บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 202 ประหลาดใจ
ตอนที่ 202: ประหลาดใจ
เรือนพำนักหินศิลา
ฉาจิ่นนั่งเหม่อลอยบนม้านั่งหิน
โดยไม่รู้ถึงเหตุผลใด นับตั้งแต่ซูอี้และหนิงซือฮวาพากันออกไปข้างนอกในค่ำคืนนี้ นางจึงบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกกล่าวไม่ถูก
แม้นางจะรู้ว่าซูอี้และหนิงซือฮวานั้นหาใช่ผู้บ่มเพาะธรรมดาและเพียงพอที่จะจัดการกับภยันอันตรายทั้งหมด แต่นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
“นายท่านแข็งแกร่งนัก อีกทั้งช่องว่างระหว่างข้ากับเขาก็ยิ่งมากขึ้นทุกวันคืน ไม่ช้าก็เร็ว เมื่อข้าไร้ประโยชน์สำหรับเขา บางที… บางทีข้าอาจถูกทอดทิ้ง…”
คิดเรื่องนี้ฉาจิ่นก็เกิดความวิตกกังวลขึ้นมาทันที
น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ มนุษย์มุ่งสู่ที่สูง
สำหรับผู้บ่มเพาะฝึกฝนบำเพ็ญ เมื่อพวกเขามุ่งแสวงหาเต๋า พวกเขาจะเดินไปบนมรรคาฟ้าพร้อมกับภาระได้อย่างไร?
“ไม่ เหตุใดข้าถึงคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ นี่ข้าเริ่มพึ่งพาผู้ชายคนนั้นแล้วหรือ?”
“ท่านป้าฉาจิ่น ถ้าง่วงก็เข้าเรือนไปพักผ่อนเถิด”
อยู่ไม่ไกลนัก เสียงของเจิ้งมู่เหยาก็ดังขึ้น
หญิงสาวชุดดำนั่งอยู่ที่นั่นอย่างงดงาม ผิวขาวเสียยิ่งกว่าหิมะ ทรวดทรงโค้งเว้าดูร้อนแรง ทั้งเย้ายวนและชวนลุ่มหลงในเวลาเดียวกัน
ท่านป้า?!
เมื่อได้ยินสรรพนามนี้ เส้นสีดำปรากฏขึ้นกลางหน้าผากของฉาจิ่น
นางสูดหายใจเข้าลึกและยิ้มอย่างมันเขี้ยว “สาวน้อย ถ้าเจ้าง่วงก็จงกลับบ้านไปเสีย เจ้าอายุยังน้อยอีกทั้งยังเป็นสตรี มันไม่ควรที่เด็กเล็กเช่นเจ้าจะเข้านอนดึกดื่น ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะป่วยไข้และตายลงก่อนวัยชรา!”
คิ้วโค้งงามของเจิ้งมู่เหยาย่นเข้าหากันอย่างฉับพลัน นางนั่งหลังตรง เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่ลดละ
“สุขภาพของข้าดีเสมอมา ท่านป้าอย่าได้มากังวลเกี่ยวกับข้า ท่านควรเอาเวลาที่เหลืออยู่ตามอายุขัยใส่ใจสุขภาพของท่านเองจะดีกว่า!”
ดวงตาคู่งามของฉาจิ่นเหลือบมองไปยังหน้าอกของอีกฝ่ายซึ่งด้อยกว่าของตน ก่อนที่ริมฝีปากสีดอกกุหลาบของนางจะเผยรอยยิ้มขี้เล่นและหยอกล้อ
นางหาได้พูดอะไรไม่
แต่ดวงตาและรอยยิ้มขี้เล่นของนางทำให้เจิ้งมู่เหยารู้สึกอึดอัดอยู่ครู่หนึ่ง …จนท้ายที่สุดก็ไม่อาจทนไหวต้องเอ่ยถ้อยคำออกอย่างรำคาญใจ “ท่านป้า ท่านจะยิ้มอะไรนักหนา!”
ฉาจิ่นชี้ไปยังดอกบัวในทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกล เอ่ยถ้อยคำถามกลับ “เจ้าเห็นนั่นหรือไม่? ดอกบัวน้อยกลีบยังไม่ทันบาน แม้มันจะดูสวยงามอยู่บ้าง แต่มันย่อมไม่อาจเทียบได้กับเหล่าดอกบัวที่บานแล้วซึ่งดูงดงามกว่าเป็นไหน ๆ เจ้าว่าจริงหรือไม่?”
