บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 204 เอ่ยถามโลกหล้า ผู้ใดบ้างไม่โหดเหี้ยม
ตอนที่ 204: เอ่ยถามโลกหล้า ผู้ใดบ้างไม่โหดเหี้ยม
หลังอาหารเย็น ฉาจิ่นวุ่นวายอยู่กับการทำความสะอาดจานอย่างขยันขันแข็ง
“พี่เขย พี่สาวที่สวยอย่างฉาจิ่นกลายเป็นสาวใช้ของท่านได้อย่างไร”
เหวินหลิงเสวี่ยถามด้วยความสงสัย
“นางเต็มใจที่จะอยู่”
ซูอี้พูดอย่างเป็นกันเอง “ยิ่งไปกว่านั้น คนทั่วไปไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นสาวใช้ให้กับข้าหรอก”
เหวินหลิงเสวี่ยหัวเราะออกมา รอยยิ้มของนางสดใสราวกับดอกไม้บานหลังฝนตก “พี่เขย เดี๋ยวนี้ท่านเรียนรู้ที่จะโอ้อวดแล้วงั้นหรือ”
ซูอี้ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวว่า “เหตุใดความจริงจากปากข้าซูอี้มักไม่มีใครเชื่อเช่นนี้ด้วย”
“โธ่ พี่เขย ท่านอย่าได้พูดเรื่องตลกหน้าตายเช่นนี้เลย”
ใบหน้าของเหวินหลิงเสวี่ยยังคงยิ้มแย้มอย่างร่าเริง น้ำเสียงของนางกระจ่างใสประหนึ่งน้ำพุใส
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของเด็กสาว ซูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ในสายตาของเจ้า คำพูดของข้าคงตลกมากจริง ๆ แล้ว”
เหวินหลิงเสวี่ยส่ายหัวอย่างรวดเร็ว นั่งตัวตรงและพูดอย่างกระปรี้กระเปร่า “ข้าแค่รู้สึกว่าพี่เขยร่าเริงขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ดีแล้ว ท่านคงไม่รู้สึกตัว เมื่อยามที่ท่านอยู่ในบ้านตระกูลเหวินของเรา ท่านทำหน้าตามืดหม่นทุกวันคืน พาให้ผู้คนเป็นกังวลต่อท่านมาก”
ซูอี้ถอนหายใจ “อดีตเหล่านั้นจบลงแล้ว”
“จริงสิพี่เขย ท่านได้พบกับพี่สาวของข้าแล้วหรือไม่” เหวินหลิงเสวี่ยถามทันที
บรรยากาศที่ร่าเริงแต่เดิมเริ่มหนักอึ้งขึ้น
ซูอี้หลังเงียบไปครู่หนึ่ง เขาพูดว่า “เมื่อวานข้าไปตำหนักเทียนหยวน และพบพี่สาวของเจ้า”
“แล้ว… ท่านสองคน… ทะเลาะกันหรือไม่?”
เหวินหลิงเสวี่ยเพ่งมองไปที่ดวงตาของซูอี้ ราวกับว่านางต้องการมองทะลุเห็นความคิดที่แท้จริงของอีกฝ่าย
ทว่าการแสดงออกของซูอี้กลับไม่เปลี่ยนแปลง และไร้ซึ่งความปั่นป่วนใด ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “พี่สาวของเจ้าเกิดโทสะและไร้เหตุผลมากในตอนนั้น แต่ท้ายที่สุดเรื่องราวก็คลี่คลายลง ซึ่งดีสำหรับเราทั้งคู่”
เหวินหลิงเสวี่ยตัวสั่นอย่างอธิบายไม่ได้ ตัวแข็งอยู่ที่นั่น นางตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ซูอี้มองไปยังเด็กสาวที่เงียบและพูดเบา ๆ ว่า “อย่าได้คิดมากเลย ข้าเพียงขีดแบ่งความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับพี่สาวของเจ้า หาได้ทำร้ายนางไม่”
ดวงตาของเหวินหลิงเสวี่ยเบิกกว้าง มือทั้งสองของนางกำแน่นอย่างไม่อาจควบคุม
“หลิงเสวี่ย ข้ารู้ว่าเจ้าพยายามเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับหลิงเจา แต่เจ้าควรจะรู้ดีกว่าข้าว่าพี่สาวของเจ้ามีนิสัยเป็นอย่างไร นางหมกมุ่นกับการล้มเลิกการแต่งงานอย่างแน่วแน่ ความมุ่งมั่นของนางในเรื่องหาใช่สิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
ซูอี้ถอนหายใจแผ่วเบาและกล่าวต่อ “ดังนั้นแล้ว มันเป็นการดีที่สุดที่ข้าและนางจะขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ระหว่างเราให้ชัดเจนโดยไว”
