บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 205 เบาะแสหยกวิญญาณ
ตอนที่ 205: เบาะแสหยกวิญญาณ
ณ ห้องโถงโรงเตี๊ยมสุขสงบ ท่ามกลางสินค้าที่อยู่เต็มลานหน้าร้าน
ซูอี้เข้าไปในอุโมงค์ใต้ดินภายใต้การนำทางของชายวัยกลางคนที่สวมชุดผ้าไหม และหลังจากเดินท่ามกลางความมืดมาเป็นเวลาครึ่งเค่อเต็ม ๆ
เขาก็เห็นตำหนักที่สร้างอยู่ในใต้ดินหลังหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า
ซูอี้รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเส้นทางนี้นานแล้ว และเมื่อได้เห็นตำหนักนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ที่นี่คือที่ใดกัน?”
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดผ้าไหมชะงักฝีเท้า พลางหันกลับไปหัวเราะเสียงดังและเอ่ยขึ้น “รอคุณชายเข้าไปในตำหนักเมื่อไรคุณชายก็จะรู้เอง”
รอยยิ้มที่อบอุ่น ทว่าแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายที่แปลกประหลาด
ซูอี้จึงส่งเสียงอืมออกมา
เขาสัมผัสได้นานแล้ว โรงเตี๊ยมสุขสงบที่ถูกเวิงอวิ๋นฉีมองว่าเป็นสถานที่ติดต่อ อาจจะเกิดเหตุร้ายบางอย่างขึ้น
ตำหนักใต้ดินนี้ถูกสร้างมาจากหินขนาดใหญ่ เมื่อเปิดประตูใหญ่ด้านหน้าออกกว้าง ก็มีรูปปั้นหินแปลกประหลาดคู่หนึ่ง
รูปปั้นหินด้านซ้ายคือสุนัขสง่างามขนาดใหญ่ ทั่วตัวล้วนเป็นสีดำ มีหัวสามหัว อยู่ในท่านั่ง และมีท่าทางที่ดุร้าย
ส่วนรูปปั้นหินด้านขวาเป็นผู้หญิงนางหนึ่ง มีท่าทางเอวบางอ่อนช้อย และส่วนล่างลำตัวเป็นงูที่คดเคี้ยวเป็นเกลียว
สองมือของนางทับซ้อนกันอยู่ด้านหน้า ถือโคมไฟเล็กที่มีรูปร่างราวกับดอกบัวอยู่
เมื่อมองรูปปั้นหินที่เผยกลิ่นอายแปลกประหลาดแล้ว ซูอี้ก็เลิกคิ้วขึ้น และรู้สึกคุ้นเคยในบางอย่าง
ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ สุนัขสามหัวสีดำตัวนั้นคล้ายกับ ‘สุนัขล่าวิญญาณ’ สัตว์อสูรที่ดุร้ายในนรกเป็นอย่างมาก
ส่วนรูปปั้นผู้หญิงคนนั้น ก็คล้ายกับทายาทเผ่า ‘ปีศาจงู’ ที่อยู่ในนรกเล็กน้อย มีส่วนบนเป็นคนส่วนล่างเป็นงู
ในสายตาผีหยินผีดุร้าย เผ่าปีศาจงูถูกเรียกว่าเป็น ‘ผู้ถือโคมไฟ’ ตำแหน่งนั้นสูงส่งมาก
“สถานที่แห่งนี้ น่าสนใจจริง ๆ”
ซูอี้แอบเอ่ยในใจ
เขาไม่คิดเลยว่า แค่อาศัยเหรียญทองแดงหักที่เวิงอวิ๋นฉีให้มา กลับดึงดูดเขามาถึงที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ ในเมื่อมาแล้วก็อยู่อย่างมีความสุขเถอะ
ซูอี้กำลังหมดอาลัยตายอยาก และไม่สนใจว่าตำหนักใต้ดินแห่งนี้ซ่อนของลี้ลับอะไรไว้อีก
ข้าง ๆ รูปปั้นหินทั้งสองที่อยู่ด้านหน้าประตูใหญ่ของตำหนัก มีทหารสองคนคุ้มกันอยู่
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมที่พาซูอี้เข้ามา ทหารทั้งสองพลันคำนับและเอ่ยขึ้น “คารวะผู้อาวุโสลู่”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมแค่พยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด และพาซูอี้เดินเข้าไปในตำหนัก
