บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 200 จิ่วโถวเหนี่ยว
ตอนที่ 200: จิ่วโถวเหนี่ยว
เมื่อซูอี้แบกเหวินหลิงเสวี่ยกลับมายังลานพิธีก็เห็นสภาพเช่นนี้เข้า
“ท่านเซียนโปรดไว้ชีวิตด้วย!” เฒ่าพังพอนโขกศีรษะอ้อนวอน
ภูตผีและปีศาจตนอื่น ๆ ที่คุกเข่าอยู่กับพื้นเห็นเช่นนี้แล้วรีบพากันอ้อนวอนขึ้นมา แต่ละตนมีแต่ความหวั่นเกรงหวาดผวาพูดเสียงเคล้าน้ำตา
กระทั่งคางคกสิบสามตนนั้นก็ยังร้องไห้สะอึกสะอื้น โขกศีรษะจนหัวแตกหัวร้าว เลือดไหลเต็มหน้า
ใครกันที่ไม่รู้ว่าเวลานี้ความเป็นความตายของพวกเขาล้วนอยู่ในกำมือของซูอี้?
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจ เดินตรงไปยังหน้าแท่นบูชาสีดำแห่งนั้น แล้วกล่าวคำออก “มองเห็นพิรุธอะไรหรือไม่?”
หนิงซือฮวากล่าว “แท่นบูชานี้คงจะเป็นจุดเชื่อมมิติ มีพลังค่ายกลใหญ่รอบสี่ด้านของลานพิธีเป็นตัวผลักดัน แต่ดูไม่ออกว่าแท่นบูชานี้เชื่อมโยงกับมิติที่ใด”
พูดพลาง สายตาของนางก็มองไปยังเหวินหลิงเสวี่ยที่กำลังนอนหนุนไหล่ของซูอี้ และกล่าวถาม “นางไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ซูอี้กล่าว “ไม่เป็นไร”
สายตาของเขาจับจ้องพินิจดูแท่นบูชาสีดำนั้น พบว่าส่วนยอดของแท่นบูชามีลวดลายอันมีลักษณะของนกติดอยู่
นกตนนี้มีเก้าหัว บนปีกห้าสีมีดวงตาติดอยู่เต็ม ช่างแปลกประหลาดน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
“นี่คือวิหคอัปมงคลเก้าเศียร หรือเรียกอีกอย่างว่าจิ่วโถวเหนี่ยว เป็นนกอัปมงคลในตำนาน ชอบกินวิญญาณ โผล่ไปในที่ใด ที่แห่งนั้นย่อมต้องมีเภทภัย”
ซูอี้กล่าวอย่างใช้ความคิด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ‘ท่านเทพแห่งความกรุณา’ ที่กล่าวถึงนั้น อาจจะเป็นสัตว์ชั่วร้ายตนนี้ก็เป็นได้”
หนิงซือฮวากล่าวเห็นด้วย “วิหคอัปมงคลเก้าเศียร… ตามที่เล่าลือกัน สัตว์ชั่วร้ายอัปมงคลเช่นนี้อาศัยอยู่ใน ‘ขุนเขาเขย่ากรรม’ ของภูมิมืดมิด หรือว่าโลกภูมิอีกด้านที่แท่นบูชานี้ติดต่อด้วยจะตั้งอยู่บนดินแดนแห่งความมืดมิด?”
“เจ้ารู้เรื่องของดินแดนมืดมิดเป็นอย่างดี?”
ซูอี้ตะลึงเล็กน้อย
ตอนที่เขากลับชาติมาเกิดใหม่ ได้ใช้ประโยชน์จากวัฏฏะอันมีความเกี่ยวข้องกับความมืดมิด เมื่อได้ยินหนิงซือฮวากล่าวถึงดินแดนมืดมิดขึ้นมา ไหนเลยจะไม่ประหลาดใจ?
หนิงซือฮวายิ้มน้อย ๆ พลางกล่าว “ข้าเพียงแค่อ่านตำรามามากเท่านั้น เคยเห็นบันทึกประเภทนี้ในตำราเท่านั้น”
ซูอี้ไม่ได้ซักถามอีก แล้วกล่าวคำออก “พลังของแท่นบูชานี้มากมายนับคณา จากพื้นที่โลกสามัญตรงนี้เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่จะสามารถทะลุไปถึงสถานที่ใต้เก้าสงัด ข้าคิดว่า ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นจิ่วโถวเหนี่ยว ก็เป็นเพียงแค่สัตว์ชั่วที่ไม่ได้มีความเก่งกาจอันใดตัวหนึ่งเท่านั้น”
ดวงตางามของหนิงซือฮวาเป็นประกาย แล้วกล่าว “สู้ขับเคลื่อนแท่นบูชานี้ดู พวกเราจะได้รู้จักความเก่งกาจของท่านเทพแห่งความกรุณานี้?”
