บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 206 เนตรเปลวเพลงสีทอง
ตอนที่ 206: เนตรเปลวเพลงสีทอง
‘แปดมหาขุนเขาปีศาจ’ ภายในอาณาจักรต้าโจว มีความแปลกประหลาดและผิดปกติหลายอย่าง!
อย่างเช่นขุนเขาปีศาจหมื่นอสรพิษมีหนองน้ำสีเลือด ถูกสร้างอยู่ในที่แท่นบูชาแปลก ๆ ซึ่งเซ่นไหว้ด้วยกะโหลกศีรษะแปลก ๆ ที่ขาดหายไปบางส่วน…
ขุนเขาปีศาจเพลิงเงินมีอุโมงค์ศพอยู่ใต้ดิน มีซากศพโบราณแปลก ๆ กระจัดกระจายอยู่
และในขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนามีซากปรักหักพังแปลก ๆ ที่เกิดบัวสีดำกับเสียงสวดมนต์ขึ้นมา…
และตามคำพูดของจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง เฉินเจิ้ง หุบเขามารบุปผาโลหิตก็หลบซ่อนอย่างลี้ลับไม่ให้ผู้ใดรู้เหมือนกัน!
ซูอี้รวบรวมความรู้สึกนึกคิด พลางเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนนี้ฮูเหยียนไห่อยู่ที่ใด?”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมเอ่ยตอบเสียงสั่น “ผู้คุมสาขาย่อยออกเดินทางไปพรรคมารหยินสาขาหลักเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ว่ากันว่าประมุขพรรคต้องการวางแผนเรื่องใหญ่ จึงเรียกผู้คุมสาขาย่อยที่อยู่ในหกแคว้นภายในอาณาจักรต้าโจวออกเดินทางมาเข้าร่วม จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย”
ซูอี้เอ่ยด้วยความแปลกใจ “หลังจากผ่านการปล้นในพรรคมารหยินปีนั้น ไม่ใช่ว่าประมุขพรรคมารหยินของพวกเจ้าได้รับบาดเจ็บที่สภาพจิตใจอย่างหนัก คล้ายกับจะแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ และนี่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่ปี ก็คิดวางแผนจะทำเรื่องใหญ่อีกรึ?”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมส่ายหน้า “นี่เป็นเรื่องลับใหญ่ ฐานะเช่นช้าไม่สามารถรู้เรื่องนี้ได้หรอก”
ซูอี้ถามขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วพรรคมารหยินสาขาหลักของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมรีบเอ่ยตอบ “ข้ารู้เพียงแค่อยู่ภายในแคว้นไป๋ ส่วนอยู่ตรงตำแหน่งไหนนั้น มีเพียงแค่ฮูเหยียนไห่ หัวหน้าผู้คุมสาขาย่อยเท่านั้นที่รู้”
แคว้นไป๋?
จู่ ๆ ซูอี้ก็นึกขึ้นมาได้ เซียวเทียนเชวี่ยที่อยู่ในตระกููลหลานหลิงเซียว ก็ลุกล้ำเข้าไปอยู่ภายในแคว้นไป๋
นอกจากนี้ แคว้นไป๋ยังติดกับมหานครหลวงอวี้จิง เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่สำคัญของอาณาจักรต้าโจว
ใครจะคิดล่ะว่า พรรคมารหยินสาขาหลัก ที่ถูกมนุษย์มองว่าเป็นปีศาจนอกรีต จะรุกล้ำไปอยู่ในสถานที่แห่งนั้น?
ไม่นาน ซูอี้ก็ส่ายหน้า
เขาคร้านที่จะครุ่นคิดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาตั้งแต่แรกแล้ว
สาเหตุที่จับตาดูพรรคมารหยิน ก็เป็นเพราะแค่อยากจะสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิตของชิงหว่านก็แค่นั้น
เมื่อไตร่ตรองชั่วครู่หนึ่ง ซูอี้ก็เอ่ยขึ้น “เรื่องในวันนี้…”
แต่เขายังเอ่ยไม่ทันจบ ชายวัยกลางคนที่สวมชุดผ้าไหมสีสันสวยงามก็สูดหายใจเข้าลึก เอ่ยสาบานด้วยเสียงดังก้องกังวาน “คุณชาย ข้าลู่ชวนขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องในวันนี้ออกไป ไม่เช่นนั้นขอให้ประสบกับหายนะจากความพิโรธของสวรรค์ และจะต้องไม่ตายดี!”