แสงไฟภายในตำหนักนั้นสว่างมาก แต่กลับไม่มีผู้ใดอยู่เลย
“คุณชาย ยามนี้สามารถเอ่ยเรื่องของท่านได้แล้ว”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมเดินไปนั่งบนตำแหน่งที่นั่งซึ่งอยู่ตรงกลาง และเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะขึ้นมา ทว่านัยน์ตาคู่นั้นกลับเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกลงไปหลายส่วน
“ข้าก็แค่มาดู”
ซูอี้นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างอย่างตามใจ “แต่กลับไม่คิดเลยว่า เจ้าพาข้ามาที่นี่ และข้าแค่แปลกใจ ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดกันแน่”
ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมในตอนแรกเปลี่ยนเป็นเย็นชา “คนซื่อสัตย์มักจะเอ่ยเรื่องจริงเสมอ ข้าหวังว่าคุณชายจะให้ความร่วมมือบ้าง”
น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้น แฝงไว้ด้วยพลังบีบบังคับที่น่าเกรงขาม
ซู้อี้ยิ้ม จู่ ๆ ก็เอ่ยถาม “เจ้าคือคนของพรรคมารหยินรึ?”
“ในเมื่อท่านมองออกนานแล้ว ก็น่าจะเข้าใจดี โรงเตี๊ยมสุขสงบนี้ถูกเวิงอวิ๋นฉีมองเป็นฐานที่มั่นในตอนแรก ถูกพวกเราพรรคมารหยินควบคุมไว้แล้ว”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมมีสีหน้าเย็นชา สายตาเปล่งไอเย็นออกมา “และเจ้าในตอนนี้ คือปลาตัวหนึ่งที่เดินเข้ามาติดแห จะเป็นหรือตาย ก็ต้องดูที่ท่าว่าจะให้ความร่วมมือหรือไม่”
สีหน้าของซูอี้ยังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม และเอ่ยอย่างไม่แปลกใจ “เจ้าอยากรู้สิ่งใด?”
ร่างอ้วนท่วมของชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมที่นั่งพิงอยู่ตรงนั้นอย่างสบาย พลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“บอกความสัมพันธ์ของท่านกับเวิงอวิ๋นฉี และเหตุใดถึงมาที่โรงเตี๊ยมสุงสงบแห่งนี้ สรุปคือ หากท่านอยากมีชีวิตอยู่ ก็เอ่ยในสิ่งที่ท่านรู้ทั้งหมดออกมา” ซูอี้ส่งเสียงอืมออกมา และเอ่ยตอบทันที “เวิงอวิ๋นฉีคือผู้แพ้ข้า เขาเคยรับปากว่าจะพาข้าไปหาผู้คุมสาขาย่อยพรรคมารหยิน ฮูเหยียนไห่ แห่งแคว้นกุ่น ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมอบเหรียญทองแดงที่หักนั้นให้กับข้า บอกว่าเมื่อมายังโรงเตี๊ยมสุขสงบ ก็จะสามารถติดต่อกับเขาได้…”
ทันทีที่เอ่ยมาถึงตรงนี้ ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมก็เอ่ยขัดขึ้น “ท่านหาผู้คุมสาขาย่อยด้วยเหตุใดกัน?”
นัยน์ตามีแสงที่แปลกใจ ดูน่าสะพรึงจนทำให้คนกลัว
“สืบหาความเป็นมาของหยกวิญญาณก้อนหนึ่ง” ซูอี้เอ่ยตอบ
“หยกวิญญาณ?”
สีหน้าของชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมค่อย ๆ เปลี่ยนไป นั่งหลังตรงในทันที “เวิงอวิ๋นฉีเคยบอกเรื่องเกี่ยวกับหยกวิญญาณนั้นกับท่านรึ?”
ซูอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมมีสีหน้าลังเล ครู่ต่อมา เขาก็ตะโกนออกมาทันที “มันไม่ถูกต้อง! เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าเวิงอวิ๋นฉีคือผู้แพ้เจ้า และในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงมาที่โรงเตี๊ยมสุขสงบแห่งนี้เพื่อหาเขาอีก? เจ้าหนุ่ม ข้าขอแนะนำว่าจะดีที่สุดหากเจ้าพูดอย่างตรงไปตรงมา!”
ดวงตาเขาราวกับคมมีดเยือกเย็นอึมครึม จ้องเขม่งไปที่ซูอี้ อานุภาพช่างน่ากลัว
ซูอี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้สึกว่าข้ากำลังหลอกลวงเจ้าอยู่รึ?”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมพ่นลมหายใจแรงออกมา “หรือว่าไม่จริง?”
ซูอี้เอ่ยอย่างเฉยเมย “เช่นนั้นหากข้าบอกว่าฉู่ซื่อหลาง หลิวเซี่ยงหลาน และอีกคนหนึ่ง พวกเขาทั้งสามถูกข้าฆ่า เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาโมโหมากแต่กลับเอ่ยด้วยร้อยยิ้ม “เจ้าหนุ่ม เจ้าคงจะไม่สัมผัสถึงสิ่งผิดปกติ และตั้งใจสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตา เพื่อขู่ข้าให้ตกใจหรอกนะ?”
ซูอี้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ดูเหมือน หากตอนนี้ข้าบอกกับเจ้าว่า เมื่อวานตอนเย็นฮูเหยียนเป้า บุตรชายของผู้คุมสาขาย่อยของพวกเจ้าถูกข้าฆ่าตายไปแล้ว เกรงว่าเจ้าก็คงจะไม่เชื่อ”
“คนโง่เท่านั้นแหละถึงจะเชื่อ!”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าหนุ่ม ข้ามีมารยาทกับเจ้ามามากพอแล้ว เจ้าเห็นว่าข้าคุยง่ายมากนักรึ? ”
เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ ซูอี้จึงหมดอารมณ์
เดิมทีเขาหมดอาลัยตายอยากอยู่แล้ว ถึงได้มาที่โรงเตี๊ยมสุขสงบแห่งนี้ดูสักครั้ง ทว่ากลับเจอเรื่องเช่นนี้
เขาจึงลุกขึ้น ไม่พูดจาไร้สาระอีก และเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งหนึ่ง บอกกับข้ามาตามตรง ยามนี้ผู้คุมสาขาย่อยของพวกเจ้าอยู่ที่ใด และข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า หรือไม่เช่นนั้น… เจ้าก็ตายจริง ๆ ฉะนั้นนำไปพิจารณาอย่างตั้งใจดู”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา หัวเราะจนน้ำตาใกล้ไหลลงมา ราวกับได้ฟังเรื่องตลกก็ไม่ปาน
ครู่หนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ รอยยิ้มบนใบหน้ามีไอสังหารเยือกเย็นอึมครึมอยู่ “ชายแก่อย่างข้ามีชีวิตอยู่มาก็หลายปี และยังเป็นครั้งแรกที่เจอเจ้ารนหาที่ตายเช่นนี้…”
ทว่ายังเอ่ยไม่ทันจบ ก็เห็นซูอี้ที่อยู่ไม่ไกลยื่นมือขวาออกมาตบเข้าไปในอากาศอย่างผ่อนคลายอารมณ์
แต่ท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่า กลับมีฝ่ามือแวววาวก่อตัวขึ้นมา พลุ่งพล่านด้วยพลังวิญญาณที่แหลมคมราวกับดาบ และมีท่วงท่าลึกลับอย่างเรือนลาง
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมหรี่ตาทันที จิตใต้สำนึกบอกให้เขาต้านทานเอาไว้
เพียงแต่ พลังอานุภาพของฝ่ามือที่สะสม ‘เต๋ากัง’ เอาไว้ ดูราวกับสายลมอันแผ่วเบา ทว่าเขาที่เป็นปรมาจารย์ขั้นหนึ่งจะสามารถต้านทานพลังอานุภาพนั้นได้อย่างไร?
