บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 2 ลูกเขย ซูอี้
ตอนที่ 2 ลูกเขย ซูอี้
“ดูนั่น ซูอี้ไม่ใช่หรือ!”
“หนึ่งปีก่อน เขาเป็นหัวหน้าศิษย์สายนอกแห่งสำนักดาบชิงเหอ ชื่อเสียงโด่งดัง ทว่าเพราะอุบัติเหตุ จึงได้สูญเสียพลังในตันเถียนไปเสียหมด ทั้งยังตกเป็นบุตรเขยจวนตระกูลเหวิน… เฮ้อ น่าเสียดายนัก”
“น่าเสียดาย? เป็นหญิงงามเช่นเหวินหลิงเจาต่างหากที่น่าเสียดาย! นางคือผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองกว่างหลิงของเรา แต่ตอนนี้กลับต้องแต่งงานกับเศษเดนไร้ค่าเช่นนี้ เฮ้อ!”
ด้านหน้าสำนัก
ปรากฏร่างหนึ่งเดินเข้าใกล้ประตูสำนักดาบซ่งอวิ๋น ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนเผยสีหน้าประหลาดใจเมื่อพบเห็นซูอี้จากระยะไกล เสียงสนทนาซุบซิบต่างดังขึ้น
ริมฝีปากซูอี้ไม่ปรากฏอาการใด เพียงรู้สึกขบขันเล็กน้อยเท่านั้น
เขาไม่ได้พบเจอ ‘การนินทา’ เช่นนี้มานานเท่าใดแล้ว?
ชีวิตก่อนหน้า ในเก้ามหาแดนดิน มีบุคคลมากมายนับไม่ถ้วนแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งแนวหน้า
สำนักหกมหาวิถีอยู่จุดเหนือสุด รับชมความเป็นไปของเหล่าสรรพชีวิต
สำนักสามมหาอสูรแข็งแกร่งยืนหยัด กำลังทหารทั้งหมดล้วนกล้าแกร่งสร้างความโกลาหลไปทุกหย่อมหญ้า
แต่แล้วเมื่อถึงปีที่หนึ่งแสนแปดพัน กลับมีคนผู้หนึ่งที่สามารถสยบทั้งเก้าแคว้นได้ ซึ่งคนผู้นั้นคือ ซูเสวียนจวิน! ตัวตนซึ่งอยู่เหนือยิ่งกว่า ‘‘ขอบเขตจักรพรรดิ’ ผู้คนทั้งหลายทำได้เพียงหลับตาโค้งศีรษะเอ่ยคำยกย่องเป็น ‘ฝ่าบาท’!
“หากผู้คนในชีวิตที่แล้วพบเห็นข้าเป็นเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาคงหัวเราะเยาะจนท้องแตก…”
ซูอี้ลอบส่ายศีรษะ
กลิ่นอายความเย็นชาแผ่กระจายจากร่างผอมสูง ซึ่งมีใบหน้ากระจ่าง สวมใส่เสื้อคลุมสีฟ้า ยืนโดดเด่นสองมือไพล่หลัง
“กระนั้น ก็มีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนพูดถูก ตัวข้าในตอนนี้ช่างดูไร้ค่ายิ่งนัก…”
ซูอี้หลับตาลงจมดิ่งในห้วงภวังค์ความคิด
เดิมทีร่างกายนี้เป็นบุตรชายของอนุภรรยาที่ถูกทอดทิ้งแห่งตระกูลซู ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองอวี้จิงแห่งอาณาจักรโจว
ครั้งอายุห้าขวบ มารดาของเขา ‘เยี่ยอวี่เฟย’ ป่วยหนักและตายจากไป
เมื่ออายุสิบสี่ ตัวเขาเข้าสู่ ‘สำนักดาบชิงเหอ’ ในเขตปกครองอวิ๋นเหอเพื่อฝึกฝน
ด้วยเวลาเพียงสองปี ขณะอายุสิบหก เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าศิษย์สายนอกแห่งสำนักดาบชิงเหอ ทั้งยังได้รับการเรียกขานเป็น ‘ดาบอันดับหนึ่งแห่งศิษย์สายนอก’
แต่หลังจากนั้นต่อมาได้มีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นทำให้เขาสูญเสียพลังในตันเถียนไปทั้งหมด
และไม่นานนัก ด้วยอำนาจจัดการของตระกูลซูแห่งเมืองอวี้จิง เขาจึงกลายเป็นบุตรเขยของ ‘ตระกูลเหวิน’ ที่เป็นถึงหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ในเมืองกว่างหลิง
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต่อให้ชีวิตในอดีตของร่างนี้จะเคยเป็นเช่นใด นับจากนี้ข้าจะเป็นผู้เปลี่ยนเส้นทางเดินที่มีอยู่ไปตลอดกาล…”
ห้วงอารมณ์แปลกประหลาดผุดขึ้นในใจซูอี้ แววตานั้นทอประกายลุ่มลึกยากบรรยาย
ชิ้ง!
