บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 201 ตัดขาดธารน้ำและภูเขาในดาบเดียว
ตอนที่ 201: ตัดขาดธารน้ำและภูเขาในดาบเดียว
ณ แม่น้ำต้าฉางใต้ราตรีมืด
ท่ามกลางคลื่นน้ำวน หมอกไอจับตัวหนาบนผิวน้ำ พวกของซูอี้เดินมายังริมแม่น้ำ
“จินเซี่ยวชวนอยู่ที่ใด?”
สายตาของซูอี้กวาดมองโดยรอบ ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ใต้เท้า ผู้น้อยอยู่ตรงนี้” เสียง ๆ หนึ่งดังมาแต่ไกล
ไม่นานนักจินเซี่ยวชวนหัวหน้าพรรคปลาดำก็วิ่งมาหา เมื่อเห็นว่าพวกของซูอี้กลับมาอย่างปลอดภัยไร้กังวล ความรู้สึกเคารพยำเกรงก็ผุดขึ้นมาในใจลึก ๆ
เข้าไปในสถานที่อย่างถ้ำเสือบ่อมังกรเช่นนั้น ยังสามารถเดินกลับออกมาได้โดยไม่มีร่องรอยความเสียหายแม้แต่ปลายผม ไม่เสียแรงเลยที่มีตัวตนราวกับเทพเซียน!
“ประเดี๋ยวเจ้าพาพวกเขานั่งอินทรีเกล็ดเขียวกลับไป ส่วนข้าจะพาเหวินหลิงเสวี่ยเดินทางกลับทางภาคพื้น”
สายตาของซูอี้เบนไปยังหนิงซือฮวา
“เหตุใดไม่เดินทางพร้อมกัน?” หนิงซือฮวากล่าวถาม
หัวคิ้วของซูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อย แล้วกล่าวคำออก “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าอินทรีเกล็ดเขียวของเจ้านั่งได้เพียงแค่สามคนเท่านั้น?”
หนิงซือฮวากลั้นหัวเราะ เม้มปากยิ้มพลางกล่าว “นั่นเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ข้าไม่อยากจะพาแม่หนูน้อยอย่างเจิ้งมู่เหยามาด้วยเท่านั้น ด้วยความสามารถของชิงน้อย พาสิบคนบินก็ไม่มีปัญหา”
ซูอี้ “…”
เมื่อใดกันที่ผู้หญิงจะไม่โกหก!?
หนิงซือฮวาไม่พูดพล่ามต่อ ริมฝีปากแดงอิ่มเอิบส่งเสียงหวีดดังกังวานออกมา
ไม่นานนัก อินทรีเกล็ดเขียวผู้โดดเด่นก็แหวกอากาศร่อนลงมาอยู่ข้างกายคนทั้งหลาย
เห็นภาพเช่นนี้แล้ว เถาชิงซานรู้ได้ในทันใดว่าพวกของซูอี้กำลังจะออกเดินทางแล้ว จึงรีบกล่าวขึ้นมา
“ท่านเซียนอมตะ ต้องการให้ข้าน้อยช่วยท่านแบกห่อผ้านี้กลับไปด้วยหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ต้อง”
ซูอี้กวักมือ ห่อผ้าขนาดใหญ่ห่อนั้นถูกยัดเข้าไปในหยกดำที่คล้องติดเอว
เถาชิงซานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เดิมทีเขาตั้งใจไว้ว่าอยากจะไปดูสถานที่พักของซูอี้สักหน่อย ต่อไปจะได้ไปหาเพื่อขอคำชี้แนะได้อย่างสะดวก
ทว่าตอนนี้ดูแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่มีความเป็นไปได้อีก
“ท่านเซียนอมตะ ถ้าเช่นนั้นผู้น้อยขอตัวลากลับก่อน”
เถาชิงซานโค้งตัวคารวะ
“วันข้างหน้าต้องตั้งใจฝึกตนให้มาก อย่าได้ยุ่งกับเรื่องชั่วร้ายเหล่านี้อีก ควรต้องรู้ไว้ว่า ปีศาจอย่างเจ้าเช่นนี้ มีแต่ต้องตั้งจิตอยู่ในธรรม จึงจักมีวันสำเร็จ” ซูอี้กล่าวขึ้นมา
เถาชิงซานสะดุ้งสุดตัว น้อมคารวะอย่างนอบน้อมอีกครั้ง
หลังจากนั้นจึงพาเถิงหย่งจากไปโดยเร็ว
“สหายเต๋า เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะขจัดพื้นที่ตรงนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง? ให้ข้าได้ชมดูสักหน่อยได้หรือไม่?”