แม้ราตรีนี้จะมีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟคอยขับไล่ความมืดมิด แต่หากไม่ใช่คนตาบอดก็ย่อมมองเห็นดอกบัวในทะเลสาบได้ชัดเจน
เจิ้งมู่เหยาหาใช่คนโง่เง่าจึงตระหนักได้ว่าฉาจิ่นกำลังใช้สิ่งนี้เพื่อบ่งบอกว่าเรือนร่างของนางไม่อาจเทียบเทียมกับอีกฝ่ายได้
“ท่านป้า จริงอยู่ที่ดอกบัวบานเหล่านั้นน่าดึงดูดกว่า แต่ท่านจงอย่าลืมว่าสรรพสิ่งล้วนมีอายุขัย ดอกบัวบานเหล่านั้นอีกไม่นานพวกมันก็เหี่ยวเฉาและตายลงเป็นแน่แท้!”
เจิ้งมู่เหยาโต้กลับอย่างไม่ไว้หน้า
ฉาจิ่นยิ้มและพูดว่า “สาวน้อย หากเจ้าเอ่ยเช่นนี้ก็แสดงว่าเจ้านั้นช่างไร้เดียงสา เจ้าไม่รู้เลยหรืออย่างไรว่าเมื่อบ่มเพาะไปถึงจุดหนึ่ง สตรีอย่างเราจะสามารถคงความอ่อนเยาว์ได้ตลอดไป แต่ก็เอาเถอะ เจ้ายังเล็กนัก คงไม่มีทางเข้าใจเรื่องทางโลกได้มากมาย”
เจิ้งมู่เหยากัดฟันด้วยความโกรธ กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
เจิ้งเทียนเหอที่ยืนอยู่ที่รออยู่ไกล ๆ ก็เอ่ยขึ้นแทรกว่า “คุณชายซู พวกเขากลับมาแล้ว!” ทันทีที่เอ่ยจบ
ทุกคนต่างแลเห็นเงาสีดำมาจากฟากฟ้าไกลออกไป
ในชั่วไม่กี่อึดใจต่อมา เงาดำนั้นก็ค่อย ๆ ร่อนลงที่ลานบ้าน
เมื่อเห็นซูอี้และคนอื่น ๆ เดินลงจากหลังนกอินทรีเกล็ดเขียวทีละคน ความกังวลในหัวใจของฉาจิ่นก็หายไป โดยไม่รอช้านางพลันลุกขึ้นสาวเท้าเข้าใกล้
เจิ้งมู่เหยาส่งเสียงอย่างเบิกบานรีบวิ่งออกราวกับกับสายลมลมกระโชกด้วยรอยยิ้มหวาน “ท่านอาซูอี้! ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
“จิ้งจอกน้อยตัวนี้ช่างเจ้าเล่ห์นัก… ” ฉาจิ่นลอบสบถเสียงเบา
“คุณชายซู ปรมาจารย์หนิง พวกท่านกลับมาแล้ว”
เจิ้งเทียนเหอทักทายพวกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
หนิงซือฮวาพยักหน้าแล้วหันศีรษะไปทางซูอี้ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำว่า “ข้าขอตัวพาผู้อาวุโสจู้กลับไปที่ตำหนักเทียนหยวนก่อน หากมีเวลาว่างเมื่อใดข้าจะมาเยี่ยมสหายเต๋าอีกครา”
จากนั้นนางและจู้กู่ชิงขึ้นไปยังอินทรีเกล็ดเขียวและบินออกไปทันที
“เจ้าตำหนักช่างงามสง่าราวกับเทพเซียนโดยแท้”
เจิ้งเทียนเหอถอนหายใจ แล้วยิ้มและป้องมือให้ซูอี้ “คุณชายซู เมื่อเรื่องจบลงแล้วเช่นนี้ เจิ้งผู้นี้คงต้องขอตัวลาก่อน”
ซูอี้พยักหน้า “คราวนี้ข้าเป็นหนี้บุญคุณตระกูลเจิ้งอยู่หนึ่งครั้ง”
เจิ้งเทียนเหอตกตะลึง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสุขที่บรรยายไม่ถูก ตระหนักว่าเหตุการณ์นี้ทำให้เขาและซูอี้ใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกก้าวหนึ่ง
เขายิ้มและโบกมือ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยคุณชายซู ถือเป็นเกียรติของเจิ้งผู้นี้ซะมากกว่าที่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ให้ท่านได้!”
ซูอี้ไม่พูดอะไรอีก
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เจิ้งเทียนเหอไม่กล้าที่จะรั้งอยู่อีกต่อไป หันไปหาเจิ้งมู่เหยาที่ยังคงไม่เต็มใจจะลาจาก
ก่อนจากไป สตรีผู้เย้ายวนและมากเสน่ห์ผู้นี้ยังคงโบกมือ “ท่านอาซูอี้ พรุ่งนี้ข้าจะกลับมานะ~”
ฉาจิ่นสูดหายใจเข้าอย่างเย็นชา แอบมองหาโอกาสที่จะทำให้จิ้งจอกน้อยผู้นี้ถอยหนี
“นายท่าน แม่นางหลิงเสวี่ยเป็นอะไรมากหรือไม่”
เมื่อเห็นซูอี้อุ้มเหวินหลิงเสวี่ยกลับเข้าไปในเรือน ฉาจิ่นก็รีบตามไป
“นางไม่เป็นไร เจ้าไปก่อไฟก่อนแล้วเตรียมน้ำร้อนไว้ หลิงเสวี่ยน่าจะอาบน้ำเมื่อนางตื่น”
ซูอี้สั่ง
“เจ้าค่ะ”
“…อีกไม่นานฟ้าจะสางแล้ว เจ้าจงออกไปซื้อของกินตระเตรียมเอาไว้ด้วย ตัวข้าเอาเป็นโจ๊กร้อนธรรมดา ส่วนหลิงเสวี่ยนางชอบโจ๊กหวาน”
“เจ้าค่ะ”
“ใช่ มีอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องการ ระหว่างออกไปข้างนอกอย่าลืมซื้อเสื้อผ้าสตรีชุดใหม่มาเพิ่มอีกสักหลายชุดด้วย”
“เจ้าค่ะ”
เอ่ยจบประโยคซูอี้เดินไปถึงหน้าห้องพอดี เขาเหลือบมองฉาจิ่นซึ่งยังคงตามมาและพูดว่า
“เจ้าไปทำตามที่ข้าสั่งได้แล้ว”
จากนั้นเขาผลักประตูเข้าไปและปิดประตูลง
ฉาจิ่นถูกทิ้งให้ยืนอยู่อย่างเดียวดายด้านนอกห้อง นางกัดริมฝีปากแดงอย่างอึดอัด ความรู้สึกขมขื่นอธิบายไม่ได้ผุดขึ้นในหัวใจของนาง
“คนเกียจคร้านและหยิ่งยโสผู้นี้กลับจำได้ว่าน้องภรรยาของตนเองชอบโจ๊กหวาน เห็นได้เด่นชัดเลยว่าเขามีความคิดแอบแฝงไร้ยางอาย!”
ฉาจิ่นพ่นลมหายใจ
นางติดตามซูอี้มาระยะหนึ่งแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นซูอี้เอาใจใส่สตรี…
ครู่หนึ่ง ฉาจิ่นก็ส่ายหัวและหันหลังกลับ
ในห้อง
“เอาล่ะ เจ้าเลิกแกล้งหลับได้แล้วกระมัง?”