สติซูอี้ถูกดึงฟื้นคืนกลับ เสียงดาบเย็นเยียบดังชัดในจิตใจ ก่อนจะเงียบลงอีกครั้ง
มันคือดาบปริศนาในตำนานซึ่งกักเก็บความลับสุดหยั่ง!
นามแห่งดาบนั้นคือ ‘เก้าคุมขัง’!
ดาบนี้ถูกจองจำไว้โดย ‘โซ่เทวะ’ ทั้งเก้าเส้น
หนึ่งปีก่อน ก่อนคืนวัน ‘ทดสอบทักษะดาบ’ ซึ่งจะเกิดขึ้นในสำนักดาบชิงเหอ
เวลานั้นเมื่อซูอี้ทะลวงเข้าขอบเขต ‘รวบรวมลมปราณ’ จู่ ๆ ภาพเงาของ ‘ดาบเก้าคุมขัง’ พลันปรากฏขึ้นในใจ
แต่สิ่งที่เขาต้องแลกมา… มันคือระดับการบ่มเพาะทั้งหมด!
นั่นคือสาเหตุแท้จริงที่ซูอี้สูญเสียการบ่มเพาะทั้งหมดไปนับตั้งแต่นั้น
หลังจากนั้นในช่วงปีที่เขาได้เข้าร่วมกับตระกูลเหวิน ซูอี้ตระหนักได้ถึงร่างเงาดาบเก้าคุมขังในจิตใจตลอดเวลา เขาใช้เวลาทั้งวันและคืนเพื่อไขความลับของดาบเล่มนี้
สามคืนก่อนหน้า ซูอี้พยายามสื่อสารกับดาบเก้าคุมขังอีกครั้ง และบังเอิญคลายโซ่ผนึกเส้นแรกที่บนตัวดาบได้ ซึ่งมันทำให้ความทรงจำของ ‘ซูเสวียนจวิน’ ในชีวิตก่อนหน้าของเขาฟื้นคืนกลับขึ้นมา
“สิบเจ็ดปีผ่านไปเร็วราวกับฝัน ในตอนนี้ข้าได้ทราบแล้วว่าแท้จริงตนเองเป็นใคร!”
ซูอี้ครุ่นคิดกับตนเอง
ขณะนี้ตัวเขาอายุสิบเจ็ด อยู่ในวัยที่แข็งแรง ไม่ต่างอะไรกับดวงอาทิตย์ที่ขึ้นในทุกอรุณรุ่ง ทุกวันเปี่ยมด้วยความหวัง
“แม้ตอนนี้อยู่ในสภาพอันน่าอับอาย แต่ด้วยประสบการณ์และความรู้จากชีวิตก่อนหน้านี้ มันย่อมไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อยในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์”
มือของซูอี้ไพล่หลัง ขณะหลับตา ผู้คนอื่นที่เดินผ่านไปมาเมื่อเห็นก็เกิดรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ราวกับบุคลิกความเงียบสงบของเขาไม่สอดคล้องกับอายุของตัวเขาเท่าใดนัก
“การหวนคืนชีวิตครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นโอกาสอันดีที่ตัวข้าจะทะลวงกำแพงแห่งการบ่มเพาะที่เคยอยู่ในช่วงชีวิตก่อนหน้า ข้าจะพิสูจน์ให้ทั่วเก้าสวรรค์สิบปฐพีได้เห็นถึงวิถีดาบอันแท้จริง และไม่ช้าก็เร็ว… ข้าจะกลับไปยังเก้ามหาแดนดิน เพื่อชำระเรื่องอันต่ำตมในอดีตให้สิ้น!”