ซูอี้เอ่ยตอบ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าแค่อยากจะบอกกับเจ้าว่า หากฮูเหยียนไห่กลับมาแล้ว เจ้านำเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้บอกกับเขาได้ และหากเขาอยากจะแก้แค้น ก็มาหาข้าที่เรือนพำนักหินศิลาได้ทุกเมื่อ”
ลู่ชวนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างเหม่อลอย ภายในใจรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
ข้าเพิ่งจะเอ่ยสาบานออกมา แต่เจ้ากลับให้ข้าบอกเรื่องนี้กับผู้คุมสาขาย่อย หากประสบกับหายนะจากความพิโรธของสวรรค์และไม่ตายดีจริง ๆ จะทำอย่างไร!?
เป็นเวลานาน
เมื่อลู่ชวนได้สติกลับมา ก็ไม่รู้ว่าซูอี้เดินจากไปตั้งแต่เมื่อใดแล้ว
…..
สำหรับลู่ชวนแล้ว ซูอี้ไม่เชื่อเรื่องที่เขาพูดมาทั้งหมด
เขาจะต้องไปยืนยันสักครู่หนึ่ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ซูอี้ก็มาปรากฏตัวอยู่ที่จัตุรัสหย่งอัน
บ้านเรือนที่นี่ต่ำเตี้ยและทรุดโทรด อยู่ติด ๆ กันไป วุ่นวายเป็นอย่างมาก
เมื่อวานซูอี้นั่งรถม้าของตระกูลเจิ้งมาถึงที่นี่กับเจิ้งมู่เหยา และใช้ประโยชน์จากเทียนไขสีเลือดเล่มนั้น หาที่อยู่ของเวิงอวิ๋นฉีจนเจอ
เพียงแต่ว่า ในตอนนั้นเขาอยากจะเดินทางไปตำหนักเทียนหยวนก่อน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาไม่ได้ไปพบกับเวิงอวิ๋นฉี
ซูอี้เดินทางไปในระหว่างบ้านเรือนที่คับแคบดุจใยแมงมุมนั่นอย่างคุ้นเคยทางเป็นอย่างดี
ไม่นาน เขาก็มาถึงด้านหน้าลานบ้านที่เก่าและชำรุดทรุดโทรมหลังหนึ่ง
ทันทีที่เขากำลังจะเดินเข้าไปเคาะประตู จู่ ๆ ก็ชะงักฝีเท้า ราวกับรู้สึกได้ว่า รอบ ๆ บริเวณลานบ้านที่เก่านี้ มีคลื่นค่ายกลที่เลือนรางอยู่
หากเดินเข้าไปเคาะประตูตรง ๆ ก็จะต้องถูกสังหารในทันที!
“ใช้ค่ายกลขนาดใหญ่ปกปิดการเคลื่อนไหวของลานบ้าน และสามารถใช้ฆ่าศัตรูได้อีก ที่ชายผู้นี้ทำเช่นนี้ หรือว่าต้องการป้องกันสิ่งใดอยู่?”
ซูอี้แอบคิดในใจ
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ใจเต้นรัวขึ้นมา นัยน์ตาที่ใสลึกซึ้งของเขาในตอนแรกก็เผยภาพที่คลุมเครือลึกซึ้งออกมาอย่างเงียบ ๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเปลวไฟเย็นสีทอง
เนตรเปลวเพลิงสีทอง!