ซูอี้มีความคิดเช่นนี้อยู่พอดี กล่าว “เจ้าช่วยข้าแบกร่างเหวินเสวี่ยก่อน”
หนิงซือฮวาตะลึงไปชั่วครู่ “ข้า?”
“มีปัญหารึ?” ซูอี้ย้อนถาม
‘มีปัญหาอย่างแน่นอน ในสายตาของเจ้า เจ้าสามารถเรียกใช้ข้าได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ?’ หนิงซือฮวาแอบคิด
ทว่าปากกลับพูดออกมาว่า “ก็ได้”
สองแขนของซูอี้ที่อยู่ด้านหลังรองรับต้นขาอันเนียนนุ่มอิ่มเอิบของเหวินหลิงเสวี่ย ขณะที่กำลังจะพยุงนางขึ้นเพื่อมอบนางให้กับหนิงซือฮวา
ใครจะคาดคิดว่าเหวินหลิงเสวี่ยกลับใช้สองแขนกอดรัดคอของเขาแน่น ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อบ่นพึมพำอะไรบางอย่าง
สาวน้อยใสบริสุทธิ์หลับสนิทเช่นนี้เกาะติดแน่นราวกับปลาหมึกเหนียวหนึบ เกาะติดหลังของซูอี้ไม่ยอมปล่อย ถึงขั้นทำให้ซูอี้สามารถรู้สึกได้ถึงความนิ่มนวลอันน่าตะลึงของร่างอรชรนั้นได้อย่างชัดเจน…
จิตใจของซูอี้สั่นคลอนเล็กน้อย จึงได้แต่เลิกล้มความตั้งใจ กล่าว “ช่างเถอะ ข้าเป็นคนแบกนางเอง”
ดวงตาใสของหนิงซือฮวาเกิดประกายแยบยล แอบคิดในใจ ปากก็บอกว่าให้คนอื่นมาช่วยแบกน้องสาวภรรยา แต่ร่างกายกลับบอกความจริง
“พวกเจ้าสองคนมานี่”
ซูอี้หมุนตัว มองดูเฒ่าพังพอนกับคางคกสิบสาม
ทั้งสองต่างก็ลังเลใจ รู้สึกได้ถึงลางไม่ดี
ไม่รอให้พวกเขาได้ตั้งตัว ภูตผีกับปีศาจที่อยู่ข้าง ๆ เหล่านั้นมองตากัน ฉับพลันช่วยกันจับตัวเฒ่าพังพอนกับคางคกสิบสามลงมา
ทั้งสองตื่นตระหนกตกใจ ร้องตะโกนด่าออกมา
“อยู่เฉย ๆ! สามารถทำงานให้ท่านเซียนได้ ถือเป็นบุญของพวกเจ้าแล้ว!”
ชายร่างโตหัวเป็นวัวตบหน้าอ้วนท้วนของคางคกสิบสามไปฉาดหนึ่ง พลางร้องตวาดเสียงดัง
อย่างรวดเร็ว ภูตผีปีศาจที่แสดงความสัตย์ซื่อเหล่านี้ก็จับตัวหอบสิบสามกับเฒ่าพังพอนมาอยู่ตรงหน้าซูอี้แล้ว
จากนั้น พวกเขาก็ถอยกลับไปอย่างเชื่อฟัง กลับไปคุกเข่าอยู่ที่เดิมอีกครั้ง แต่ละตนล้วนเชื่อฟังเป็นอย่างมาก
เถาชิงซานกับเถิงหย่งเห็นเช่นนี้แล้วได้แต่ตาค้าง ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของภูตผีปีศาจเหล่านี้ช่างแก่กล้าเสียจริง!
“ท่านเซียน พวกเรา…”
คางคกสิบสามเอ่ยพูดด้วยความหวาดกลัว กำลังจะอ้อนวอนขอชีวิต
เอื๊อก! เอื๊อก!