ในห้วงความเงียบงัน ภาพฉากมากมายในชีวิตก่อนปรากฏขึ้นในห้วงความคิด
จักรพรรดิสงครามผีหมัว จักรพรรดินีชิงถัง พญาปักษา สำนักดาบอิงฮัว สำนักหกมหาวิถี…
หืม?
ขณะนี้เอง ซูอี้ลืมตาตื่น สายตามองไปยังประตูของสำนักดาบซ่งอวิ๋น
ในเวลานี้เด็กสาวและเด็กหนุ่มหลายคนเริ่มทยอยเดินกันออกมาจากประตูสำนักแล้ว บรรยากาศโดยรอบครึกครื้นสนุกสนาน ดูผ่อนคลายชวนให้นึกถึงช่วงเวลาหนุ่มสาวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาแรกแย้ม
ทว่าทันใดนี้ บรรยากาศที่เคยคึกคักพลันเงียบลงอย่างกะทันหัน
ที่ประตูสำนักดาบซ่งอวิ๋น กลุ่มคนแยกตัวออก หลีกทางให้กับบางสิ่งโดยเงียบงัน
ภายใต้สายตาผู้คนจับจ้อง เด็กสาวผู้หนึ่งก้าวเดินออกจากประตูสำนักดาบซ่งอวิ๋น
ด้วยอายุเพียงสิบสี่หรือสิบห้า เส้นผมสีดำพลิ้วไหวนุ่มนวล คิ้วโค้งเรียวได้รูป ผิวขาวราวหิมะ รูปลักษณ์ทั้งหมดลงตัวอย่างงดงาม
นางสวมใส่ชุดสีครามตัวหลวมที่น่ารับชม ร่างกายวิจิตรบริสุทธิ์ รับกับสัดส่วนอันเลิศล้ำขับเน้นเปล่งประกาย ราวกับภาพลวงตาในยามอาทิตย์อัสดง
เปรียบดังนางเซียนผู้เลอโฉม!
สายตาของผู้คนใกล้เคียงต่างเบิกโพลงจ้องเขม้น
พวกเขาส่วนใหญ่อายุสิบห้า อยู่ในวัยหนุ่มแน่น ดังนั้นจึงไม่อาจปิดบังความชื่นชมและหลงใหลผ่านทางสายตา
เด็กหนุ่มที่เขินอายบางคน ถึงขนาดก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาเพราะเคอะเขิน
ทว่ากับสตรีผู้อื่น สีหน้านั้นแสดงแตกต่างกันออกไป บ้างก็ชื่นชม บ้างก็อิจฉา ขณะที่บางคนกลับโศกเศร้า
ในกลุ่มคนยังมีผู้ที่เปี่ยมเสน่ห์และงดงามเช่นกัน ทว่าหากเทียบกับหญิงสาวในชุดสีคราม ก็ยังด้อยกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง
ราวกับหิ่งห้อยและดวงจันทรา ที่ไม่อาจขันแข่งด้านแสงสว่าง บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัด
เด็กสาวในชุดสีครามก้าวเดินเชื่องช้า ใบหน้าไร้อารมณ์และมั่นคง ดวงตากลมโตทั้งสองลุ่มลึกและแน่วแน่
ท่าทีเย็นชาราวภูเขาน้ำแข็งเช่นนี้ สร้างบรรยากาศราวกับนางเป็นอิสระจากโลกใบนี้ ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้
เหวินหลิงเสวี่ย
นางอยู่ที่สำนักดาบซ่งอวิ๋นมาหนึ่งปีแล้ว ทั้งยังได้รับฉายา ‘อัจฉริยะผู้ปราดเปรื่อง’ ทว่าแม้ในสายตาของผู้เป็นอาจารย์ นางก็ยังเป็นภูเขาน้ำแข็งอันงดงามที่สูงส่ง
เซี่ยจิ่วเว่ยผู้เป็นนายใหญ่แห่งสำนักดาบซ่งอวิ๋นยังยกย่อง ว่านางงดงามราวน้ำแข็งและเหมันต์บริสุทธิ์ ราวกับไข่มุกอันเจิดจรัสแห่งสำนักดาบซ่งอวิ๋น
ทว่าในสายตาซูอี้ นางผู้นี้สามารถดึงดูดความสนใจได้ในทุกที่ที่ย่างกราย และเป็นน้องสาวของเหวินหลิงเจา
รวมถึง… เป็นน้องภรรยาของเขาด้วย
“เด็กน้อยผู้นี้นับวันยิ่งงดงามมากขึ้น”
ซูอี้เลิกคิ้วสูง
ช่วงปีที่เขาเข้าร่วมกับตระกูลเหวิน เกือบทุกคนต่างดูถูก เย้ยหยัน และเหยียดหยามตัวเขาในทุกวิถีทาง
มีเพียงเหวินหลิงเสวี่ยที่ปฏิบัติต่อตัวเขาในฐานะ ‘พี่เขย’ ทั้งยังให้การปกป้องโดยเสมอมา
“พี่เขย ลมอันใดหอบท่านมาที่นี่กัน?”
