกห้อง
ซูอี้ฟังเสียงในห้องด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ
เช่นนี้เรียกว่ารับกรรมที่ตัวเองก่อ
กล่าวโทษคนอื่นไม่ได้
“ข้าจะสู้ตายกับเจ้า!”
ไม่นานนัก เสียดแผดร้องด้วยความตื่นตระหนก โกรธเกรี้ยว และเจ็บแค้นของอูหวนสุ่ยจวินดังขึ้นจากในห้อง
ปัง!
ยังพูดไม่ทันจบ เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นในห้อง ถัดจากนั้นเสียงคร่ำครวญอันทุกข์เศร้าของฮูเหยียนเป้าก็ดังตามมา “ท่านพ่อบุญธรรม เหตุใดจึง…”
เสียงหยุดเพียงเท่านั้น
ซูอี้ถีบประตูห้องเข้าไปก็เห็นอูหวนสุ่ยจวินอยู่ในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ทั่วทั้งร่างมีแต่รอยฟกช้ำ สะบักสะบอม สภาพร่อแร่
ศพของฮูเหยียนเป้านอนเหยียดข้างกายเขา ดวงตาเบิกกว้าง เขียนติดเต็มแววตาว่าไม่เข้าใจเพราะเหตุใด…
น่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าก็คือด้านล่างของเขาเลือดไหลทะลัก ไม่เหลืออะไรอยู่ตรงนั้น
ซูอี้ยกมือขึ้นเพื่อบังตาเหวินหลิงเสวี่ยที่อยู่บนหลัง แต่กลับพบว่าสาวน้อยนอนหนุนไหล่ของตัวเองหลับสนิทไปก่อนแล้ว
“สองวันมานี้ ไม่รู้เช่นกันว่านางต้องทนทุกข์ถึงขั้นไหน จึงได้ถูกทรมานจนอยู่ในสภาพอ่อนล้าเช่นนี้…”
ซูอี้ทอดถอนใจ
บนพื้นที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เมื่อมองเห็นซูอี้ยืนที่นอกประตูแล้ว อูหวนสุ่ยจวินส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นอย่างเหลืออดออกมา
“ท่านเทพไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเป็นแน่ ไม่มีทาง!!”
ซูอี้เอื้อมมือออกมากดกลางอากาศ
ส่งเสียงดังปัง ร่างวิญญาณที่ร่อแร่แต่เดิมของอูหวนสุ่ยจวินก็ระเบิดออก กลายเป็นควันสีดำเลือนหายไป
——
ใจกลางลานวิถี ด้านหน้าแท่นพิธีสีดำ
หนิงซือฮวายืนอยู่ตรงนั้นนิ่ง ๆ ก่อนหน้านี้จู้กู่ชิงได้เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟังหมดแล้ว จึงทำให้นางแอบโล่งใจไปได้บ้าง
ยังดีที่จู่กู่ชิงถูกมองว่าเป็น ‘เครื่องเซ่นไหว้’ นอกจากได้รับบาดเจ็บทางผิวกายแล้ว ไม่ได้ถูกข่มเหงแปดเปื้อนให้ด่างดำเสียหาย
ไม่เช่นนั้น เกรงว่าตลอดชั่วชีวิตนี้คงยากนักจะหลุดออกจากความอัปยศเหล่านั้นได้
ไม่ไกลนัก ภูตผีและปีศาจทั้งหลายล้วนคุกเข่าอยู่ตรงนั้น แต่ละตนต่างก็หวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ๆ
เห็นแค่เพียงฝีมืออันน่าหวาดกลัวที่หนิงซือฮวาแสดงออกมาเมื่อสักครู่แล้ว พวกมันจึงเข้าใจแล้วว่าต่อให้พยายามจนสุดชีวิตก็ทำได้แต่เพียงมดตะนอยเขย่าต้นไม้เท่านั้น ไม่ต่างอะไรไปจากใช้ไข่กระแทกกับก้อนหิน
ประกอบกับ รอบด้านลานวิถีแห่งนี้ถูกปิดล้อมด้วยค่ายกลเก้าวังเชือดโลหิต ไม่มีทางหนีไปไหนได้อีก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจึงทำได้แต่เพียงคุกเข่าเพื่อทำความเคารพก่อนเท่านั้น…
มีแต่เพียงเถาชิงซานกับเถิงหย่งเท่านั้นที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่ทว่าเมื่อมองเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ความตื่นตระหนกหวาดกลัวยังคงผุดขึ้นมาในใจ ไม่อาจจะสงบนิ่งลงไปได้