ทันใดนั้น
ปัง!
ร่างกายอ้วนท้วมของชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมราวกับถูกทุบด้วยภูเขาเทพดึกดำบรรพ์ กระเด็นออกไป เก้าอี้และหนังสือที่อยู่ด้านหลังแตกกระจายสั่นสะเทือนเลือนลั่น เศษที่แตกนั้นกระเด็นออกไป เขาล้มอยู่บนกำแพงตำหนัก ทั่วร่างพลันกระตุกชั่วครู่หนึ่ง มีเสียงไอและกระอักเลือดออกมา
แขนทั้งสองแตกหัก เลือดเนื้อเลือนราง ทั่วร่างเจ็บปวดอย่างรุนแรง ทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมาอย่างเครียดแค้น
“เจ้า… เจ้า…”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมตกตะลึง แววตาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว …ไม่อาจจะจินตนาการได้ เขาที่เป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง เหตุใดกลับพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ และพ่ายแพ้จนหมดสภาพเช่นนี้!
“บังอาจนัก!”
ด้านนอกตำหนัก เมื่อทหารสองคนได้ยินเสียง ก็รีบพุ่งเข้ามาทันที ซูอี้แค่โจมตีโดยการงอนิ้วติดต่อกันสองครั้ง
ฉัวะ! ฉัวะ!
พลังนิ้วที่ราวกับคมดาบสับออกไปในอากาศ ทหารคุ้มกันทั้งสองไม่ทันได้ตอบสนอง ศีรษะก็ลอยขึ้นไปในอากาศ เลือดไหลทะลักราวกับน้ำตก
ภาพการเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณนี้ กระตุ้นให้ปรมาจารย์อย่างชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมวิญญาณเกือบออกจากร่าง
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมเอ่ยเสียงสั่นออกมา รู้สึกได้ถึงความผิดแปลก
“ข้าบอกแล้วไง ครั้งนี้แค่เดินผ่านมา แต่กลับไม่คิดเลย ไม่ว่าข้าพูดสิ่งใด เจ้าก็ไม่เชื่อ”
ซูอี้ส่ายหน้าครู่หนึ่ง
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมตะโกนเสียงดังออกมาอย่างตื่นตระหนก “ข้าเชื่อ ข้าเชื่อ! ขอให้สหายอภัยให้ข้าสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าท่านต้องการมาหาเวิงอวิ๋นฉีหรอกรึ ข้าช่วยท่านได้นะ!”
ซูอี้เอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้าลืมบอกเจ้าไป ข้าหาที่ซ่อนตัวของเวิงอวิ๋นฉีเจอแล้ว”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหม “???”
เขาแทบจะเสียสติไปแล้ว และอยากจะตะโกนออกมาด้วยความโมโหยิ่ง ในเมื่อหาเวิงอวิ๋นฉีเจอแล้ว เหตุใดถึงต้องมาที่โรงเตี๊ยมสุขสงบแห่งนี้อีก!?
ไม่มีสิ่งใดทำจนเบื่อรึไง!?
คล้ายกับได้ยินเสียงที่อยู่ในใจชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหม ซูอี้จึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ข้าก็รู้สึกเบื่อจริง ๆ ไม่เช่นนั้น จะเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยและมาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหม “…”
เขาสับสนมึนงงเป็นอย่างมาก ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะด่า ภายในใจรู้สึกห่อเหี่ยวจนพูดไม่ออก บนโลกใบนี้… มีคนแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
“ที่จริงแล้ว หากมีใครสักคนดื่มเป็นเพื่อนข้าอยู่ในเมืองสักมื้อหนึ่ง บางที วันนี้ข้าอาจจะไม่ปรากฏตัวอยู่ที่แห่งนี้ก็ได้”
ซูอี้มีน้ำเสียงที่รู้สึกเหงาเล็กน้อย และเอ่ยเสียงเบาอย่างทอดถอนใจ “นี่อาจจะเป็นโชคชะตา ในตอนที่ข้ารู้สึกไม่มีความสุข จึงทำให้ข้าได้มาเจอกับเจ้า”
“โชคชะตา? โชคชะตากับปู่เจ้าน่ะสิ…”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมร้องไห้แบบไม่มีน้ำตา ไอ้บ้านี่มันเป็นหายนะชัด ๆ!
