บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 203 ขั้นแปรสภาพ
ตอนที่ 203: ขั้นแปรสภาพ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสรรพ เหวินหลิงเสวี่ยก็ผล็อยหลับไป
เด็กสาวผู้นี้ไม่ได้หลับตามาสองวันสองคืนแล้ว จิตใจของนางถูกทรมาน นางทั้งเหนื่อยและอ่อนล้าเป็นอย่างยิ่ง
แม้กระทั่งขณะกิน นางยังหาวอยู่หลายรอบ
ฉาจิ่นดูเป็นกังวลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงออกจากห้องเพื่อให้เหวินหลิงเสวี่ยได้พักผ่อน
ซูอี้มาถึงชายฝั่งของทะเลสาบและฝึกฝนวิชาหลอมกายกระเรียนล่องลอยครั้งแล้วครั้งเล่า
ในระหว่างการฝึกฝน ภายในร่างกายของเขาเปรียบเสมือนเตาหลอมที่เผาไหม้และร้อนแรงตลอดเวลา ขัดเกลาปราณและโลหิตทั้งร่างกายอย่างต่อเนื่อง
เสียงคำรามดังกังวานราวกับเสียงนกกระเรียนเล็ดลอดออกจากจุดชีพจรและเส้นลมปราณในร่างกายของชายหนุ่ม
จนถึงรอบที่เก้าของการโคจรเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนล่องลอย ปราณจากร่างของเขาควบแน่นเป็นรูปร่างดาบลอยวนล้อมอยู่รอบร่างสูงและสง่าของซูอี้
ปราณดาบนี้บริสุทธิ์และแหลมคมอย่างยิ่ง ยามมันหมุนวนรอบร่างของซูอี้ มันตัดอากาศออกเป็นริ้วคลื่นเล็ก ๆ ทำให้เกิดเสียงเสียดสีดัง วิ้ง วิ้ง
ทันใดนั้น ซูอี้กระทืบเท้าของเขาอย่างแรง เหยียดนิ้วชี้ตรงประหนึ่งดาบ ฟันสุ่มลงไปในทะเลสาบทางด้านหน้าของเขาห่างออกไปหนึ่งจั้ง
ชิ้ง!
ปราณซึ่งถูกควบแน่นเป็นรูปร่างดาบกวาดออกไปอย่างรวดเร็ว ฝ่าอากาศรุนแรงจนบังเกิดเสียงร้องคำรามราวกับฟ้าผ่า
เพียงชั่วพริบตา น้ำค้างบนกลีบบัวในทะเลสาบถูกตัดออกเป็นสองกระเซ็นลอยขึ้นสู่อากาศ เหลือคงไว้แต่กลีบบัวซึ่งยังคงสมบูรณ์ดังเช่นเดิมราวกับหาได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นไม่
ในทะเลสาบ
ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังก้อง
ผิวทะเลสาบที่อยู่ห่างออกไปอีกหนึ่งจั้ง ผิวน้ำใสดุจผลึกแก้วมันถูกตัดแยกออกเป็นสองด้วยพลังแห่งดาบอันเลิศล้ำ รอยแยกมันมีความยาวถึงหนึ่งจั้ง มวลน้ำทั้งสองด้านสาดกระเซ็นปั่นป่วนก่อเกิดเป็นคลื่นม้วนตัวประหนึ่งภัยพิบัติ
นิ้วประหนึ่งดาบ!
แม่นยำผ่าน้ำค้าง ทรงอำนาจแหวกทะเลสาบเป็นสอง!
การกระทำนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการใช้พลังอำนาจได้อย่างแม่นยำของซูอี้ และในขณะเดียวกันมันยังแสดงให้เห็นว่าพลังของเขานั้นร้ายแรงมากเพียงใด
ซูอี้ถอนหายใจยาว ปรับสภาพปราณในร่างของตนเองให้สงบ ภายในร่างที่เดือดพล่านคล้ายเตาหลอมของเขาเริ่มผ่อนคลาย และจากนั้นไม่นานทุกอย่างจึงกลับเข้าสู่สภาพสงบเช่นเดิม
“นายท่านเข้าสู่ขั้นสาม ‘แปรสภาพ’ ของขอบเขตรวบรวมลมปราณแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ไม่ไกลนัก ดวงตามากเสน่ห์ของฉาจิ่นเต็มไปด้วยความตกใจที่ควบคุมไม่ได้
นางเห็นได้เช่นเจนว่าพลังดาบเมื่อครู่มันถูกสร้างจากปราณวิญญาณบริสุทธิ์ที่ควบแน่น!
