บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 207 เมาหัวปักหัวปำ ต้นไห่ถังที่หลับใหลในฤดูใบไม้ผลิ
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 207 เมาหัวปักหัวปำ ต้นไห่ถังที่หลับใหลในฤดูใบไม้ผลิ
ตอนที่ 207: เมาหัวปักหัวปำ ต้นไห่ถังที่หลับใหลในฤดูใบไม้ผลิ
“คุณชาย ในตอนที่ท่านไม่มีความสุข สายตาท่านก็จะเผยความรู้สึกเย็นชาเหินห่าง แม้จะลุ่มลึกมาก แต่มันไม่เหมือนกับท่านในตอนปกติ”
“อีกอย่าง ในตอนกลางวันท่านมักจะนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญ ชอบนอนหลับ ชอบนั่งบนเก้าอี้หวายอย่างสงบ มีสิ่งเดียวที่ท่านไม่ชอบคือการออกไปเดินเล่น”
“ทว่าครั้งนี้ท่านออกไปข้างนอกราว ๆ สองชั่วยามเต็ม ๆ ซึ่งมันผิดแปลกไปมาก”
“ข้าเป็นสาวรับใช้ และความรู้สึกมันบอกกับข้าว่า การเดินทางจากไปของแม่นางหลิงเสวี่ย ทำให้ความรู้สึกของท่านไม่เหมือนกับปกติ ใช่หรือไม่?”
ขณะที่ฉาจิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ นางก็ไม่กล้าเงยหน้าไปมองซูอี้
ซูอี้มองฉาจิ่นอย่างตกใจชั่วครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้น “ไปทานข้าวกันเถิด”
ขณะที่เอ่ยอยู่ เขาก็เดินตรงเข้าไปเรือน ทว่าในใจกลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้เรียนรู้ที่จะเข้าใจจิตใจของเขาได้แล้วรึ?
อาหารเย็นค่ำวันนี้มีหลากหลาย และทุกอย่างก็คืออาหารที่ซูอี้ชอบ ไหนจะยังมีเหล้าสองไหวางอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนคล้ายกำลังหลอกล่อคนให้จิบเข้าไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “อาหารและเหล้าในเย็นวันนี้ไม่เลวเลย”
ฉาจิ่นดึงแขนเสื้อขึ้น ตักโจ๊กหนึ่งถ้วยให้กับซูอี้ก่อน จากนั้นถึงได้เอ่ยด้วยรอยยิ้มหวาน “หากคุณชายชอบก็ดีแล้ว”
เมื่อเอ่ยจบ นางก็เปิดเหล้าไหหนึ่ง จัดแจงเทเต็มถ้วยให้กับซูอี้และตัวนางเอง
ภายใต้แสงไฟ ผิวของสาวงามนั้นขาวมากกว่าหิมะ งดงามสว่างสดใส ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
วันนี้นางสวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งบางย้อมสีคราม ม้วนมวยผมขึ้นสูง มวยผมของนาง ยิ่งขับให้ลำคอที่เรียวยาวราวกับคอห่าน และเค้าโครงใบหน้าวิจิตรงดงามมากขึ้น
…งดงามจนอยากจะกลืนกิน
“คุณชาย ข้าดื่มให้ท่านหนึ่งถ้วย”
ฉาจิ่นยกถ้วยเหล้าขึ้น และดื่มมันจนหมด ใบหน้าที่ขาวราวกับหยกก็เผยสีแดงเรื่อออกมาทันที ช่างงดงามยิ่งนัก
ซูอี้ยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มจนหมด และเอ่ยถาม “เจ้ามาอาณาจักรต้าโจวนานเท่าไรแล้ว?”
“หนึ่งปีสามเดือนสิบเก้าวัน”
ฉาจิ่นเอ่ยตอบทันที
ซูอี้ตกตะลึง “เจ้าจำชัดเจนได้ขนาดนั้นเชียวรึ?”