ดาบบงการฟ้าดินในมือซูอี้ขยับ หัวสมองเลือดอาบสองลูกก็ร่วงกระเด็น จากนั้นจึงโยนศพของพวกเขาขึ้นไปบนแท่นบูชาสีดำนั้น
ทำทุกสิ่งจนเสร็จสรรพ ซูอี้ให้หนิงซือฮวากับจู้กู่ชิงถอยห่างออกไปหลายวา มือขวาของเขาตวัดดาบ ชี้ไปกลางอากาศ
วิ้ว!
ประตูโลหะสัมฤทธิ์เก้าบานรอบสี่ด้านลานส่องประกาย เกิดเป็นเสียงดังกึกก้องพลังแปลกพิสดาร ทั่วทั้งลานราวกับตื่นขึ้นจากความเงียบสงบ
ส่วนแท่นบูชาสีดำใจกลางลานปรากฏแสงสีดำมืดมิดผุดขึ้นมาเป็นพัก ๆ ค่อย ๆ ดูดกลืนศพของคางคกสิบสามกับเฒ่าพังพอนไปทีละน้อย กระทั่งเศษกระดูกก็ยังไม่เหลือ
เหล่าภูตผีและปีศาจมองเห็นภาพเหตุการณ์น่าสยดสยองเช่นนี้แล้ว ในใจมีแต่ความหนาวเหน็บหวาดกลัว สีหน้าเปลี่ยนไป
นี่ก็คือวิธีบูชา?
ครืน!
แท่นบูชาสีดำเกิดความเปลี่ยนแปลง ภาพจิ่วโถวเหนี่ยวตรงใจกลางเปลี่ยนไปกลายเป็นสีแดงเลือดอย่างรวดเร็ว พลันแสงสว่างสีเลือดลำหนึ่งผุดขึ้นกลางอากาศอยู่ในลักษณะคลื่นน้ำวน
ในชั่วขณะนั้น เปรียบประดุจประตูอันว่างเปล่าถูกเปิดท่ามกลางแสงสว่างสีเลือด เชื่อมโยงไปยังดินแดนไม่ทราบชื่อที่ห่างไกลไร้ขอบเขต!
เหล่าภูตผีปีศาจที่คุกเข่ารอบสี่ด้านของลานต่างเกิดความหวาดกลัว รู้สึกได้ว่ามีแรงกดดันกำลังแผ่ขยายปกคลุม กดดันจนพวกเขารู้สึกหายใจไม่ออก
รสชาติเช่นนั้น คล้ายกับมีผู้ยิ่งใหญ่ท่านใดท่านหนึ่งกำลังเบนสายตามองผ่านมิติอันไร้ขอบเขตลงมา!
“นี่…”
สองเข่าของเถาชิงซานกับเถิงหย่งอ่อนยวบลงไป ตกใจจนแทบจะคุกเข่าอยู่ตรงนั้นเช่นกัน
ทว่าในสายตาของซูอี้ กลับมองออกได้ในทันใดว่าคลื่นหมุนสีเลือดบนแท่นบูชานั้นมีบทบาทคล้ายกับ ‘เวทีเซ่นไหว้’ คิดว่าในช่วงหลายปีมานี้ คลื่นน้ำวนสีเลือดก็คือผู้นำเครื่องสังเวยที่อูหวนสุ่ยจวินเสาะหามามอบให้กับท่านเทพแห่งความกรุณา
“อูหวน เรื่องที่ข้ามอบหมายให้เจ้าไปทำ จัดเตรียมเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?”
ฉับพลัน ตรงส่วนลึกของคลื่นน้ำวนสีเลือดมีเสียงน่าเกรงขามดังขึ้น เสียงนั้นทั้งเย็นยะเยือก ราบเรียบ แฝงด้วยพลังแห่งปีศาจน่าสยดสยอง
ทุกคนล้วนเงียบกริบ เหล่าภูตผีปีศาจมากมายพากันตัวสั่นงันงก หวาดกลัวอย่างมาก
กระทั่งจู้กู่ชิงก็ยังรู้สึกตื่นตระหนกสะท้านไปถึงร่าง ภายในใจเกิดความกดดันจนหวั่นวิตกขึ้นมา หรือว่าเสียงนี้จะเป็นเสียงของเทพเจ้าจริง ๆ?