ขนตาเรียวยาวของเหวินหลิงเสวี่ยสั่นไหว ใบหน้าเรียบเนียนของนางสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
หลังจากเวลาผ่านไปนาน นางถอนหายใจด้วยความทุกข์ “อันที่จริง ข้าคาดไว้แล้วว่าวันนี้จะมาถึง แต่ไม่คิดว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้…”
สีหน้าของเด็กสาวเศร้าซึม เผยให้เห็นความรู้สึกสูญเสียอย่างลึกซึ้ง
“เจ้าไม่โทษข้าที่โหดเหี้ยมหรือ?” ซูอี้ถามเสียงเบา
เหวินหลิงเสวี่ยส่ายหัว พูดด้วยเสียงขมขื่น “ทั้งท่านและพี่สาวของข้าต่างก็ตกเป็นเหยื่อของการแต่งงานครั้งนี้ แต่บางครั้งเมื่อข้าคิดย้อนกลับไป หากไม่ใช่เพราะการแต่งงานของท่านและพี่สาวข้าที่เกิดขึ้น ข้าคงไม่รู้จักพี่เขยที่แสนดีเช่นท่าน…”
ซูอี้มองทอดสายตาไปในระยะไกลครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำออก “นี่คือหนทางแห่งโชคชะตาฟ้าลิขิต แม้มีพลังประดุจเซียนผู้ไร้เทียมทานก็ไม่อาจที่จะฝืนชะตาฟ้าที่กำหนดมา… ”
หลังจากหยุดชั่วคราว สายตาของเขาก็มองไปที่เหวินหลิงเสวี่ยด้วยความสงสาร พลางกล่าวว่า “เจ้ารักพี่สาวของเจ้าเสมอมา เจ้าคงไม่สบายใจสักเท่าใดเมื่อได้ยินข่าวนี้จริงหรือไม่?”
ร่างกายที่บอบบางของเหวินหลิงเสวี่ยสั่นเล็กน้อย ในทรวงอกของนางเจ็บปวดอย่างอธิบายไม่ถูก ดวงตาของนางแดงก่ำ ถ้อยคำกล่าวออกด้วยเสียงสั่นเครือ “พี่เขย ท่านและพี่สาวของข้าไม่มีโอกาสเลยงั้นหรือ?”
ซูอี้ส่ายหัวอย่างหนักแน่น
ไม่ว่าเขาจะชมชอบหรือ ‘รัก’ เหวินหลิงเสวี่ยมากแค่ไหน แต่เรื่องนี้สำหรับเขาแล้ว มันไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
เหวินหลิงเสวี่ยตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นน้ำตาจึงพรั่งพรูออกจากดวงตากระจ่างใสทั้งสอง นางยืนขึ้นและพูดว่า “พี่เขย ข้า… ข้าขอตัวไปอยู่เงียบ ๆ คนเดียวสักพัก”
ซูอี้พยักหน้า “ไปเถิด”
เขาก็รู้สึกสั่นไหวเช่นกัน ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ เขาไม่เคยชอบให้สตรีผู้ใดมาห่วงหาตัวเขาหรือหลั่งน้ำตาต่อหน้าให้เห็นเช่นนี้
ถ้าเป็นสตรีนางอื่นเขาคงขับไล่ไปให้พ้นสายตานานแล้ว
แต่กระนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเหวินหลิงเสวี่ย เขาทนไม่ไหวที่จะรู้สึกเศร้าใจ
“หัวใจของข้าอ่อนแอขึ้นเรื่อย ๆ…”
ซูอี้ถอนหายใจ
“พี่เขย…”
เหวินหลิงเสวี่ยที่เดินจากไปใกล้จะถึงประตูเรือนหันกลับมาและตะโกนด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
ซูอี้มองไป
นางเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง ก่อนจะถามด้วยดวงตาสีแดงก่ำว่า
“ข้า… ข้าเรียกท่านว่า… พี่เขยเหมือนเมื่อก่อนได้หรือไม่”
แม้จะพยายามสงบสติอารมณ์อย่างดีที่สุด แต่เสียงของนางยังคงสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
ในเวลานี้ หัวใจของซูอี้อ่อนยวบลงสามส่วน ปากกล่าวตอบกลับไป “เป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้น เจ้าสามารถเรียกอะไรก็ได้ตามใจชอบ”
เหวินหลิงเสวี่ยเม้มริมฝีปากของนาง ก่อนจะหันหลังและเดินเข้าไปในเรือน
ไม่ไกลนัก ฉาจิ่นแลเห็นภาพที่เกิดขึ้นทั้งหมด และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ชายผู้นี้หัวใจทำด้วยสิ่งใดกัน ทำไมเขาถึงปล่อยให้หญิงสาวที่เศร้าโศกจากไปทั้ง ๆ ที่ไม่ทำสิ่งใดเลย?