หนิงซือฮวากะพริบตาปริบ ๆ ยิ้มพลางถาม
“เหตุใดจะไม่ได้ พวกเราขึ้นไปนั่ง ให้สัตว์ร้ายนี้บินขึ้นสู่กลางอากาศเสียก่อน”
ซูอี้เอ่ยพูดน้ำเสียงราบเรียบ
ถูกซูอี้เรียกอีกครั้งว่าสัตว์ร้าย อินทรีเกล็ดเขียวจึงแสดงท่าทีเงียบขรึมมาก ทว่าในใจกลับคิดว่า ข้าก็อยากจะดูเช่นกันว่าเจ้าจะขจัดพื้นที่ตรงนี้ให้เรียบเป็นหน้ากลองด้วยวิธีใด…
อย่างรวดเร็ว อินทรีเกล็ดเขียวก็พาทุกคนบินขึ้นสู่ฟากฟ้า มาอยู่ใต้ชั้นเมฆเพียงแค่ชั่วพริบตาไม่กี่ที
เหวินหลิงเสวี่ยขี่หลังซูอี้ มือขวาของซูอี้ถือดาบบงการฟ้าดิน พลันฟันดาบลงบนอากาศ
สวบ!
ประกายดาบส่องสว่างขึ้นมาในความมืดพลันหายไป
ราตรีมืดประดุจหมึกสีดำ สรรพสิ่งสงบนิ่ง ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เพียงแค่นี้?
แววตาของอินทรีเกล็ดเขียวเกิดประกายหยอกล้อเย้ยหยัน อยากจะหัวเราะออกมา
ทว่าอย่างรวดเร็ว มันก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
บนแม่น้ำต้าฉางเก้าคดสิบแปดโค้งนั้น น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก สั่นสะเทือนขึ้นมาในทันใด เกิดเสียงครืน ๆ ดังกึกก้อง
ราวกับเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว น้ำในแม่น้ำกระฉอกเดือด คลื่นซัดสาดกระเซ็น!
เทือกเขาพันวนที่ตั้งริมแม่น้ำต้าฉางก็เริ่มสั่นสะเทือนตาม ก้อนหินดินทรายรวมถึงต้นหมากรากไม้บนเขาพากันไหลร่วงลงมา เสียงร้องตื่นตระหนกตกใจของสัตว์ป่าดังขึ้นเป็นพัก ๆ ท่ามกลางราตรีมืดมิดดังน้ำหมึกเช่นนี้แลดูน่าสลดเศร้าใจยิ่งนัก
หากว่ามองดูให้ดี ก้อนหินดินทรายบนเทือกเขาพันวนกำลังปลิวว่อน ต้นไม้ใบหญ้าโค่นล้ม ฝูงสัตว์ป่าวิ่งหนี ทุกอย่างอยู่ในสภาพโกลาหลจ้าละหวั่น
“นี่…”
คนที่ความรู้สึกช้าอย่างจินเซี่ยวชวนก็ยังอดตะลึงในภาพเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้
สายตาของอินทรีเกล็ดเขียวเปลี่ยนไป เกิดแววตาแห่งความตื่นตระหนกสงสัยขึ้นมาเช่นกัน
ลึกลงไปในพื้นแผ่นดินที่มองไม่เห็น ใจกลางเมืองเก้าคด
บริเวณร้อยวารอบสี่ด้านของลานพิธีขนาดใหญ่ ประตูโลหะสัมฤทธิ์แต่ละบานปรากฏขึ้นมาในฉับพลัน ประตูแต่ละบานล้วนประดุจถูกไฟแผดเผา ระเบิดแตกเป็นสะเก็ดสายฟ้าฟาด ดวงดาวดวงเดือนพังพินาศย่อยยับอย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึง ขยายตัวออกไปในทุกทิศทุกทางด้วยความบ้าคลั่ง
ปัง!
สิ่งแรกที่พังถล่มลงมาก่อนคือแท่นบูชาสีดำสูงเก้าฉื่อใจกลางลาน ระเบิดกระจายกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตาเดียว
ลำดับถัดมา ระเบิดทำลายล้างอย่างบ้าระห่ำดุเดือด ใช้ลานพิธีเป็นใจกลางแผ่ขยายออกไปจากทั่วสี่ด้านแปดทิศทาง
ครืน! ครืน! ครืน!