การทำเช่นนี้มีเพียงแต่ผู้ที่สำเร็จขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสามเท่านั้นที่สามารถทำได้!
ฉาจิ่นยังคงจำได้อย่างชัดเจน ว่าเมื่อครั้งที่นางกับซูอี้ออกจากมหานครอวิ๋นเหอด้วยกัน เมื่อตอนนั้นอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ได้อยู่ในขั้นสอง ‘เบิกชีพจร’ ของขอบเขตรวบรวมลมปราณด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นในป่าลึกอีกสองสามวันต่อมา ในการต่อสู้กับพยัคฆ์เพลิงเนตรคราม ซูอี้ถึงสำเร็จขั้นสองของขอบเขตรวบรวมลมปราณ
จนถึงขณะนี้ ผ่านไปเพียงห้าวัน แต่ระดับการบ่มเพาะของเขาได้ก้าวไปอีกขั้น เข้าสู่ช่วงปลายของขอบเขตรวบรวมลมปราณแล้ว!
ความเร็วในการพัฒนานี้น่าตกตะลึงจนไม่อยากจะเชื่อ
อันที่จริงแล้ว หากฉาจิ่นได้รู้ว่าก่อนหน้านี้ซูอี้ฝึกฝนใหม่จนสำเร็จขอบเขตโคจรโลหิตด้วยเวลาเพียงเดือนเดียว นางคงตกตะลึงจนหมดสติเป็นแน่แท้
“ไม่ผิด” ซูอี้พยักหน้า
ในความเป็นจริง หลังจากที่ซูอี้สำเร็จ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ เขาก็สามารถทะลวงเข้าสู่ช่วงปลายของขอบเขตรวบรวมลมปราณได้ทุกเมื่อ แต่ทว่าสำหรับตัวเขาตอนนั้นคำนึงแล้วว่ามันยังไม่ถึงเวลา
ขณะนี้ มันเป็นเพราะความตื่นเต้นและความพร้อมในทุกด้าน ในคราวเดียว เขาจึงทะลวงระดับการบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนล่องลอย
“นี่… นี่มันช่างน่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง…”
ฉาจิ่นกะพริบตาปริบ ๆ นึกถึงเหล่าตัวตนที่ไม่มีใครเทียบได้ซึ่งถูกเรียกขานว่า ‘เจ็ดบุตรแห่งจันทรา’ ในสำนักวงเดือน
หลังจากเปรียบเทียบในหัวใจของนาง เพียงไม่นานนางก็พบว่าไม่มีใครสามารถเทียบเปรียบความเร็วในการฝึกฝนของซูอี้ได้เลย
“ไม่น่าเชื่อ?” ซูอี้ส่ายหัว
ในเก้ามหาแดนดิน บรรดาศิษย์หลักของสำนักชั้นนำทั้งหลาย แค่เพียงหนึ่งเดือนตัวตนเหล่านั้นก็สามารถสำเร็จวิถียุทธ์ทั้งสี่ขอบเขตได้อย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเยาว์แล้ว
คนเหล่านั้นคืออัจฉริยะที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาด พวกเขาเหล่านั้นต่างเปี่ยมล้นไปด้วยโชควาสนาที่สวรรค์ประทานให้
เช่นเดียวกันกับชิงถังซึ่งเขารับเป็นศิษย์ในเวลานั้น ยามเมื่อนางอายุเพียงเจ็ดขวบ นางก็สามารถสำเร็จขอบเขตทั้งสี่แห่งวิถียุทธ์ได้สำเร็จอย่างงดงาม อีกทั้งแต่ละขอบเขตที่นางสำเร็จล้วนแล้วแต่มีรากฐานอันสมบูรณ์แบบจนท้ายที่สุดนางจึงกล้าแกร่งเหนือกว่าศิษย์ผู้พี่คนอื่น ๆ อย่างไม่อาจเทียบกันได้
ฉาจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า “นายน้อย ข้า… ข้าคิดตัดสินใจได้แล้ว”
“หืม?”