“อูหวนตายแล้ว”
ซูอี้เอ่ยขึ้นอย่างสงบ “ต่อไปเมืองเก้าคดแห่งนี้ก็จะถูกทำลายลง หากว่าเจ้ามีความสามารถออกมาได้ ยากนักจะรอดตายได้เช่นกัน”
ภายในคลื่นน้ำวนสีเลือดเกิดความเงียบสงบ
ทว่าเหล่าภูตผีปีศาจทั้งหลายกลับหวาดกลัวจนหนังหัวชาไปหมด
ในคำบอกเล่าของอูหวนสุ่ยจวินเมื่อก่อนหน้านี้ พวกเขาตั้งภาพว่า ‘ท่านเทพแห่งความกรุณา’ ท่านนี้มีความยิ่งใหญ่ประดุจพระผู้รู้แจ้ง รอบรู้ไปทั่ว มีกำลังอิทธิฤทธิ์ไร้ขอบเขต มีพลังอำนาจอันไม่คาดคิด
ใครเลยจะคาดคิดว่าเวลานี้ซูอี้กลับบังอาจสบประมาทฝ่ายตรงข้ามถึงเพียงนี้?
ทำเช่นนี้เป็นการลบหลู่ชัด ๆ!
ถึงแม้จู้กู่ชิงจะเคยเห็นความสามารถของซูอี้มาแล้ว ทว่าชั่วขณะนี้ก็ยังอดตื่นตะลึงไม่ได้เช่นกัน บนใบหน้าเรียวงามเย็นชาของนางเต็มไปด้วยท่าทีฉงนสงสัย
มีแต่เสียงสีหน้าของหนิงซือฮวาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สงบราบเรียบเป็นที่สุด ในใจของนาง มองซูอี้ว่าเป็นเหมือนตนเองตั้งนานแล้ว มีพื้นฐานลึกลับยากเกินจะหยั่งรู้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้
“แต่ข้ามั่นใจได้ว่าสัตว์ชั่วร้ายไร้ความสามารถเช่นเจ้า ไม่อาจจะแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ข้ามผ่านมิติเวลาได้ จะให้ปรากฏร่างจริงในที่นี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
ซูอี้ส่ายหน้าถอนใจเบา ๆ ราวกับรู้สึกผิดหวัง
คำกล่าวนี้ราวกับเป็นการยั่วยุฝ่ายตรงข้าม จุดลึก ๆ ของคลื่นน้ำวนสีเลือดเกิดเสียงเย็นชาดังขึ้นมา กล่าว
”มดตะนอยตัวเล็ก ๆ ก็ยังบังอาจกล้ามาท้าทายกับข้าได้ เท่ากับรนหาที่! เห็นแก่ความไม่รู้ของเจ้า รีบคุกเข่าโขกศีรษะสำนึกความผิด ข้าจะไม่ถือสาเอาความต่อเจ้า ไม่เช่นนั้น….”
เสียงดังราวกับเสียงฟ้าผ่าแสดงถึงอานุภาพอันยิ่งใหญ่ออกมา ดังกึกก้องไปทั่ว ทำให้ภูตผีปีศาจทั้งหลายตกใจจนตัวสั่นไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร
ทว่าซูอี้กลับหัวเราะขึ้นมา “ไม่เช่นนั้นจะอย่างไร? เจ้าสามารถกระโดดออกมาสู้จนรู้แพ้รู้ชนะกับซูผู้นี้ได้เช่นนั้นหรือ?”
ความดูแคลนและท้าทายอย่างไม่ปิดบังถูกแสดงออกมาทางเสียง
จุดลึกของคลื่นน้ำวนสีเลือด นิ่งเงียบไปอีกครั้ง นานมากจึงส่งเสียงมีอานุภาพนั้นออกมาอีก “ข้าจำเจ้าได้แล้ว วันข้างหน้าจะตัดหัวเจ้ามาลงโทษ!”
ปัง!