แววตาของฉาจิ่นฉายประกายความเศร้าโศกออกมาเล็กน้อย “อาณาจักรต้าโจวไม่ใช่บ้านเกิดข้า และข้าก็รู้สึกอ้างว้าง บางคราก็นึกถึงสหายสนิทที่อยู่ทางบ้าน ก็เลยนับวันเวลา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ข้าจำได้อย่างชัดเจน”
ซูอี้พยักหน้าพลางเอ่ยขึ้น “มันคือธรรมชาติของมนุษย์”
“แล้วคุณชายล่ะเจ้าคะ คิดถึงสหายสนิทบ้างหรือไม่?” ฉาจิ่นเทเหล้าไปด้วยพลางเอ่ยถามไปด้วย
ซูอี้เอ่ยตอบทันที “ไม่คิด”
ฉาจิ่น “…”
ซูอี้เห็นสีหน้าที่นิ่งอึ้งไปของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “รอเจ้าก้าวเข้ามาบนเส้นทางนี้อย่างแท้จริงเมื่อใด เจ้าก็จะเข้าใจเอง ว่าบนเส้นทางนี้ มีเพียงแค่สองสิ่งเท่านั้นที่จะอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต”
ฉาจิ่นเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “มันคือสิ่งใดรึ?”
ซูอี้ดื่มเหล้าอีกถ้วยหนึ่ง เอ่ยอย่างแผ่วเบา “ความโดดเดี่ยวและความมุ่งมั่น”
แค่คำไม่กี่คำ ทว่าทำให้ภายในใจเขาเต้นแรงขึ้นมา!
เมื่อหนึ่งแสนแปดพันปีก่อน เขาเห็นการเกิดและการตายมานับไม่ถ้วน และเมื่อก้าวเข้าไปอยู่ในจุดสูงสุดของโลกได้อย่างแท้จริง เมื่อหวนคิดถึงชีวิตในตอนนั้น ถึงได้ค้นพบว่าไม่มีผู้ใดตามเส้นทางนี้มาเลย
ฉาจิ่นรู้สึกสับสนขึ้นมาทันที “หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดถึงยังไล่ตามเส้นทางนี้อยู่อีก?”
ซูอี้คิดครู่หนึ่งและจึงเอ่ยตอบ “ภูเขาที่อยู่ที่นั่น รอใครสักคนปีนขึ้นไปบนยอดสูงสุด แต่ในสายตาข้า ยังมีเส้นทางวิถีแห่งดาบที่สูงกว่ารอข้าข้ามผ่านมันไปอยู่”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ยิ้มพลางส่ายหน้า “เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
ฉาจิ่นเม้มริมฝีปากยิ้มออกมา “ต่อจากนี้ข้าจะลองไปทำความเข้าใจดู”
แสงเงาอ่อนโยน บางครั้งก็มีเสียงร้องของแมลงดังเข้ามาจากนอกเรือน ความเยือกเย็นและเงียบสงัดก็เพิ่มขึ้นมาโดยปริยายา
ทั้งสองคนกิน ดื่ม พูดคุยกัน และไม่รู้ว่านานเท่าไร พวกเขาก็ดื่มเหล้าหนึ่งไหจนหมด
เป็นครั้งแรกที่ฉาจิ่นค้นพบว่า ซูอี้ที่ไม่พูดมากแต่ไหนแต่ไรมา ก็มีตอนที่พูดคุยสนุกเหมือนกัน ในคำพูดนั้นชัดเจนตรงไปตรงมา และมักจะมีความลึกลับที่เป็นที่ติดตาตรึงใจ
โดยเฉพาะ ในตอนที่ซูอี้เอ่ยความในใจเกี่ยวกับการบำเพ็ญออกมาด้วยความไม่ตั้งใจ ก็ยิ่งทำให้นางชื่นชมมาก
สาเหตุอาจจะเป็นเพราะดื่มเหล้ามากเกินไป ฉาจิ่นถึงได้มีความกล้ามากขึ้น ขณะที่เอ่ยอยู่นางก็เริ่มระบายความในใจออกมา
ไม่ว่าอย่างไรนางก็บอกว่านางเป็นผู้สืบทอดที่โดดเด่นในรุ่นของสำนักวงเดือน นางเกิดในครอบครัวตระกูลใหญ่แห่งอาณาจักรต้าเว่ย แม้หน้าตาของนางไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งในตอนนั้น แต่ก็มีผู้คนมารักใคร่ชมชอบไม่ขาด มีเพียงแต่เจ้าซูอี้ที่ให้ข้าเป็นสาวรับใช้…
ซูอี้ก็มีท่าทางที่อ่อนโยนลงเล็กน้อย
หลังจากที่ปลุกความทรงจำในชาติก่อนได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาดื่มหนักขนาดนี้
ฟังฉาจิ่นระบายความในใจราวกับเจอการข่มเหงที่ร้ายแรง เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นี่เรียกว่ามีชีวิตอยู่ในท่ามกลางความสุขแต่ไม่รู้จักความสุข
การเป็นสาวใช้ของซูผู้นี้ จะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีงามขึ้นได้อย่างไรกัน?