ซูอี้ถอนหายใจ สีหน้าเริ่มผ่อนคลาย
เหวินหลิงเสวี่ยที่นอนหลับสบายในอ้อมอกของเขา ขนตาของนางสั่นไหวเล็กน้อย ตาของนางปิดแต่กลับพึมพำถ้อยคำออกเสียงเบา
“พี่เขย ข้าไม่ได้นอนมาสองวันสองคืนแล้ว ข้าหลับสนิทดียิ่งในอ้อมอกของท่าน”
เสียงของนางทั้งแผ่วเบาและไพเราะชวนให้หลงใหล
แต่ครู่ต่อมา นางเงยหน้าขึ้นและตบไหล่ของซูอี้ด้วยมืออันเรียบเนียนของตัวนาง “พี่เขย ปล่อยข้าลงเถอะ”
แขนของซูอี้คลายออก แล้วร่างของหญิงสาวผู้งดงามก็เลื่อนลงไปยืนที่พื้นด้วยขาของนางเอง
ทันใดนั้น เมื่อร่างอันเนียนนุ่มและหอมหวนของหญิงสาวเคลื่อนออกไปจากอก ซูอี้กลับรู้สึกเหมือนขาดสิ่งใดไป เขารู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย
แต่กระนั้นเขาส่ายหัวสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักอย่างเกียจคร้าน มองขึ้นและลงยังร่างที่สง่างามของหญิงสาว ก่อนพูดอย่างอบอุ่นว่า “ฉาจิ่นจะเตรียมน้ำสำหรับอาบให้แก่เจ้า เจ้าจงอาบน้ำให้สบายตัวแล้วกินข้าวให้อิ่ม และนอนหลับพักผ่อนไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีกต่อไป”
เหวินหลิงเสวี่ยนั่งอยู่ข้างกัน ดวงตาของนางจับจ้องไปที่ซูอี้ ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำเบา
“พี่เขยท่านรู้หรือไม่ ว่าตอนที่ข้าอยู่ในเมืองเก้าคดข้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่?”
ก่อนที่ซูอี้จะได้เอ่ยตอบ หญิงสาวพูดอย่างจริงจังว่า “ตอนนั้นข้าเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าหากมีใครในโลกนี้ที่สามารถช่วยข้าและผู้อาวุโสจู้กู่ชิงได้ คน ๆ นั้นจะเป็นพี่เขยอย่างแน่นอน”
จากนั้น หญิงสาวเผยรอยยิ้มสดใส “และก็เป็นอย่างที่คาด ยามเมื่อข้าสิ้นหวังในโชคชะตา พี่เขยก็เผยตัวลงมาจากฟ้าประหนึ่งเทพเซียนผู้ปกครองโลกหล้า ท่านคงจะไม่รู้ แต่ในขณะนั้นข้าแทบไม่เชื่อสิ่งที่ตาของตัวเองเห็น…”
แม้ขณะนี้สีหน้าของนางยังมีร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าซึ่งไม่อาจจะปิดบังได้ แต่กระนั้นรอยยิ้มของนางกลับเปล่งประกายอย่างมีความสุขยิ่ง
ความบริสุทธิ์ของรอยยิ้มนั้นทำให้ซูอี้รู้สึกสงสารอย่างสุดจะพรรณนาอยู่ในใจ เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบหัวของหญิงสาวโดยกล่าวว่า
“ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นในอนาคต ข้าจะยืนหยัดเคียงข้างเจ้าเหมือนวันนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง”
หญิงสาวพยักหน้าและเอ่ยกลับ “ข้าเองก็จะปฏิบัติต่อพี่เขยของข้าเช่นเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง!”
ซูอี้หัวเราะ
ไม่นานหลังจากนั้น ฉาจิ่นก็เตรียมน้ำร้อนสำหรับอาบน้ำเสร็จและพาเหวินหลิงเสวี่ยไปที่ห้องของนางเพื่ออาบน้ำ
ซูอี้ผลักเปิดหน้าต่างและทอดสายตามองไปในระยะไกล
สัมผัสแห่งรุ่งอรุณอันหาที่เปรียบมิได้ ทะลวงผ่านราตรีอันมืดมิดด้วยแสงนวลที่โปรยปรายลงสู่โลก
ถึงยามรุ่งอรุณแล้ว
ซูอี้สูดหายใจซึมซับความกระฉับกระเฉงในยามเช้าตรู่ ก่อนจะเทเหล่าสมบัติที่ยึดมาได้ออกจากจี้หยกหมึกข้างเอว
สมบัติเหล่านี้คือสิ่งที่เหล่าผี อมนุษย์ และปีศาจมอบให้เพื่อชดเชยความผิดพลาด
เพียงมองผ่าน ๆ ซูอี้แลเห็นได้ว่าในกองสมบัติมีวัตถุวิญญาณระดับสาม สมุนไพรวิญญาณระดับสาม ศิลาวิญญาณระดับสาม และสมบัติแปลก ๆ หลายอย่างอีกมากมายเช่นแร่ที่สามารถหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ก้อนหยกที่ปรับแต่งเส้นลมปราณและเลือดได้
มูลค่าไม่เลว
“หืม?”