แม้แต่ขณะนี้ก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ท่านควรจะลุกขึ้นไปปลอบบ้างสักหน่อยไม่ใช่หรือ!
…ช่างเถอะ ข้าไปปลอบแทนก็แล้วกัน
ฉาจิ่นหันกลับไปและรีบเดินเข้าไปในเรือน
ซูอี้นั่งอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง มองดูฝูงนกที่กำลังเล่นอยู่ในทะเลสาบในระยะไกล สีหน้าของเขายังคงเฉยเมยเหมือนเช่นเคย
แต่ทว่าภายในจิตใจของเขานั้นสั่นไหวอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดใดก็ไม่อาจเท่าเทียมความเจ็บปวดในสัมพันธ์แห่งหญิงชาย
แม้จะมีประสบการณ์หนึ่งแสนแปดพันปีในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาก็ยังไม่สามารถวางเฉยต่อความรู้สึกสัมพันธ์นี้ได้อย่างแท้จริง
ท้ายที่สุด ผู้ใดบ้างจะไร้หัวใจได้อย่างสมบูรณ์?
เวลาผ่านไป
หลังจากนั้นไม่นาน ฉาจิ่นก็เดินออกจากเรือน นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นายท่าน แม่นางหลิงเสวี่ยต้องการไปที่ตำหนักเทียนหยวนเพื่อพบพี่สาวของนาง ตอนนี้นางไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับท่านอย่างไร ดังนั้น… นางจึงขอให้ข้ามาปรึกษาท่าน”
ซูอี้ถอนหายใจออกและพูดว่า “เจ้าพานางไปที่ตำหนักเทียนหยวนก็แล้วกัน ส่วนตัวข้านั้นจะออกไปเดินเล่นสักพักหนึ่ง”
หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินออกจากออกจากเรือนพำนักหินศิลา
เมื่อเห็นซูอี้ก้าวเดินอย่างโดดเดี่ยวลับหายไปนอกประตูของลานบ้าน ฉาจิ่นก็รู้สึกว่าคนที่หยิ่งทะนงถึงแกนกระดูกเช่นซูอี้คงยากที่จะสมหวังอย่างสงบสุขกับสตรีใดในอนาคต…
ฉาจิ่นถอนหายใจอย่างอธิบายไม่ถูก
แต่ทันใดนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นในใจ ก่อนหน้านี้ข้ากังวลไปเพื่ออะไรกัน? ขณะนี้เหวินหลิงเสวี่ยกำลังไปจากชายผู้นี้แล้ว แต่ตัวข้า… ข้ายังคงอยู่ข้าง ๆ เขา ดังนั้นแล้ว…
…
ด้านนอกเรือนพำนักหินศิลา
เสียงอึกทึกดังมาแต่ไกลจากหน้าตรอก โลกภายนอกยังคงครึกครื้นและเต็มไปด้วยความวุ่นวายดังเช่นเคย
ขณะที่ซูอี้กำลังจะเดินออกจากตรอก คนกลุ่มหนึ่งควบม้าเข้ามาหา
ผู้นำคือองค์ชายหกโจวจือหลีซึ่งเป็นแขกประจำ
เมื่อเห็นซูอี้ โจวจือหลีและคนอื่น ๆ ต่างก็ลงจากหลังม้าและก้าวมาข้างหน้า
โจวจือหลียิ้มและก้มโค้งก่อนจะเอ่ยทัก “คุณชายซู วันนี้ข้าพาผู้นำตระกูลเสวียมาเยี่ยมเยือนท่าน…”
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ ซูอี้ก็ขัดขึ้น “ไม่ว่าเจ้าจะมีธุระใด จงกลับมาวันอื่น”
ซูอี้ก้าวเดินต่อไปอย่างไม่แยแส
โจวจือหลีและคนอื่น ๆ ทั้งตกใจและสับสน
จนกระทั่งเขาเห็นร่างของซูอี้ลับสายตาไป โจวจือหลีจึงมีปฏิกิริยา และถอนหายใจเบา
“ดูเหมือนว่าการมาเยี่ยมของเราในวันนี้อาจจะมาผิดเวลาไปเสียหน่อย”