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูอี้ก็นำกระดาษที่เขียนเต็มไปด้วยตัวหนังสือเล็ก ๆ ส่งไปให้นาง “เอาไป”
เขามีท่าทางเมาเล็กน้อย รู้สึกมึนงงเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับกำเริบเสิบสาน ทว่าแตกต่างจากความเฉยเมยตามปกติของเขา
“นี่คืออะไร?” ดวงตาฉาจิ่นเปล่งประกายราวกับน้ำ สวยงามหยาดเยิ้ม นางทนฤทธิ์เหล้าไม่ไหวจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างเกียจคร้าน
“ดูเองสิ”
ซูอี้นวดหน้าผาก รู้สึกปวดหัว ตระหนักว่าตัวเองไม่สามารถดื่มต่อไปได้อีก จึงอยากจะลุกขึ้น
แต่ไม่นึกเลยว่า ฉาจิ่นจะยื่นมือมาดึงชายเสื้อเขาไว้ และเอ่ยด้วยความโมโห “คืนนี้ไม่เมาไม่หยุด ข้าจักต้องให้เจ้าดื่มจนหมอบลงไปให้ได้”
ซูอี้ส่งเสียงฮึออกมา เขาเตรียมร่างกายให้พร้อม จากนั้นก็ยกเหล้าไหที่สองขึ้น “มามามา เจ้าลองทำให้ข้าดื่มจนหมอบดู!”
เท้าหนึ่งของฉาจิ่นเหยียบอยู่บนม้านั่ง รูดแขนเสื้อทั้งสองขึ้น เผยเรียวแขนก้านบัวที่ขาวมากราวกับหิมะออกมา นัยน์ตาขมุกขมัวสะลึมสะลือเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นที่อยากจะชนะ “คุณชาย ท่านอย่าดูถูกคนนักเลย คืนนี้ข้าบอกจะจัดการเจ้า ก็ต้องจัดการเจ้า!”
ผู้หญิงที่งดงามผู้นี้ ในยามนี้มวยผมยุ่งเหยิง แก้มแดง อยู่ในอาการมึนเมา และแสดงท่าทางอวดดีที่ไม่เคยปรากฏออกมาในตอนปกติ
เมื่อซูอี้เห็นเช่นนี้ ก็ไม่เอ่ยเรื่องไร้สาระอะไรอีก เริ่มดื่มกับนางทันที
…..
ซูอี้เมาแล้ว
ท่ามกลางความสลัวที่คลุมเครือ ราวกับความฝนที่เศร้าอาดูรรุมเร้าจิตใจ
ในความฝันนั้นเขารู้สึกเพียงว่าร่างกายรุ่มร้อนแผดเผาพัวพันกัน ริมฝีปากถูกปิด หายใจหอบเหนื่อย และต่อสู้ดิ้นรนขึ้นมาอย่างอดทนไม่ไหว
เหมือนกับคนที่เกือบจะหายใจไม่ออก สัญชาตญาณจึงเลือกที่จะต่อต้านขึ้นมา
ต่อจากนั้น ซูอี้รู้สึกเพียงว่าร่างกายอยู่ท่ามกลางเมฆที่สลัวและอ่อนนุ่ม มีคลื่นกระแสน้ำร้อนโจมตีที่ร่างเขาครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกสบายจนพูดออกมาไม่ได้ ราวกับจิตวิญญาณได้รับการปลอบประโลม ร่างกายและจิตใจได้รับการยกระดับขึ้น คล้ายจิตวิญญาณได้รับการปลดปล่อย…
ท่ามกลางแสงแปลก ๆ ที่มีสีสันหลากหลาย และเลือนราง เขายังได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงบ่นออกมาเป็นพัก ๆ ราวกับเสียงร้องที่นุ่มนวลมีความสุขของนกขมิ้น
แต่เมื่อเขากำลังจะเพ่งอย่างละเอียด จิตสำนึกเขากลับเลือนรางขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่รู้ว่านานเท่าใด แต่ซูอี้รู้สึกเพียงว่าปากแห้ง และปวดหัวเล็กน้อย จากนั้นก็ลืมตาตื่นขึ้นทันที
เขารู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
นี่ไม่ใช่ห้องของเขา!