คลื่นน้ำวนสีเลือดระเบิด แตกกระเซ็นราวกับสายฝน พลันหายลับไป
แท่นบูชาสีดำนั้นก็อับเฉาไร้แสงลง
ซูอี้อดไม่ได้ตะลึงไปเล็กน้อยด้วยความผิดหวัง “ถูกท้าทายจนถึงเพียงนี้แล้ว กลับไม่กล้าแม้แต่จะลงมือ ทำได้เพียงเท่านี้”
หนิงซือฮวาเม้มริมฝีปากยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าว “บางทีเขาอาจจะมองเจตนาของสหายเต๋าออกก็เป็นได้ ในใจมีความพะวง ไม่กล้าต่อกรด้วยความผลีผลาม แน่นอน หรืออาจเป็นดังที่สหายเต๋าคาดเดาไว้ สัตว์ชั่วร้ายนี้ไร้ความสามารถ ไม่อาจสำแดงอิทธิฤทธิ์ข้ามผ่านจุดเชื่อมมิติได้”
เวลานี้ ปีศาจหัววัวตนหนึ่งเดินมาข้างหน้าด้วยความนอบน้อม ประเคนห่อผ้าขนาดใหญ่ใบหนึ่งที่หิ้วอยู่มาให้ พลางกล่าวอึกอัก
“ท่านเซียน ก่อนหน้านี้พวกเรามีตาหามีแววไม่ ในใจรู้สึกหวาดเกรงยิ่งนัก เพื่อเป็นการขอขมา พวกเราจึงรวบรวมของมีค่าเหล่านี้มามอบให้ ขอท่านเซียนได้โปรดเมตตายกโทษให้พวกเราด้วย!”
ไม่ไกลนัก พวกภูตผีปีศาจที่คุกเข่าอยู่บนพื้นต่างก็เอ่ยพูดพร้อมเพรียงกัน “ขอท่านเซียนได้โปรดเมตตายกโทษให้พวกเราด้วย!”
ซูอี้นิ่งไปสักครู่ สายตาเบนมองไปยังเถาชิงซาน สั่งกำชับ “เจ้ารับเอาไว้ก่อน”
เถาชิงซานรีบเดินขึ้นมาข้างหน้า รับห่อผ้าใบใหญ่ยิ่งกว่าตัวของเขามาแล้วจึงกล่าว “เจ้าวัว ถือว่าได้ว่าพวกเจ้ารู้ประมาณตน รู้จักปรับแก้ไขตัวเองได้ทันท่วงที สำนึกขอขมาต่อท่านเซียนอมตะ ต่อไปต้องระวังให้มากหน่อย!”
ปีศาจหัววัวรีบส่งเสียงหัวเราะพลางพยักหน้า
“ไปได้แล้ว”
ซูอี้ไม่อยากจะเสียเวลาต่อไปอีก หมุนตัวเดินไปนอกลาน
เขาตามหาตัวเหวินหลิงเสวี่ยพบแล้ว ไหนเลยจะมีจิตใจอยู่ในที่สกปรกโสมมเช่นนี้ต่ออีก
หนิงซือฮวากับจู้กู่ชิงตามติดอยู่ด้านหลัง
เถาชิงซานกับเถิงหย่งก็รีบตามไปด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ ไม่มีใครสนใจพวกภูตผีปีศาจที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นอีก
จนกระทั่งมองเห็นร่างของพวกเขาลาลับไปแล้ว ในที่สุดภูตผีปีศาจแต่ละตนเหล่านั้นจึงพ่นลมหายใจยาว ๆ ออกมาราวกับปลดภาระหนักดังเชื่อแล้วว่าตนเองรอดแล้วจริง ๆ
“อูหวนสุ่ยจวินที่สมควรตายคนนั้น ผิดใจใครไม่ผิด กลับไปผิดใจบุคคลระดับเทพเซียนเช่นนี้ได้ พวกเราเกือบจะตายกันหมดแล้ว!”
มีคนร้องด่าออกมา
“ทุกคนจำเจ้าหนุ่มชุดเข้มคนเมื่อสักครู่ได้หรือไม่ว่าเป็นใคร?”
มีคนทนไม่ไหวถามออกมาด้วยความอยากรู้
“ยังต้องเดาด้วยหรือ? หรือว่าทุกคนลืมกันไปหมดแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นานนักเถาชิงซานเคยได้รับ ‘คำชี้แนะจากท่านเซียนอมตะ’?”
“ที่แท้ก็คือใต้เท้าเซียนที่ถ่ายทอดวิธีฝึกตนให้แก่เทพเถาซานนั่นเอง… มิน่าเล่า…”
“รีบไป รีบไป เมื่อสักครู่ไม่ได้ยินท่านเซียนคนนั้นพูดหรือว่าจะกำราบเมืองเก้าคดแห่งนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง?”
“ให้ตายสิ! เกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท รีบไปกัน!!”
เพียงครู่เดียว เหล่าภูตผีปีศาจที่มาเพื่อร่วมฉลองพากันตื่นตระหนกวุ่นวาย แต่ละคนสาวเท้าได้ก็รีบวิ่งหนีกันให้อุตลุด