เรียกได้ว่าสามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เคล็ดวิชาลับเนตรเปลวเพลิงสีทองของลัทธิเทพปีศาจนี้ เป็นพลังล้ำเลิศของเทพปีศาจที่ใช้ในการสัมผัสรับรู้ ราวกับดวงตาทั้งสองได้รับการช่วยเหลือจากเทพ ซึ่งสามารถมองทะลุในสิ่งที่มองไม่เห็นที่อยู่กระจัดกระจายทั่วโลกได้เช่น ปราณวิญญาณ พลังหยิน พลังชั่วร้าย และอื่น ๆ
และก็สามารถมองทะลุตำแหน่งและร่องรอยของค่ายกลได้เหมือนกัน
เพียงชั่วครู่เดียว ภายใต้การสัมผัสรับรู้ของเนตรเปลวเพลิงสีทอง ค่ายกลที่ปกปิดรอบ ๆ ลานบ้านเก่าทรุดโทรมหลังนี้ก็ซ่อนอยู่ต่อไปไม่ได้
ซูอี้ก้าวเดินไปข้างหน้า และเดินอ้อมจนกระทั่งมาถึงด้านหลังลานบ้านแห่งนี้ เขาใช้นิ้วมือตีบนก้อนอิฐสีเขียวที่นูนออกมาจากกำแพงเล็กน้อยอย่างเบา ๆ
ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใด ๆ ทั่วทั้งอาณาเขตขนาดใหญ่ก็ตกอยู่ในความสงบไม่เคลื่อนไหวใด ๆ อย่างแปลกประหลาดทันที
และแทบจะขณะเดียวกัน ก็มีเสียงพูดคุยดังออกมาจากในลานบ้าน
“ผู้เฒ่าเวิง เมื่อตอนเช้าตรู่ข้าไปดูมาแล้ว ทางด้านโรงเตี๊ยมสุขสงบไม่มีข่าวคราวใด ๆ เลย”
ภายในลานบ้าน ชายกลางคนสวมชุดเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะหิน ดื่มเหล้าไปด้วยพลางเอ่ยไปด้วย “เจ้าว่าที่นั่นเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นหรือไม่?”
“เป็นไปไม่ได้หรอก”
เวิงอวิ๋นฉีส่ายหน้า “ข้ามั่นใจว่า เจ้าหนุ่มแซ่ซูผู้นั้นคงจะมาถึงมหานครกุ่นโจวเมื่อวันก่อนแล้ว!”
ชายกลางคนสวมชุดเหลืองเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นหรือว่าเขายังไม่ได้วางแผนเดินทางไปโรงเตี๊ยมสุขสงบในตอนนี้”
เวิงอวิ๋นฉีขมวดคิ้ว พลองถอนหายใจออกมาเบา ๆ “คงจะเป็นเช่นนั้น”
ชายกลางคนสวมชุดเหลืองอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เจ้าคิดจริง ๆ รึว่าชายหนุ่มเช่นนั้นจะสามารถงัดข้อกับฮูเหยียนไห่ได้?”
เวิงอวิ๋นฉีเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด “ได้แน่นอน หากเจ้าได้เห็นความสามารถของชายหนุ่มผู้นี้กับตา เจ้าก็จะเข้าใจ พลังที่แท้จริงของเขานั้นช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกิน ปรมาจารย์อย่างปีศาจเฒ่าเซวี่ยเหิงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
ชั่วครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยด้วยนัยน์ตาที่เปล่งประกาย “อีกอย่างความรู้สึกมันบอกกับข้า ว่าปรมาจารย์ขั้นสองอย่างฮูเหยียนไห่ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน”
ชายกลางคนสวมชุดเหลืองเอ่ยเสียงกดต่ำขึ้นมาทันที “แต่เจ้าไม่กังวลหรอกรึ หลังจากที่ชายหนุ่มแซ่ซูล่วงรู้แผนการของเจ้า และมาแก้แค้นเจ้า?”
“ข้าจะกลัวอะไรล่ะ?”
เวิงอวิ๋นฉีหัวเราะขึ้นมา เอ่ยขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อนสิ่งใด “หากเขาสืบหาความลับของหยกวิญญาณก้อนนั้น จะต้องเกิดเรื่องปะทะกับฮูเหยียนไห่แน่ ข้าเพียงแค่ยืมมือเขาไปถอนรากถอนโคนฮูเหยียนไห่ก็เท่านั้น ”
ชายกลางคนสวมชุดเหลืองเอ่ยขึ้น “แต่ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่าเขามาถึงมหานครกุ่นโจวแล้ว กลับไม่ได้บอกเรื่องที่โรงเตี๊ยมสุขสงบถูกพรรคมารหยินยึดครองไปแล้วกับเขา”
เวิงอวิ๋นฉีหัวเราะเสียงดังพลางเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่รู้หรอก ตอนนั้นข้าต้องเจออันตรายจากการทรยศหักหลังถึงได้หยกวิญญาณมา ทว่าถูกเขาแย่งชิงไป ในใจข้านั้นจะไม่เกลียดชังได้อย่างไร? หากใช้โอกาสในครั้งนี้ ให้ชายหนุ่มนี้ได้ลิ้มรสความล้มเหลวบ้าง มันก็คุ้มค่าแล้ว”
ทันทีที่เอ่ยมาถึงตรงนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงเรียบดังเข้ามาจากด้านนอกลานบ้าน “นี่คือแผนจริง ๆ ของเจ้ารึ?”