ห้องหับเรียงกันเป็นแถวประดุจโลงศพสีดำแหลกละเอียดกลายเป็นละอองในชั่วพริบตา วิญญาณผีที่ล่องลอยวนเวียนอยู่บนตรอกซอกซอยวิญญาณแตกธาตุดับท่ามกลางเสียงกรีดร้องแห่งความหวาดผวาสิ้นหวัง
การทำลายล้างสายฟ้าร้องเช่นนั้นช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน รุนแรงจนคล้ายกับพายุ แผ่ขยายไปทั่วเมืองภายในระยะเวลาอันสั้น
ผีเฒ่าที่กำลังนั่งเคาะลูกคิดกระดูกขาวโดนฆ่าด้วยสายฟ้าแลบสีขาวในพริบตา ก่อนตายยังคิดคำนวณบัญชีคนที่ตายอยู่ในเมืองเก้าคดแห่งนี้
ผีเด็กชายเด็กหญิงที่กำลังหยอกล้อต่อกระซิกกันบนถนน ยังไม่ทันได้หนีก็ถูกทะเลเพลิงครอกจนไม่มีเหลือ
หญิงเฒ่าที่กำลังตัดเย็บเสื้อผ้าหนังคน คนแล่เนื้อที่ขายเนื้อหนังของมนุษย์ พ่อค้าที่ขายน้ำซุปต้มหัวกระโหลก…
ล้วนมลายหายไปจนสิ้นท่ามกลางอัคคีเพลิงทำลายล้างราวกับกระดาษ
จนท้ายสุด เมืองเก้าคดอันยิ่งใหญ่ถูกปกคลุมด้วยทะเลเพลิงสะท้านโลกันตร์ มีสายฟ้าแลบคึกคะนอง มีลมพายุพัดกระหน่ำ มีแสงสีเลือดแผ่ขยาย…
เขตผีแห่งนี้ราวกับตกอยู่ในคุกแห่งการทำลายล้าง
ภูตผีและปีศาจที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองบางรายที่เพิ่งหนีออกจากเมืองเก้าคด มองเห็นภาพสยดสยองน่าสะพรึงกลัวนี้จากไกล ๆ แล้วต่างก็ตกใจถึงกับร่างทรุดสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด
ในที่สุดพวกเขาจึงเชื่อแล้วว่าท่านเซียนวัยเยาว์ผู้นั้นมีวิธีกำราบเมืองแห่งนี้ให้ราบเรียบเป็นหน้ากลองอย่างแท้จริง!!
“หนี! รีบหนี!”
“ฮือ ฮือ ฮือ… คนแตกตื่นตกใจกลัวกันหมดเลย ไม่ใช่สิ ผีแตกตื่นตกใจกลัวกันหมดเลย!!”
ภูตผีและปีศาจเหล่านั้นต่างก็พยายามวิ่งหนีเอาตัวรอดด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมด
ด้านหลังของพวกเขา เมืองเก้าคดเปรียบเสมือนอาคารสูงใหญ่พังทลายย่อยยับ ดับสูญไปในฉับพลันท่ามกลางพลังทำลายล้างอย่างไม่สิ้นสุด
จนท้ายที่สุด พื้นที่ใต้ดินอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ก็ถล่ม กระแสน้ำไหลเชี่ยวของแม่น้ำต้าฉางไหลทะลักลงไปจมทับพื้นที่ตรงนี้จนสิ้น
มองลงมาจากท้องฟ้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนแม่น้ำต้าฉางเก้าคดสิบแปดโค้งแห่งนี้มีหินโสโครกน้อยใหญ่มากมายพากันจมดิ่ง ผิวน้ำยุบลงอย่างกะทันหัน ก่อให้เกิดเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่มหึมา
ทว่าไม่นานนัก เนื่องด้วยกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากนั้นไหลทะลักจากต้นน้ำอย่างไม่ขาดสาย ระดับน้ำในหลุมลึกขนาดใหญ่มหึมาหลุมนั้นจึงเพิ่มสูงขึ้นอยู่ตลอด และกลับมาอยู่ในสภาพราบเรียบดังเดิมอย่างรวดเร็ว
“ดาบนี้ดาบเดียว บงการสายน้ำและขุนเขา ชักนำอานุภาพแห่งกลไกใหญ่ ตัดขาดสายธารน้ำและเทือกเขา ทำลายเขตผีใต้บาดาล บันดาลงานสร้างไม่อาจมีใครเทียบเทียม!”