กลิ่นหอมจาง ๆ โชยเข้ามาที่ปลายจมูก ซูอี้ตกใจไปชั่วครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะหันไปมองข้าง ๆ แล้วก็เป็นต้องตกใจกับภาพตรงหน้า
มีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ เขา!
มวยผมที่ยุ่งเหยิง ไหล่ที่งดงามขาวดั่งหิมะเผยออกมาครึ่งหนึ่ง นอนเอียงหัวอยู่บนหมอน เห็นเพียงแค่ใบหน้าที่งดงามเพียงครึ่งเดียว ผิวเนียนนุ่มน่าถนอมราวกับหยก เม้มริมฝีปากเปล่งปลั่งอวบอิ่มเล็กน้อย เสียงหายใจเบาบางราวกับเสียงแมวน้อยที่ร้องทักทายออกมา
คล้ายกับต้นไห่ถังที่หลับใหลในฤดูใบไม้ผลิ
ฉาจิ่น!!?
ซูอี้ “…”
หรือว่า… เมื่อคืน… หืม?
ซูอี้พยายามหวนคิด ทว่าจำได้แค่เลือนราง เขากับฉาจิ่นที่กำลังดื่มเหล้ากันอยู่ ดื่มจนสุดท้ายฉาจิ่นทนฤทธิ์ความเมาไม่ไหว อ่อนปวกเปียกอยู่ที่นั่น
เขามีความหวังดี จึงอุ้มนางไปส่งในห้อง
จากนั้น…
จากนั้นก็นึกไม่ออกแล้ว
ซูอี้มีสีหน้าที่ลังเล ในใจมีเพียงแค่คำถามเดียว เมื่อคืนข้าลักหลับนาง หรือว่านางลักหลับข้ากันแน่ ?
ชั่วครู่หนึ่ง ซูอี้ถึงได้ถอนหายใจออกมา และลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงยาวที่หอมฉุยนั้น หลังจากนั้นก็เห็น เสื้อผ้าของเขากับฉาจิ่นที่ถูกทิ้งสะเปะสะปะอยู่บนพื้น…
ซูอี้มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย ไม่คิดสิ่งใดมากอีก
เขาลุกขึ้น เดินมาถึงด้านหน้าโต๊ะ ยกกาน้ำชาเทดื่มไม่กี่อึก จากนั้นก็เก็บเสื้อผ้าตัวเองขึ้นมาและเดินออกไป
เมื่อประตูห้องปิดลง
เดิมทีฉาจิ่นที่นอนอยู่บนเตียงยาวที่คุ้นเคยกะพริบตาเล็กน้อย และลืมตาขึ้น ริมฝีปากแดงเปิดออกแล้วพ่นลมหายใจออกมา ราวกับผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
นางดิ้นรนเพื่อที่จะลุกขึ้น ทว่าก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที และส่งเสียงอึดอัดออกมาจากจมูก ใบหน้าแดงเรื่อเพราะความอับอาย นัยน์ตางามมีความตกใจ เมื่อคืนนี้…
หลังจากผ่านไปนาน ฉาจิ่นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ พลางเอ่ยพึมพำ “จากนี้ไปข้าจะไม่ดื่มเหล้าอีกแล้ว นี่มันเนื้อเข้าปากเสือจริง ๆ ถูกคนอื่นเอาเปรียบ แต่ไม่อาจพูดออกมาได้…”
นางเงยหน้ามองเสื้อผ้าที่อยู่บนพื้น อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ชายหนุ่มคนนี้ไม่แม้แต่จะเก็บเสื้อผ้าของนางได้??