หลังจากจบประโยค โจวจือหลีจึงหันไปมองชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีน้ำเงินข้าง ๆ เขา และกล่าวขอโทษว่า “ผู้อาวุโสเสวีย โปรดอภัยให้ข้าแล้ว การมาเยี่ยมคุณชายซูในครั้งนี้มันเป็นความผิดพลาดของข้าเองที่ไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่เช่นนั้น…”
ชายวัยกลางคนยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไม่ต้องอธิบายหรอกฝ่าบาท เสวียผู้นี้หาได้โทษท่านแม้แต่น้อย”
เขามีใบหน้าที่ขาวเกลี้ยงไร้ซึ่งหนวดเครา ช่วงไหล่กว้างสมชายชาติบุรุษ แต่กระนั้นกลับมีกลิ่นอายของหนอนหนังสือแผ่ออกจากร่างซึ่งทั้งน่าประทับใจและลึกลับนัก
เสวียหนิงเยวี่ยน
ผู้นำแห่งตระกูลเสวีย หนึ่งในห้าตระกูลชั้นนำในมหานครกุ่นโจว!
ในเขตแดนของแคว้นกุ่น มีคำกล่าวอยู่ประโยคหนึ่งว่า “ยั่วยุจ้าวยมโลกยังดีซะยิ่งกว่าล่วงเกินเสวียหนิงเยวี่ยน!”
เหตุผลก็คือผู้นำของตระกูลเสวียผู้นี้แม้ภายนอกจะดูสง่างามเหมือนบัณฑิต ทว่าแท้จริงแล้วเขาคือบุรุษซึ่งเลือดเย็นและโหดร้ายเป็นที่สุด
ยามเมื่อจัดการกับศัตรู เขาจะฆ่าล้างอีกฝ่ายให้ตกตายเสมอไม่เคยปล่อยให้รอดไว้แม้สักรายเดียว
หลังจากหยุดชั่วคราว เสวียหนิงเยวี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรแล้วข้าคงต้องบอกว่าคุณชายซูผู้นี้หยิ่งทะนงเหมือนที่พระองค์ทรงว่าเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน”
ได้ยินประโยคนี้โจวจือหลีถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ความเย่อหยิ่งของคนธรรมดาส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเขามีดวงตาอยู่สูงกว่าศีรษะของตนเอง สิ่งนั้นมันหาใช่ความหยิ่งไม่ มันเป็นเพียงความโง่เขลา แต่สำหรับคุณชายซูผู้นี้นั้นแตกต่าง เขามีคุณสมบัติพอที่จะหยิ่งทะนงได้อย่างไม่อาจตำหนิ”
“ได้ยินที่ฝ่าบาทตรัสออกเช่นนี้ เสวียผู้นี้ก็ยิ่งอยากเห็นเหลือเกินว่าคุณชายซูผู้นี้มีดีอย่างไร”
เสวียหนิงเยวี่ยนลูบคางเรียบ ๆ ของตนเองด้วยมือขวาพลางเผยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
หลังจากนั้น โจวจือหลีจึงพากลุ่มคนของเขาจากไป
…
บนถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน ซูอี้เดินอย่างโดดเดี่ยวฝ่าฝูงชนที่สัญจรไปมา ความคึกคักตลอดทาง คล้ายว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย บนใบหน้าของชายหนุ่มขณะนี้มีเพียงร่องรอยของความเหงาที่ไม่อาจอธิบายได้ ในหัวใจของเขาถูกกลืนกินด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย
สุขและทุกข์ในโลกไม่สัมพันธ์กัน
เวลาเบิกบาน แม้นั่งชมลมฝนก็ยังสนุกสนาน