นางพบเห็นร่างของซูอี้แต่ไกล ดวงตาลุ่มลึกประดุจอัญมณีเม็ดงามจึงพลันแสดงอาการประหลาดใจออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
ริมฝีปากชมพูบางยกยิ้มจากใจ
เป็นรอยยิ้มดั่งแสงตะวันเจิดจ้า จนแม้แต่ภูเขาน้ำแข็งก็ละลายได้
เด็กหนุ่มหลายคนถึงกับตกในห้วงภวังค์ หัวใจพวกเขาเต้นระรัวจนแทบทะลุจากหน้าอก
“งดงามนัก…”
คนหนึ่งหลุดปากออกมาโดยไม่ตั้งใจ
“นาง… นางกำลังยิ้มอยู่…”
ทุกคนตกอยู่ในภวังค์
“กล่าวไปเจ้าอาจไม่เชื่อ แต่หนึ่งปีมานี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นรอยยิ้มของหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งสำนักดาบซ่งอวิ๋นของเรา!”
ผู้คนต่างถอนหายใจ
เรื่องราวนี้สะท้อนหลายสิ่ง ในห้วงความทรงจำพวกเขา สตรีหิมะเหวินหลิงเสวี่ยมีบุคลิกสมดังชื่อ รูปลักษณ์ที่งามงด กระนั้นกลับเย็นเยือกราวน้ำแข็งและหิมะอันอ้างว้าง
แม้ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน แต่นางกลับไม่เคยยิ้มให้ผู้ใดพบเห็น!
“เฮ้อ หากข้าเองสวยเหมือนเช่นนาง! ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าคงสมหวังกับศิษย์พี่เซียว”
เด็กสาวคนหนึ่งพึมพำด้วยสีหน้าซับซ้อน
แม้เป็นอิสตรีเช่นกัน แต่นางก็ต้องยอมรับในรูปลักษณ์ของเหวินหลิงเสวี่ย ที่งดงามเสียจนทำให้เพื่อนร่วมชั้นหญิงทุกคนต่างรู้สึกกดดันไม่ต่างกัน
ที่สำนักดาบซ่งอวิ๋น หากไม่จำเป็น ไม่ว่าสตรีใดก็ไม่อยากยืนอยู่เคียงข้างเหวินหลิงเสวี่ย เพราะมันยิ่งทำให้ความงามของเหวินหลิงเสวี่ยน่าทึ่งมากขึ้นไปอีก
ภายใต้ทุกสายตา เหวินหลิงเสวี่ยที่เคยเดินเชื่องช้า ขณะนี้ก้าวเท้ารวดเร็วเดินเข้าหาซูอี้!
นัยน์ตาของเด็กหนุ่มทั้งหลายเบิกกว้างแตกตื่น
“เมื่อครู่… เมื่อครู่เหวินหลิงเสวี่ยยิ้มให้ไอ้หน้าโง่นั่น?”