เวิงอวิ๋นฉีที่มีใบหน้ายิ้มในตอนแรกพลันแข็งทื่อ รีบลุกขึ้นทันที พลิกมือหยิบแผ่นหินค่ายกลสีดำออกมา ใช้ปลายนิ้วขีดลงบนแผ่นหินอย่างโหดเหี้ยม และเอ่ยขึ้นมาทันที
“เริ่ม!”
เกิดเสียงสั่นสะเทือนไปทั่ว
ทว่าลานบ้านกลับเงียบสงัด ค่ายกลขนาดใหญ่ที่ถูกเขาจัดวางไว้รอบ ๆ ลานบ้านในตอนแรก กลับไม่ตอบสนองใด ๆ กลับมาเลยสักนิด
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เวิงอวิ๋นฉีมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาก ไม่ลังเลที่จะเอ่ยขึ้น “รีบหนีเร็ว!”
เขากระโจนพุ่งไปทางด้านหลังลานบ้าน
ความเร็วในการตอบสนองนั้นเร็วมาก ท่าทางที่ฉับไวและเฉียบแหลม เรียกได้ว่ามีไหวพริบและความช่ำชองมาก
ในตอนที่เขาหลบหนี ชายกลางคนสวมชุดเหลืองคนนั้นเพิ่งจะได้สติกลับมา จึงรีบลุกขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน
แต่ชั่วครู่หนึ่ง ร่างของเวิงอวิ๋นฉีก็หยุดชะงัก ไม่กล้าขยับตัวไปไหนอีก
ด้านหน้าเขา มีชายหนุ่มสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งยืนอยู่ แม้จะดูเหมือนไม่สนใจ และไม่คุกคามเลยสักนิด ทว่ากลับทำให้เวิงอวิ๋นฉีรู้สึกเหมือนหนูที่เจอกับแมว ทั่วร่างเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นในฉับพลัน
เขาสูดหายใจเข้าลึก และคำนับ “คุณชายซู ท่าน… ท่านมาตั้งแต่เมื่อใดรึ?”
ซูอี้ยิ้มออกมาอย่างช้า ๆ และเอ่ยว่า “จริง ๆ แล้วสิ่งที่เจ้าอยากถามน่าจะเป็นเหตุใดข้าถึงหาที่นี่เจอใช่หรือไม่?”
ร่างเวิงอวิ๋นฉีแข็งทื่อ รู้สึกขมขื่น เขาพอจะเดาออกแล้ว ว่าซูอี้ได้ยินเรื่องที่สนทนากันเมื่อครู่ทั้งหมดแล้ว
“คุณชายซู ข้ารู้ว่าเรื่องในครั้งนี้ข้าทำผิดไปแล้ว ก็ถือว่าไม่มากเกินไปหากท่านจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ เพียงแต่…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เวิงอวิ๋นฉีก็สงบลงไปไม่น้อยแล้ว จึงเอ่ยว่า “หากคุณชายซูลงมือในตอนนี้ เกรงว่าท่านคงจะหาฮูเหยียนไห่ไม่เจอแน่ หากคุณชายยอมให้โอกาสเวิงผู้นี้ได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำผิด เวิงผู้นี้รับปากว่า จะพาคุณชายไปหาฮูเหยียนไห่ในตอนนี้เลยก็ได้”
ซูอี้หัวเราะออกมา พลางเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าหากข้าไม่มีเจ้าแล้ว ก็จะหาฮูเหยียนไห่ไม่เจอรึ? ข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้าเช่นกัน ข้าเพิ่งไปโรงเตี๊ยมสุขสงบมาแล้วรอบหนึ่ง และได้รับข่าวบางอย่างมา จึงรู้ว่าฮูเหยียนไห่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ภายในแคว้นกุ่นแล้ว”
ทันใดนั้น ใจของเวิงอวิ๋นฉีก็หล่นไปอยู่ตาตุ่ม!
“เช่นนั้น… เหตุใดคุณชายถึงไม่ลงมือทันทีเลยล่ะ?”