ซูอี้กำลังจะกลับไปที่ห้องของตนเอง แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของฉาจิ่น ฝีเท้าของเขาจึงหยุดกะทันหัน “เจ้าตัดสินใจว่าอย่างไร”
“เอ่อ…”
ฉาจิ่นก้มหัวลงก่อนจะพูดอย่างติดขัด “ข้าหวังว่าข้าจะได้… ข้า… จะได้อยู่กับ… อืม… นายท่านต่อ…”
เสียงนั้นค่อย ๆ เล็กลงและแผ่วเบาจนคล้ายกับเสียงอู้อี้
“เช่นนั้นหรือ”
ซูอี้จำได้ว่าเขาได้ให้ทางเลือกแก่ฉาจิ่นสองทาง ทางเลือกหนึ่งคือการจากไป อีกทางหนึ่งคือการอยู่และรับใช้เขาต่อไป
“เจ้าเลือกได้ฉลาดแล้ว”
หลังจากเอ่ยจบ ซูอี้ก็ก้าวเข้าไปในห้องของตนเอง
“เหตุใดคำชมของเขาถึงได้ดูแปลกเช่นนี้…”
เมื่อมองไปยังซูอี้ที่หายลับเข้าไปในห้อง ฉาจิ่นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น นางเลือกที่จะอยู่ต่อแต่เหตุใดเขาถึงไม่แสดงความโล่งใจและมีความสุขบ้างเลย?
อย่างไรก็ตาม ท่าทีสบาย ๆ ของซูอี้กลับทำให้ฉาจิ่นโล่งใจอย่างอธิบายไม่ถูก หากจู่ ๆ เขาสุภาพและเอาใจใส่นางอย่างกะทันหันขึ้นมา มันคงจะทำให้นางอึดอัดมาก…
“แล้วก็ เจ้าจงอย่าลืมไปร้านรุ่ยฝูเพื่อซื้อเสื้อผ้าให้หลิงเสวี่ย!”
เสียงของซูอี้ดังลอดออกจากประตูห้อง
ฉาจิ่นส่ายหัวและหัวเราะ นี่คือซูอี้ที่นางคุ้นเคยมากที่สุด
หลังจากคิดดูแล้ว ฉาจิ่นก็ไม่รอช้าอีกต่อไป และตัดสินใจไปเดินเล่นที่ร้านรุ่ยฝู หึหึ ข้าก็จะซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ตัวเองด้วย!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉาจิ่นก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นอีกมากมาย
…
ในห้อง
ซูอี้ยืนอยู่หน้าเตียง
เหวินหลิงเสวี่ยหลับสนิท ริมฝีปากสีชมพูมันวาวของนางแยกออกจากกันเล็กน้อยตามจังหวะการหายใจ ความงามของนางยังดูโดดเด่นแม้ในยามที่ใบหน้าของนางสงบนิ่ง
เมื่อได้ยินเสียงหายใจที่แผ่วเบาเป็นจังหวะสม่ำเสมอของเด็กสาว หัวใจของซูอี้ก็ผ่อนคลายลงมาก
เขายิ้มพลางดึงผ้าห่มคุมร่างของเด็กสาวให้มิดชิดยิ่งกว่าเดิม จากนั้นจึงหันหลังเดินออกจากห้อง
ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำให้เขาคำนึงถึงและห่วงใยจากใจได้ ซึ่งเหวินหลิงเสวี่ยเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ชายหนุ่มไม่มีทางลืมความอบอุ่นและอ่อนโยนของเด็กสาวที่สดใสผู้นี้ซึ่งคล้ายกับแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ ขับไล่ความมืดมิดในใจเขาเมื่อตอนก่อนที่จะปลุกความทรงจำชาติที่แล้วให้ตื่นขึ้น
หลังจากเดินออกจากห้องไปที่ห้องหนังสือแล้ว ซูอี้ก็นั่งที่โต๊ะข้างหน้าต่าง
หลังจากนั้นไม่นาน
ซูอี้หยิบพู่กันก่อนจะขยับข้อมือของเขา และตกอยู่ในห้วงความคิด
ในขั้นปลายของขอบเขตรวบรวมลมปราณ ถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘ขั้นแปรสภาพ’
เมื่อสำเร็จถึงขั้นนี้ ผู้บ่มเพาะจะสามารถปลดปล่อยปราณวิญญาณบริสุทธิ์ออกจากร่างและควบแน่นมันให้กลายเป็นดั่งมวลแข็ง สามารถใช้มันเดินบนน้ำหรือสังหารศัตรูจากระยะไกลได้!