จู่ ๆ ดวงตาของซูอี้ก็ถูกดึงดูดด้วยบางสิ่ง หยิบหินสีน้ำตาลอมเทาคล้ายอำพันขึ้นมาทันทีและเพ่งมองมันอย่างจดจ่อ
หินก้อนนี้ไม่ใหญ่นัก มันมีขนาดเท่ากำปั้นของทารก แต่มีปราณวิญญาณจาง ๆ แทรกซึมอยู่ทั้งก้อน
เห็นได้ชัดว่าหินนี้เพิ่งถูกขุดขึ้นมาไม่นานมานี้ เนื่องจากพื้นผิวของมันยังคงถูกปกคลุมไปด้วยเศษฝุ่นดินบาง ๆ
แต่ทว่าน้ำหนักของมันกลับหนักถึงหลักร้อยชั่ง
แต่ด้วยความเข้าใจอันเลิศล้ำของซูอี้ เขาจึงสามารถมองเห็นรัศมีอันแหลมคมยิ่งยวดที่ยากจะตรวจจับซึ่งมันแฝงอยู่ในหิน!
ซูอี้เรียกดาบบงการฟ้าดินออกมาและใช้คมดาบเพื่อขัดเกลาหินในมือ ขจัดเศษฝุ่นดินและเศษที่เกาะแน่นอยู่อย่างระมัดระวัง
ขณะที่เศษหินดินทรายถูกขจัดออกไปเรื่อย ๆ หินในมือของซูอี้ก็เริ่มบังเกิดแสงแวววาวจาง ๆ และรัศมีที่แหลมคมก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่นานหลังจากนั้น บนฝ่ามือของซูอี้ก็เหลืออยู่แค่เพียงก้อนแร่ทรงสี่เหลี่ยมสีเงินสว่างสดใส มีขนาดเท่ากับไข่นกพิราบ ความสว่างแวววาวของมันนั้นมากเสียจนแม้แต่ซูอี้ต้องหรี่ตาให้แคบลงเล็กน้อย
“แร่เหล็กอุกกาบาต! มันคือสิ่งนี้จริง ๆ!” ซูอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ไม่คาดคิดเลยว่าการไปเที่ยวครานี้จะได้รับรางวัลเช่นนี้…”
แร่เหล็กอุกกาบาต!
วัตถุวิญญาณหายากที่ตกลงมาจากฟากฟ้า สามารถเอ่ยได้ว่ามันคือสมบัติระดับห้า พื้นผิวของมันสว่างเป็นสีเงิน รัศมีแห่งความแหลมคมนั้นทรงอำนาจยิ่งกว่าสายฟ้า อีกทั้งมันยังแฝงเอาไว้ด้วยพลังแห่งดวงดาวอันทรงพลังยิ่งใหญ่
ในสายตาของเหล่านักดาบ นี่คือวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการหลอมสร้างดาบวิญญาณ หรือแม้แต่ผสมมวลผงของมันเพียงเล็กน้อยก็สามารถปรับปรุงคุณภาพของดาบวิญญาณได้อย่างมาก!
สำหรับแร่เหล็กอุกกาบาตชิ้นนี้ในมือของซูอี้ แม้ขนาดของมันจะเท่ากับไข่นกพิราบ แต่น้ำหนักของมันนั้นหนักถึงร้อยชั่ง*[1]
“พลังซึ่งแฝงในดาบบงการฟ้าดินถูกใช้ไปแล้วราวสี่ในสิบส่วน และเมื่อใดที่ข้าเข้าสู่ช่วงท้ายของขอบเขตรวบรวมลมปราณ ดาบบงการฟ้าดินคงไม่อาจทานทนต่ออำนาจพลังในร่างข้าอีกต่อไป”
ซูอี้กล่าวอย่างพึงพอใจ “แต่ด้วยแร่เหล็กอุกกาบาตนี้ ข้าสามารถสร้างดาบวิญญาณที่แท้จริงได้!”
[1] 1 ชั่งจะมีน้ำหนักประมาณ 500 กรัม