เวิงอวิ๋นฉีเอ่ยเสียงต่ำขึ้น
ซูอี้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ มีสีหน้าที่เลื่อนลอย และเอ่ยกับตัวเอง “นั่นนะสิ เหตุใดวันนี้ในตอนที่ข้าลงมือ ถึงได้มีเรื่องไร้สาระมากมายนักล่ะ…”
ยังเอ่ยยังไม่ทันจบ ซูอี้ก็กวาดมือไปทีเดียวอย่างสบาย ๆ ภายใต้การจ้องมองด้วยสายตาหวาดกลัวของชายวัยกลางคนสวมชุดเหลืองที่อยู่ไม่ไกลนัก
ตูม!
เวิงอวิ๋นฉีผู้แข็งแกร่งระดับขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบ กลิ้งอยู่บนพื้น และกระอักเลือดออกมา
ง่ายราวกับบีบมดตัวหนึ่งให้ตาย!
ชายกลางคนสามชุดเหลืองเอ่ยเสียงหลง “คุณชายซู เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า และข้าก็ไม่เคยคิดที่จะเป็นศัตรูกับท่าน ข้า…”
สายตาของซูอี้มองข้ามเขาไป เอ่ยถามขึ้นลอย ๆ “เวิงอวิ๋นฉีรู้ได้อย่างไรว่าข้ามาถึงมหานครกุ่นโจวแล้ว?”
ชายกลางคนสามชุดเหลืองรีบเอ่ยอย่างตกใจ “เขา… เขาวางกลรอยเลือดไว้บนเหรียญทองแดงที่หักนั้น เพียงแค่คุณชายปรากฏตัวอยู่ในมหานครกุ่นโจว ภายในหนึ่งชั่วยาม ก็จะถูกภูตผีที่เวิงอวิ๋นฉีเลี้ยงไว้จับลมปราณได้”
ซูอี้พลิกฝ่ามือขึ้นมา เหรียญทองแดงที่หักนั้นก็ปรากฏออกมา และเอ่ยทันที “มิน่าล่ะ ถึงทำให้ข้าไม่พบอะไรแปลก ๆ ที่แท้เหรียญทองแดงนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุที่มีปัญหานี่เอง”
ขณะที่เอ่ยอยู่ เขาก็หมุนตัวกลับออกไป
จวบจนกระทั่งร่างสูงใหญ่ออกไปจากลานบ้านแล้ว ชายกลางคนสามชุดเหลืองที่มึนงงไปชั่วครู่หนึ่ง ถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา เขาแบแขนเสื้อด้านขวาที่มีบางอย่างก่อตัวอยู่ในนั้น และกริชสีเลือดเล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา ด้ามของมีดเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
“โชคดีที่เมื่อครู่ชายแก่ผู้นี้ไม่ได้ลงมือ ไม่เช่นนั้นคงจะถูกทำร้ายจนตายอย่างแซ่เวิงผู้นี้แล้ว…”
ชายกลางคนสามชุดเหลืองเช็ดเหงื่อเย็นที่อยู่บนหน้าผาก
…..
ณ เรือนพำนักหินศิลา
สีท้องฟ้าบ่งบอกว่าเย็นมากแล้ว น้ำทะเลสาบสีเขียวมรกตสะท้อนแสงอัสดง เผยแสงคลื่นเป็นชั้น ๆ ที่สวยงามขึ้นมา
เมื่อเห็นซูอี้กลับมาแล้ว ฉาจิ่นที่รออยู่ตรงนั้นมาตลอดก็รีบลุกขึ้น
“คุณชาย ข้าส่งแม่นางหลิงเสวี่ยกลับตำหนักเทียนหยวนแล้ว โดยมีผู้อาวุโสจู้กู่ชิงพาไปพบพี่สาวนางด้วยตัวเอง”
ซูอี้ส่งเสียงอืมออกมา และเอ่ยถามทันที “อาหารเย็นเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วรึ?”
ฉาจิ่นพยักหน้า ปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ายังซื้อเหล้าที่บ่มไว้นานหลายปีมาสองขวด หากคุณชายรู้สึกไม่มีความสุข ข้ายอมดื่มเป็นเพื่อท่านสองจอก”
ซูอี้ตกใจครู่หนึ่ง เขาใช้นิ้วถูไปที่จมูกของตัวเอง “เจ้าเห็นท่าทางข้าเหมือนคนไม่มีความสุขรึ?”
ฉาจิ่นกัดริมฝีปากสีเลือดฝาด พลางเอ่ยตอบ “เหมือนเจ้าค่ะ”
ซูอี้ “…”