หนิงซือฮวากล่าวชื่นชม ในแววตาเต็มไปด้วยสีสันตระการตา
นางลิ้มรสแห่งความลี้ลับและอานุภาพของดาบนี้เพียงดาบเดียวได้อย่างถึงแก่น จิตใจของนางก็เกิดความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาขึ้นมาเช่นกัน
จินเซี่ยวชวนมองตะลึงตาค้างอยู่ตรงนั้น ในใจมีแต่เพียงเสียงเดียวเท่านั้น ‘มหัศจรรย์! เทพเซียนบันดาลเป็นแน่!’
อินทรีเกล็ดเขียวก้มหัวคอตกด้วยความสลด
ในที่สุดมันก็เข้าใจแล้วเช่นกันว่าด้วยวิธีการและพลังของซูอี้ เขามีคุณสมบัติมากพอที่จะเรียกมันว่าสัตว์ร้ายได้อย่างแท้จริง…
ทว่าซูอี้กลับส่ายหน้าพลางกล่าว “ยืมแรงเท่านั้น ไม่มีอะไรให้น่ายกย่อง”
ค่ายกลเก้าวังสังหารโลหิตครอบคลุมเบื้องล่างของสายน้ำช่วงเก้าคดสิบแปดโค้งแห่งนี้ เชื่อมโยงแนวธารน้ำและเทือกเขา หลายปีมานี้ อูหวนสุ่ยจวินอาศัยค่ายกลนี้สร้างคลื่นเรียกพายุ ทำลายเรือที่เดินทางผ่านไปมาลำแล้วลำเล่า
ส่วนลานที่เมืองเก้าคดนั้น เขาทยอยแกะสลักภาพสัญลักษณ์ค่ายกลแต่ละภาพลงบนเสาใหญ่โลหะสัมฤทธิ์ทั้งเก้าต้น ด้วยเหตุนี้จึงแย่งอำนาจการควบคุม ‘ค่ายกลเก้าวังสังหารโลหิต’ ไปได้ตั้งนานแล้ว
โดยใช้ดาบบงการฟ้าดินควบคุม ‘ยันต์กลไก’ แห่งพลังค่ายกลใหญ่
ดาบเดียวที่ซูอี้ฟันลงไปเมื่อสักครู่ ดูคล้ายกับเป็นการบันดาลงานสร้าง แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่การจุดระเบิดพลังค่ายกลเก้าวังสังหารโลหิตโดยตรงเท่านั้น
“สหายเต๋าไม่ต้องถ่อมตน ดังคำกล่าวที่ว่าเมื่อถึงเวลาฟ้าดินจักสานพลัง สิ่งที่สหายเต๋ากระทำไปนี้นอกจากทำลายแดนผีแล้ว ขณะเดียวกันยังเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาวะของขุนเขาและธารน้ำด้วย นับแต่นี้ไป เรือที่เดินทางผ่านไปมาจะไม่เจอกับภัยอันตรายใด ๆ อีก ถือเป็นเรื่องดีสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่”
หนิงซือฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“บุญกุศลอันใดกัน ข้าทำไปเพียงเพื่อช่วยหลิงเสวี่ยเท่านั้น”
ซูอี้ยิ้ม “รีบเดินทางกันเถอะ ดีที่สุดควรกลับไปถึงมหานครกุ่นโจวก่อนฟ้าสาง”
“ได้!”
หนิงซือฮวาพยักหน้า
อินทรีเกล็ดเชียวส่งเสียงร้องกังวานออกมา สองปีกประดุจกรรไกร ตัดขาดคลื่นเมฆ หายลับไปในความมืดมิดอันเวิ้งว้างอย่างรวดเร็ว
“นี่คือวิชาแห่งเซียนเช่นนั้นหรือ?”
ในดินแดนป่าเขาอันไกลโพ้น เถิงหย่งหันหน้ามา สายตาทอดมองไปยังเขตน้ำที่เดิมทีเคยเป็นที่ตั้งของเมืองเก้าคด เหงื่อหนาวไหลท่วมตัว
เมื่อสักครู่นี้เอง แผ่นดินสั่นสะเทือน เทือกเขาหวั่นไหว แม่น้ำต้าฉางเกิดคลื่นโหมซัด เสียงร้องดังกึกก้องประดุจเสียงสายฟ้าแลบ ดังสะท้อนท่ามกลางความมืดมิด
ถึงแม้ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าทั้งหมดนี้ยังคงทำให้เถิงหย่งตกใจจนแทบขวัญหนี จนเข้าใจไปว่าเกิดภัยพิบัติแห่งฟ้าขึ้นแล้ว
“ท่านเซียนอมตะท่านนั้นเป็นเทพเซียนจริง ๆ หรือไม่ ข้าไม่อาจทราบได้ แต่ข้ามั่นใจมากว่า เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกยุทธ์ในโลกนี้จะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้!”