นางลุกขึ้นลงจากเตียง ทันทีที่ขาเล็กขาวราวกับหยกยืนอยู่บนพื้น ขาทั้งสองที่อวบอิ่มเรียวยาวก็ซวนเซ เกือบจะยืนไม่ไหวและล้มลง นางจึงรีบจับขอบเตียงเอาไว้
“ไอ้เลวนี่ เมื่อคืนก็ไม่ยั้งมือเลยนะ…”
เมื่อเห็นท่าทางที่จนตรอกนั้นของนาง ฉาจิ่นก็ทั้งอายทั้งโมโห แอบกัดฟันอยู่ภายในใจ
ต่อมา นางก็แบกร่างที่เจ็บปวดราวกับฉีกขาด สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยอย่างกะโผลกกะเผลก และจัดการผมยาวสีดำที่ยุ่งเหยิงนั้นครู่หนึ่ง
เพียงแต่ หลังจากที่ออกมาจากห้องแล้ว นางกลับไม่มั่นใจเล็กน้อย หากเจอกับซูอี้ไม่รู้ว่านางควรจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร…
ที่ทำให้ฉาจิ่นดีใจก็คือ ซูอี้ไม่อยู่ที่ชั้นลอย
นางถึงได้ย่องเบา ๆ เข้าไปราวกับเป็นขโมย และวิ่งไปล้างหน้าบ้วนปาก
จนกระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว นางจึงจัดการกับตัวเองจนสวยงดงาม สะอาดสะอ้าน ฉาจิ่นถึงได้ปลุกความกล้าขึ้นมา และเดินเข้าไปในเรือนชั้นแรก
อาหารที่เหลืออยู่เมื่อวานยังไม่ได้เก็บให้เรียบร้อย และยังคงมีกลิ่นเหล้าตลบอบอวลไปทั่ว
ฉาจิ่นปวดหัวไปชั่วครู่หนึ่ง ใช่แล้ว จะต้องเก็บกวาดทำความสะอาดของเหล่านี้ด้วยตัวเอง
เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นกระดาษที่เขียนตัวหนังสือเล็ก ๆ อยู่เต็มหน้าซึ่งอยู่บนโต๊ะ ฉาจิ่นก็มึนงง เดินเข้าไป และหยิบขึ้นมาดู
หลังจากผ่านไปนาน
เมื่อฉาจิ่นละสายตากลับมา ภายในใจนางก็ปั่นป่วนขึ้นมาแล้ว
นี่คือวิชาการบำเพ็ญลับที่เรียกว่า ‘คัมภีร์ลี้ลับเก้าถ้ำคลุมเครือ’ ที่ซูอี้ให้นางเมื่อคืนในตอนที่ดื่มเหล้ากัน ทุก ๆ ย่อหน้าภายในนี้ ยอดเยี่ยมจนไม่มีสิ่งใดเทียบได้
เมื่อเทียบกันแล้ว วิชาที่ถ่ายทอดของสำนักวงเดือนนั้นหยาบและดูผิวเผินเกินไป
ไม่แปลกใจ คัมภีร์ลี้ลับเก้าถ้ำคลุมเครือนี้จะต้องเป็นคัมภีร์เต๋าที่ล้ำค่าจนประเมินคุณค่าไม่ได้แน่!
หากซูอี้เพิ่งนำวิชาลับนี้ออกมาให้นางวันนี้ ในใจนางจะต้องรู้สึกไม่ดีแน่ เพราะคิดว่าใช้ร่างกายตัวเองเข้าแลกถึงได้สิ่งนี้มา
แต่นี่มันชัดเจนมากว่าไม่ใช่!
“จะต้องเป็นเมื่อวานที่ข้ายอมอยู่ต่อเป็นเพื่อนเขา เขาถึงได้ตั้งใจเตรียมของขวัญนี้ให้ เพราะเขาเคยรับปากว่าจะชี้แนะเกี่ยวกับการบำเพ็ญ…”
ฉาจิ่นแอบพึมพำกับตัวเอง นางนำกระดาษปึกนั้นกอดไว้กับอก ในใจเต็มไปด้วยความสุข มีความสุขจนมุมปากฉีกยิ้มขึ้นมา
ไม่ว่าจะดีใจหรือโกรธก็ยังสวยอยู่ดี และมันควรจะเป็นเช่นนี้
ณ ริมทะเลสาบ
ซูอี้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน จ้องมองดอกบัวในทะเลสาบที่พลิ้วไหวไปตามสายลมภายใต้แสงอรุณยามเช้า รู้สึกเพียงว่ามีความรู้สึกสบายอกสบายใจ ผ่อนคลายจนอธิบายไม่ได้
สิ่งเดียวที่เสียใจอาจจะเป็นเพราะ เมื่อวานเขาดื่มจนเมามาก และจำอะไรไม่ได้เลย!