พวกเขามองกันเองราวไม่เชื่อสายตา
เท่าที่พวกเขาทราบ แม้ซูอี้เป็นพี่เขยเหวินหลิงเสวี่ย แต่ก็เป็นได้แค่ลูกเขยแต่งเข้าบ้าน*[1] เท่านั้น
ด้วยสถานะอันน่าอับอายดังกล่าว ไม่เพียงแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลเหวินจะดูหมิ่น แม้แต่บรรดาคนรับใช้ตระกูลเหวินยังกล้าเย้ยหยันชายหนุ่มต่อหน้าด้วยซ้ำ
เรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีทั่วทั้งเมืองกว่างหลิง
แต่แล้วขณะนี้… ท่าทีของเหวินหลิงเสวี่ยกลับดูสนิทสนมกับซูอี้ยิ่งนัก เรียกได้ว่าท่าทีของนางดูผิดแปลกอย่างสิ้นเชิงยามได้พบซูอี้!
ตราบเท่าที่ไม่ได้ตาบอด ผู้ใดบ้างจะไม่พบเห็นว่าเหวินหลิงเสวี่ยยินดีเพียงใด?
แปลกประหลาด!
แปลกประหลาดเกินไปแล้ว!
บรรดาหนุ่มสาวราวกับแทบไม่เชื่อสายตาตนเองไปครู่
ขณะมองรอยยิ้มสดใสและงดงามของเด็กสาวตรงหน้า ซูอี้ยิ้มรับพร้อมกล่าวคำ “ยามอยู่ที่สำนัก เจ้าเป็นเช่นนี้นี่เอง”
นับเป็นครั้งแรกที่เขามารับเหวินหลิงเสวี่ยถึงหน้าสำนัก
และนี่ยังเป็นครั้งแรก ที่เขาได้เห็นท่าทีอันเย็นชายะเยือกของเหวินหลิงเสวี่ย
ในห้วงความจำของซูอี้ เหวินหลิงเสวี่ยสดใส มีชีวิตชีวา มีเสน่ห์และขี้เล่นอยู่โดยตลอดต่อหน้าพี่เขยเช่นตน นานนับปีที่เขาเป็นบุตรเขยตระกูลเหวิน ไม่มีสักครั้งที่สัมผัสถึงคำว่าภูเขาน้ำแข็ง
“หากข้าไม่แสดงท่าทีเย็นชาที่นี่ ก็ไม่ทราบว่าจะมีผู้ชายน่ารำคาญมาวุ่นวายสักกี่คน และนั่น… มันก็เป็นเรื่องน่ารำคาญจนเกินไป”
เหวินหลิงเสวี่ยเม้มริมฝีปากพร้อมเผยยิ้ม เสียงที่กล่าววาจาช่างฟังดูสดใสและหวานประดุจน้ำพุวิเศษ
ซูอี้นึกประหลาดใจ
ก็สมควรเป็นดั่งที่นางว่า เพราะแม้แต่ในชีวิตก่อนหน้านี้ของตัวเขา เหวินหลิงเสวี่ยก็ยังจัดได้ว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่ง ยิ่งนางเติบโตขึ้น นางก็ยิ่งงดงามมากขึ้น
กับความงามอันน่าทึ่งนี้ คงยากเป็นไปได้ที่จะไร้ผู้ใดมาตามรังควาน
ขณะนี้เอง เหวินหลิงเสวี่ยมองไปยังแววตาประหลาดใจและตกตะลึงของบรรดาสหายร่วมสำนัก นางพลันรู้สึกว่าตนเองทำเรื่องผิดพลาดขึ้นมา ก่อนที่ริมฝีปากจะยกขึ้นบ่นพึมพำด้วยความโกรธเคือง
“หมดกัน เพราะเมื่อครู่ยินดีเกินไป บุคลิกเย็นชาที่สร้างสมมานานปีของข้าเพื่อเสแสร้งเลยพังทลายสิ้น…”
แต่จากนั้น เด็กสาวยกยิ้มพร้อมกับส่ายหัวอย่างไม่แยแส “ช่างมันประไร ไม่ต้องสนใจแล้ว แค่ข้ายินดีก็พอแล้วนี่นา”
นางคว้ามือซูอี้ด้วยเสน่หา พร้อมยกยิ้มราวนกนางแอ่นเริงร่าและกล่าวคำออก “พี่เขย เรากลับบ้านกันเถอะ”
“อืม”
ซูอี้พยักหน้าและยิ้มรับ ก่อนจะเดินกลับไปพร้อมกัน
กระทั่งคนทั้งสองเลือนหาย ทิ้งสำนักดาบซ่งอวิ๋นให้ตกอยู่ในความเงียบงัน
“ผู้ใดก็ได้บอกข้าที แม่นางหลิงเสวี่ยไปใกล้ชิดกับคนไร้ประโยชน์นั่นได้อย่างไร?”