สายตาของเถาชิงซานร้อนผ่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพศรัทธา
เขาเชื่อมั่นยิ่งนักว่าเมืองเก้าคดของอูหวนสุ่ยจวินนั้นได้สูญสิ้นไปจากโลกนี้แล้ว!
“รีบหนี!”
“รีบหนี รีบหนี!”
ในช่วงเวลาเดียวกัน ท่ามกลางราตรีอันมืดมิดแห่งนี้ ภูตผีและปีศาจที่โชคดีรอดมาได้เหล่านั้นต่างพากันร่ำร้องและวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
“ดูพวกภูตผีปีศาจเหล่านั้นสิ!”
เถาชิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลนพลางส่ายหน้า จากนั้นจึงหมุนตัวจากไป
นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ละแวกใกล้เทือกเขาพันวนมีนิทานเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทพเซียนที่สืบทอดกันไปตราบนานเท่านาน
เล่ากันว่า ณ ที่ตรงนี้ เซียนชุดเข้มเคยตัดธารน้ำและภูเขาในดาบเดียว ฆ่าล้างภูตผีปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน!
ด้วยเหตุนี้ ‘เก้าคดสิบแปดโค้ง’ ที่ใคร ๆ พูดถึงแล้วต้องพากันหวาดกลัวในช่วงเกือบร้อยปีที่ผ่านมาจึงได้รับการเปลี่ยนแปลง
และก็เป็นเพราะคำเล่าลือนี้ ชาวบ้านที่พักอาศัยในบริเวณนั้นจึงสร้างวัดบนเทือกเขาพันวนริมแม่น้ำต้าฉาง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีคนมาสักการะกราบไหว้รูปปั้นเซียนกันไม่ขาดสาย
——
ในโลกขุ่นมัวที่มืดมิด
ทุกแห่งเต็มไปด้วยซากศพและทะเลเลือด กระดูกขาวซ้อนทับสูงเท่าภูเขา
“ต่ำช้า! เลวทราม!”
เสียงร้องคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดดังขึ้น “บังอาจฆ่าทูตของข้า ทำงานใหญ่ของข้าเสียหาย เมื่อข้าฟื้นฟูพลังต้นกำเนิด และสามารถหลุดออกจาก ‘ถ้ำโลหิตหมิงหลิง’ แห่งนี้ไปได้วันนั้นจะเป็นวันตายของเจ้า!! ”
บนภูเขากระดูกเขา วิหคอัปมงคลเก้าเศียรกำลังเงยหน้าอ้าปากคำราม
ปีกของมันฟอนเฟะ บาดแผลมากมาย บนร่างที่ยาวถึงสามจั้ง เต็มไปด้วยบาดแผลใหญ่น่าสยดสยอง หัวศีรษะทั้งเก้าเหลือเพียงแค่สองหัวเท่านั้น
ดูแล้ว สภาพน่าอนาถมาก
“ถึงแม้ตอนนี้ข้าไม่อาจหลุดไปจากที่นี่ได้ แต่ข้ามีวิธีจะประคับประคองสาวกนับไม่ถ้วนทำงานถวายชีวิตเพื่อข้าได้!”
“คนสารเลวสกุลซู เจ้าระวังตัวไว้ให้ดี!!”
นานมาก เสียงร้องคำรามแห่งความเกรี้ยวกราดของจิ่วโถวเหนี่ยวจึงสงบลงไปบ้าง
โลกขุ่นมัวซึ่งราวกับเต็มไปด้วยซากศพและทะเลเลือดจึงกลับสู่ความเงียบสงบเหมือนดังที่เคยเป็น
ราวกับว่าหลายร้อยล้านปีที่ผ่านมา สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในโลกแห่งนี้ล้วนกลายเป็นซากศพและน้ำเลือดที่เกลื่อนกลาดไปทั่ว คงไว้แต่เพียงจิ่วโถวเหนี่ยว หรือวิหคอัปมงคลเก้าเศียรที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสตัวนี้เท่านั้น