แต่เมื่อใดที่อารมณ์ขุ่นมัว แม้จะเป็นทิวทัศน์บนสรวงสวรรค์ก็มองได้ว่าชั่วช้า
“หากความผูกพันทางอารมณ์ในโลกนี้สามารถตัดออกได้ด้วยดาบนั่นคงจะดีมาก”
ซูอี้ถอนหายใจจากก้นบึ้งของหัวใจ
เขาไม่เคยแยแสความคิดของผู้ใดไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือชราเฒ่า หากผู้ใดสร้างความรำคาญใจให้แก่ตัวเขา เขาสามารถสังหารทิ้งได้โดยไม่มีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจใด ๆ เพื่อความพึงพอใจแก่ตัวของเขาเอง
แต่ยามเมื่อพูดถึงคนที่เขาห่วงใย มันกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เป็นเพราะใส่ใจ เขาจึงไม่อาจโหดเหี้ยมได้อย่างแท้จริง
หืม?
ขณะที่เดินเตร่อย่างไร้จุดหมาย ซูอี้เหลือบมองเห็นอาคารสามชั้นที่มีป้ายห้อยอยู่ ‘โรงเตี๊ยมสุขสงบ’
“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างแท้จริง…”
ซูอี้ประหลาดใจครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมสุขสงบ
“คุณชายมีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือไม่”
หลังโต๊ะรับแขกมีชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนคนหนึ่งสวมชุดผ้าทอหรูหรา บนใบหน้ามีหนวดเคราขึ้นไม่มากนัก มีจมูกรูปทรงคล้ายกระเทียม ริมฝีปากฉีกยิ้มอย่างเอาอกเอาใจ
ซูอี้นำเหรียญทองแดงที่แตกหักออกมาและยื่นให้อีกฝ่ายดูก่อนจะพูดว่า “เจ้าจำสิ่งนี้ได้หรือไม่”
รูม่านตาของชายวัยกลางคนร่างอ้วนพลันขยาย เขารับเหรียญทองแดงที่หักแล้วไปมองดูชั่วขณะ จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเลือนหายไป แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าระแวดระวัง ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “ใครให้สิ่งนี้กับคุณชายงั้นหรือ?”
ซูอี้ตอบกลับ “เวิงอวิ๋นฉี”
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนจ้องที่ซูอี้ครู่หนึ่ง “ท่านคือสหายของตาเฒ่าเวิงนั่นเอง ว่าแต่เหตุใดกันเขาถึงมอบสิ่งนี้ให้กับท่าน?”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “เมื่อตอนที่เวิงอวิ๋นฉีมอบเหรียญนี้ให้แก่ข้า เขาไม่ได้เอ่ยแก่ข้า ว่าข้าจะต้องถูกสอบสวนด้วยคำถามใด”
ชายวัยกลางคนตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นเขาจึงเผยรอยยิ้มกระอักกระอ่วนและกระซิบว่า “คุณชายอย่างได้เข้าใจผิด โปรดอย่าถือสาข้าผู้น้อยเลย เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน มากับข้าทางนี้ก่อน ที่นี่ไม่ใช่ที่สะดวกสำหรับพูดคุย”
เขาทำท่าทางเชิญชวนก่อนจะเดินนำทางไป
“เป็นถึงปรมาจารย์ แต่กลับเต็มใจเป็นแค่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมอยู่ที่นี่งั้นหรือ ช่างน่าสนใจนัก”
ซูอี้ยิ้มอย่างเงียบ ๆ และเดินตามไป