หนึ่งในชายหนุ่มรูปงามกัดฟันเอ่ยคำถาม
ผู้คนต่างมองหน้ากันเอง ราวกับไม่อาจเข้าใจได้
“ลูกเขยแต่งเข้าบ้านที่ผู้คนในเมืองกว่างหลิงเยาะเย้ย ขยะที่ไร้ตันเถียน มันไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะแต่งกับหญิงงามเช่นเหวินหลิงเจาด้วยซ้ำ กระนั้นกลับกล้ายื่นมือโสโครกนั่นแตะต้องน้องภรรยาตนเองอีกงั้นหรือ? สารเลว!”
เด็กหนุ่มทุกผู้คนต่างไม่พอใจ ในห้วงความคิดพวกเขามีเพียงความริษยาแรงกล้าต่อซูอี้
ในเวลาเช่นนี้ แม้แต่เด็กสาวทั้งหลายก็ไม่อาจเข้าใจเช่นกัน กระทั่งบางคนเกิดความรู้สึกว่ามันแปลกเกินไป!
เหวินหลิงเสวี่ยที่เย่อหยิ่งและเย็นชา ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ทางการบ่มเพาะยอดเยี่ยม แต่ระดับการบ่มเพาะยังเป็นอันดับต้น ๆ ในบรรดาศิษย์ร่วมสำนักดาบซ่งอวิ๋น
นาง…
นางสนิทสนมกับซูอี้ได้อย่างไร?
แม้ซูอี้เป็นพี่เขยของนาง แต่ตามข่าวลือ ชายคนนี้คือสิ่งที่เหวินหลิงเจา ผู้ซึ่งเป็นพี่สาวนางทั้งเกลียดชังและปฏิเสธอย่างถึงที่สุด!
“พี่เขย ปกติท่านไม่ออกไปไหน เหตุใดวันนี้มารับข้าได้กัน?”
ระหว่างทางกลับ เหวินหลิงเสวี่ยกะพริบตาออดอ้อนเอ่ยคำถามอย่างสงสัย
“พี่สาวเจ้ากลับมาแล้ว”
ซูอี้กล่าวตอบอย่างไม่จริงจัง ห้วงอารมณ์บางประการปรากฏในใจเขาอย่างยากอธิบาย
ดวงตาเป็นประกายของเหวินหลิงเสวี่ยปรากฏความประหลาดใจ “พี่หญิง… ในที่สุดก็เต็มใจกลับมาแล้วหรือ?”
หนึ่งปีก่อนหน้า เหวินหลิงเจาจากไปอย่างไร้คำลาในคืนแต่งงานกับซูอี้ นางหลบไปบ่มเพาะในสำนักดาบชิงเหอซึ่งอยู่ในเขตปกครองอวิ๋นเหอเช่นเดียวกัน
ทุกคนต่างเดาไม่ยากว่ามันคือการแสดงออกว่าเหวินหลิงเจาไม่ต้องการแต่งงาน ทั้งยังซ่อนความเกลียดชังไว้ในใจ
นอกจากนี้เหวินหลิงเสวี่ยยังทราบดี ว่าที่เหวินหลิงเจาปฏิเสธและไม่ยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ ด้วยในใจของเหวินหลิงเจานั้นไม่เคยยอมรับซูอี้แม้แต่น้อย!
ทว่าขณะนี้ หนึ่งปีล่วงเลย เหวินหลิงเจากลับมาแล้ว!
[1]ลูกเขยแต่งเข้าบ้าน หมายความว่า ลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านภรรยา