แก่นแท้ของพลังนี้มันคือการแปรพลังที่ปลดปล่อยให้อยู่ในสิ่งที่เรียก ‘สภาวะพลังสุดขั้ว’
‘สภาวะพลังสุดขั้ว’ นั้นสัมพันธ์กับความแข็งแกร่งของปราณวิญญาณในตัวผู้บ่มเพาะ
ในเก้ามหาแดนดิน ‘สภาวะพลังสุดขั้ว’ มีสามระดับ หนึ่งคือปฐพี สองคือสวรรค์ และสุดท้ายคือวิญญาณ!
ระดับปฐพีคือสิ่งที่เห็นได้ทั่วไป
ส่วนระดับสวรรค์นั้นเป็นสิ่งที่ผู้มีพรสวรรค์พิเศษเท่านั้นจึงจะสำเร็จได้
สำหรับระดับจิตวิญญาณ มีเพียงเหล่าศิษย์หลักในสำนักชั้นนำเก่าแก่ที่สุดเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้
ไม่ใช่เพราะเหตุผลของการฝึกฝนวิธีลับ แต่มันเกี่ยวข้องกับความถนัด ภูมิหลัง และพรสวรรค์ในการฝึกฝน
แต่ด้วยความรู้ของซูอี้ เขาทราบดีว่า ‘สภาวะพลังสุดขั้ว’ หาได้มีแค่สามระดับดังกล่าวไม่ มันยังมีระดับอีกหนึ่งซึ่งอยู่เหนือทั้งสามระดับนี้ซึ่งก็คือระดับ ‘เต๋า’ หรือเรียกอีกอย่างก็คือ ‘เต๋ากัง’!
เต๋ากังคือสิ่งใด?
มันคือ ‘สภาวะพลังสุดขั้ว’ ซึ่งย่างก้าวเข้าสู่เต๋า แฝงไปด้วยเจตจำนงแห่งเต๋า และมีอำนาจทัดเทียมกับเต๋าแห่งฟ้าดิน!
หากผู้บ่มเพาะคนใดที่ครอบครองเต๋ากังได้แล้วนั้น ในยามต่อสู้เขาจะสามารถใช้พลังเช่นเดียวกับ ‘บัญญัติ’ คว้าล้ำลึกที่สลักลงในดาบบงการฟ้าดิน หรือจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือเขาสามารถดึงพลังจากฟ้าดินสวรรค์และโลกมาใช้สอยได้ตามใจนึก!
เงื่อนไขในการสำเร็จ ‘เต๋ากัง’ เบื้องต้นก็คือคนผู้นั้นจะต้องสำเร็จ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ ในระหว่างที่อยู่ขั้นหนึ่งของขอบเขตรวบรวมลมปราณ และเบิก ‘ชีพจรลับ’ ในระหว่างอยู่ในขั้นสองให้สำเร็จเสียก่อน
เมื่อมีรากฐานดังกล่าวทั้งหมดแล้วจึงจะสามารถสำเร็จ ‘เต๋ากัง’ ได้!
หากขาดสิ่งใดไป ทุกอย่างก็คือจบสิ้น
และนี่จึงหมายความว่ามีผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วนที่สามารถสำเร็จได้!
นับตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบันของเก้ามหาแดนดิน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในขั้นตอนนี้ ซึ่งทุกตัวตนเหล่านั้นต่างทิ้งตำนานของตนเองไว้เบื้องหลังและถูกกล่าวขานชื่อเสียงผ่านทุกยุคสมัย
ขณะนี้ซูอี้ได้สำเร็จ ‘เต๋ากัง’ ของตัวเองแล้ว แม้ว่ามันจะยังหยาบอยู่บ้าง แต่ก็เรียกได้ว่ามีความก้าวหน้าอย่างมาก
‘เต๋ากัง’ ของเขาคมราวกับดาบ ใสราวกับหยกเคลือบ แฝงไปด้วยเจตจำนงแห่งเต๋าอันลึกล้ำ อำนาจของมันยากที่ผู้ใดจะต้านทาน
“จากความคืบหน้านี้ ข้าคงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยเพื่อปรับแต่งให้มันสมบูรณ์”
ซูอี้ลอบกล่าวกับตนเอง
นี่เป็นข้อเสียของการมีรากฐานที่แข็งแกร่งเกินไป ซึ่งทำให้ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการปรับแต่งเต๋ากัง
หลังจากนั้นไม่นาน ซูอี้ก็ลุกขึ้นและออกจากห้อง
ยามเที่ยง
ฉาจิ่นกลับมาพร้อมกับกระเป๋าหลายใบทั้งน้อยใหญ่
เห็นได้ชัดว่าขณะนี้นางอารมณ์ดี อีกทั้งนางยังไม่ลืมที่จะซื้ออาหารกลางวันติดมือมาด้วย
“นายท่าน ข้าได้ซื้อเสื้อผ้าของหลิงเสวี่ยมาให้แล้ว อีกทั้งยังมีเครื่องประดับไม่ว่าจะเป็นปิ่นปักผม กำไล จี้หยก…”
เมื่อเห็นซูอี้นั่งรอทานอาหารอยู่ที่ลานบ้าน ฉาจิ่นจึงยิ้มและรายงานผลการซื้อของ
ซูอี้จะสนใจฟังสิ่งนี้ได้อย่างไร เขาโบกมือก่อนจะเอ่ยออก “วางของลงก่อนแล้วเรียกหลิงเสวี่ยมากินข้าว”
ฉาจิ่นพยักหน้าอย่างร่าเริง รีบสาวเท้าจากไปพร้อมกับข้าวของที่อยู่ในมือ
“สตรีผู้นี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก… ดูเหมือนว่าหลังจากตัดสินใจติดตามข้าเป็นสาวใช้แล้ว นางจะมีความสุขมากกว่าเดิม…”
ซูอี้ครุ่นคิด
ไม่นานหลังจากนั้น ฉาจิ่นและเหวินหลิงเสวี่ยก็เดินออกจากเรือนพร้อมกัน
ดวงตาของซูอี้เป็นประกายเมื่อเขาเห็นเหวินหลิงเสวี่ย
ขณะนี้เหวินหลิงเสวี่ยเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าเป็นชุดกระโปรงยาวลายดอกไม้สีฟ้าอ่อน ผมยาวหนาราวกับหมึกของนางถูกรวบเป็นหางม้า เผยให้เห็นใบหน้าอันสมบูรณ์แบบและกระจ่างใสที่แม้แต่เทพสวรรค์ยังต้องหลงใหล
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวฟื้นพลังของนางแล้ว เมื่อเดิน ร่างที่สง่างามของนางดูกระฉับกระเฉง ย่างก้าวมั่นคงแต่แผ่วเบาในเวลาเดียวกัน
“นายท่าน ท่านคิดเห็นอย่างไรกับเสื้อผ้าที่ข้าซื้อให้น้องสาวหลิงเสวี่ย?”
ฉาจิ่นยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“เสื้อผ้าเป็นเพียงเครื่องตกแต่ง ความงามที่แท้จริงคือผู้คนที่สวมใส่”
ซูอี้เอ่ยตอบอย่างสบาย ๆ
เหวินหลิงเสวี่ยกะพริบตาใสกระจ่างของนางก่อนจะยกนิ้วโป้งอย่างมีความสุข
“สายตาของพี่เขยช่างถูกใจข้านัก!”