“เจ้ารู้จักของสิ่งนี้หรือไม่”
ซูอี้นำหยกวิญญาณก้อนนั้นออกมา และเอ่ยถาม
“รู้จัก!”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมรีบพยักหน้าทันที “นี่เป็นหยกวิญญาณลึกลับก้อนนั้นที่เวิงอวิ๋นฉีขโมยไป เพียงแต่… เหตุใดมันถึงตกมาอยู่ในมือท่านล่ะ?”
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “วันนี้ข้าจะทำลายกฎสักครั้งหนึ่ง เพียงแค่เจ้าบอกเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับหยกวิญญาณก้อนนี้กับข้า ข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้า”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมสั่นไปทั่วร่าง ราวกับว่านี่คือความหวังสุดท้ายแล้ว จึงรีบเอ่ยทันที “ข้าจำได้ชัดเจน เมื่อสิบปีก่อน ผู้คุมสาขาย่อยฮูเหยียนไห่ได้รับคำสั่งมาจากสาขาหลัก ให้ตอบรับเข้าร่วมเดินทางไป ‘หุบเขามารบุปผาโลหิต’ เพื่อปฏิบัติการลับ เมื่อฮูเหยียนไห่กลับมาหลังจากหนึ่งเดือน ก็นำหยกวิญญาณลึกลับก้อนนี้กลับมาด้วย!”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมหยุดพักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “แต่เมื่อฮูเหยียนไห่ได้รับบาดเจ็บหนัก หลังจากกลับไปสาขาย่อยแล้ว ก็นำหยกวิญญาณก้อนนี้ส่งมอบให้เวิงอวิ๋นฉีคนที่เขาเชื่อใจที่สุดเก็บรักษาไว้ ทว่าฮูเหยียนไห่กลับไม่คิดเลยว่า เวิงอวิ๋นฉีจะถือโอกาสในตอนที่เขาเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บ หักหลังและนำหยกวิญญาณก้อนนี้และของล้ำค่าอื่น ๆ หนีไป ”
ซูอี้ทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ “เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนรึ?”
“ถูกต้อง!”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมรีบพยักหน้า
“ทุก ๆ สิบปี หุบเขามารบุปผาโลหิตจะมีปรากฏการณ์ฝูงสัตว์อสูรคลั่งออกมา หากเอ่ยเช่นนี้ล่ะก็ ฮูเหยียนไห่เข้าร่วมปฏิบัติการลับนี้ และน่าจะเลือกในตอนที่มีปรากฏการณ์ฝูงสัตว์อสูรคลั่งเข้าไปในหุบเขามารบุปผาโลหิต…”
สายตาซูอี้มีความแปลกใจเล็กน้อย
เมื่อไม่นานมานี้ จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง เฉินเจิ้ง ยังเคยพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ฝูงสัตว์อสูรคลั่งในหุบเขามารบุปผาโลหิตกับเขาอยู่
แต่เขากลับไม่คิดเลยว่า หยกวิญญาณลึกลับก้อนนี้ อาจจะถูกฮูเหยียนไห่นำออกมาจากหุบเขามารบุปผาโลหิตเมื่อสิบปีก่อน!!
“หรือว่า เรื่องราวในชีวิตของชิงหว่านจะเกี่ยวข้องกับหุบเขามารบุปผาโลหิต?”
เมื่อซูอี้ไตร่ตรองอยู่ จู่ ๆ ก็พลันนึกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ หนิงซือฮวาเคยพูดเอาไว้ โลกใบนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิด!