บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 208 คลื่นใต้น้ำ
ตอนที่ 208: คลื่นใต้น้ำ
“นานจนเพียงนี้แล้ว ยังเก็บข้าวของไม่เสร็จอีกหรือ?”
เสียงที่แฝงความไม่พอใจของซูอี้ดังขึ้น
ฉาจิ่นสะดุ้งสุดตัวรีบเดินออกมา
เมื่อเห็นซูอี้นอนเอนหลังอยู่บนเก้าอี้หวายแล้ว นางรู้สึกเขินอายและกระดากกระเดื่องขึ้นมาอย่างประหลาด ก้มหน้าพลางกล่าว “คุณชาย เมื่อคืน…”
ซูอี้ชายตามองดูนางชั่วครู่จึงกล่าว “รีบไปซื้ออาหารเช้า”
ฉาจิ่น “…”
ความเขินอาย ความกระดากกระเดื่อง และความปีติยินดีเต็มทรวงอกของนางหายไปราวติดปีก เส้นดำผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ที่แท้แล้วผู้ชายคนนี้คิดแต่จะให้ตัวเองออกไปซื้ออาหารเช้ามาให้เท่านั้น!
“อืม” นางพยักหน้าแล้วหมุนตัวออกไป
ซูอี้นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ พลันรู้สึกได้ว่าตอนที่ฉาจิ่นออกไป ท่าทางของนางดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติมากนัก ดูงก ๆ เงิ่น ๆ ราวกับเป็ดน้อย
ทันใดซูอี้ก็กลั้นไม่อยู่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา ในเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความสุขสันต์หรรษายิ่งนัก
ฉาจิ่นได้ยินเสียงหัวเราะแล้วถึงกับนิ่งตะลึง ฉับพลันรู้สึกอายจนต้องปิดหน้าเดินออกไปราวกับเข้าใจความหมาย
——
ณ มหานครกุ่นโจว จวนตระกูลอวี๋
เจ้าแคว้นเซี่ยงเทียนชิวมาหาด้วยตนเองตั้งแต่รุ่งเช้า
“ข้าได้ยินมาว่า พี่อวี๋กับองค์ชายหกถึงขั้นแตกหักกันแล้ว?”
ในตำหนักใหญ่แห่งหนึ่ง เซี่ยงเทียนชิวนั่งอยู่ตรงนั้นพลางกล่าวเปิดอก
อวี๋ไป๋ถิงยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าว “ไม่ผิด เป็นสิ่งที่พี่เซี่ยงต้องการจะเห็นไม่ใช่หรอกหรือ?”
เซี่ยงเทียนชิวกลั้นไม่อยู่หัวเราะเสียงดังขึ้นมา จากนั้นจึงกล่าว “เป็นอย่างไร พี่อวี๋ต้องการจะเข้าร่วมฝ่ายองค์ชายรองหรือไม่?”
อวี๋ไป๋ถิงยกจอกน้ำชาขึ้นมาจิบเบา ๆ อึกหนึ่ง พลันกล่าวทอดถอนใจ “แจ้งกับพี่เซี่ยงอย่างไม่ปิดบัง ตอนนี้ในใจของข้าคิดเพียงอย่างเดียวว่าจะจัดการกับซูอี้คนนั้นอย่างไร ยังไม่มีความคิดจะนึกถึงเรื่องอื่น”
เซี่ยงเทียนชิวครุ่นคิดสักครู่ แล้วกล่าวคำออก “เซี่ยงผู้นี้เคยกล่าวไว้ว่า หากองค์ชายหกไม่จัดการกับเจ้าหนุ่มคนนั้น เซี่ยงผู้นี้ก็จะลงมือเอง!”
อวี๋ไป๋ถิ่งกล่าวถอนใจ “พี่เซี่ยง ซูอี้คนนั้นไม่ง่ายเหมือนดังที่เจ้าคาดคิด ตามความเห็นของข้า เจ้าอย่าได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้เลย”
เซี่ยงเทียนชิวนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ พลันหัวเราะ “พี่อวี๋ไม่ต้องพูดยั่วยุข้า ในเมื่อเซี่ยงผู้นี้กล้ากล่าวออกมาเช่นนี้ ไม่มีทางเสียคำพูดเป็นธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น ซูอี้เป็นเพียงแค่หนุ่มน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ร้ายกาจสักแค่ไหน ไหนเลยจะสามารถต่อกรกับผู้อาวุโสอย่างพวกเราได้”
อวี๋ไป๋ถิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พี่เซี่ยง ใช่ว่าข้าดูถูกเจ้า ซูอี้ดูคล้ายอายุยังน้อยก็จริง แต่แท้จริงแล้วคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเทียบได้”
พูดจบ เขาก็เล่าเรื่องที่ซูอี้ฆ่า ‘เฒ่าเหวิน’ ตายออกมาจนหมดเปลือก
ฟังจนจบกระบวนความ สีหน้าของเซี่ยงเทียนชิวพลันมืดพลันสว่างขึ้นมาเช่นกัน
ผู้อาวุโสเหวินเป็นหนึ่งในมือซ้ายขวาของอวี๋ไป๋ถิง เป็นปรมาจารย์ขั้นสอง ทว่ากลับถูกซูอี้ฆ่าตาย!
สิ่งนี้เกินความคาดหมายของเซี่ยงเทียนชิวอย่างสิ้นเชิง
นิ่งไปพักใหญ่ ๆ เขาชี้นิ้วไปที่อวี๋ไป๋ถิง หัวเราะพลางร้องด่า “ตาเฒ่า จะบอกเวลาไหนก็ไม่บอก มาบอกข้าเอาเวลานี้ อยากจะให้ข้าไม่มีแม้แต่เวลาจะเสียใจภายหลัง”
อวี๋ไป๋ถิงกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แล้วกล่าวคำ “ในสายตาของข้า ใต้เท้าเซี่ยงไม่ใช่คนที่คิดจะเสียใจภายหลังเช่นนั้น และไม่มีทางจะหวาดกลัวซูอี้ด้วย”
นิ่งเงียบไปสักครู่ เขากล่าวเสียงเคร่งเครียด “พูดเช่นนี้ก็แล้วกัน เป็นเพราะผู้ชายคนนี้มีความสามารถร้ายกาจ องค์ชายหกจึงมองว่าเป็นคนสนิท หากว่าพี่เซี่ยงยินดีจะช่วยจัดการเจ้าหนุ่มคนนี้ แปดวันข้างหน้าในงานเลี้ยงน้ำชา ข้าอวี๋ไป๋ถิงจะช่วยพี่เซี่ยงอีกแรง!”
เซี่ยงเทียนชิวตาลุกวาว หัวเราะพลางกล่าว “ได้! เซี่ยงผู้นี้ไม่เชื่อหรอกว่าบนแผ่นดินแคว้นกุ่นแห่งนี้ยังจะมีเรื่องใดที่พวกเราไม่อาจจัดการได้อีก!”
อวี๋ไป๋ถิงเปลี่ยนเรื่อง ถามขึ้นมาช้า ๆ “พี่เซี่ยง ตามที่ข้ารู้มา องค์ชายหกมีความมั่นใจในงานเลี้ยงน้ำชาครั้งนี้อย่างเต็มที่ คนของเจ้าทางนั้นเตรียมการไปถึงไหนบ้างแล้ว?”
เซี่ยงเทียนชิวเผยรอยยิ้มแห่งความมั่นใจออกมา แล้วกล่าว “บอกเช่นนี้ก็แล้วกัน ต่อให้งานเลี้ยงน้ำชาในครั้งนี้เกิดความพลิกผัน แต่อย่างไรเสียองค์ชายหกก็ไร้กำลังจะแก้ไขได้!”
“เช่นนั้นหรือ?” อวี๋ไป๋ถิงกล่าวอย่างใช้ความคิด “ดูท่าแล้ว พี่เซี่ยงยังมีไพ่ใบสุดท้ายที่ข้าไม่รู้อยู่อีก”
เซี่ยงเทียนชิวหัวเราะฮ่าฮ่า “มีเพียงไพ่ใบสุดท้ายที่เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่เท่านั้นจึงสามารถใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวได้ งานเลี้ยงน้ำชาในครั้งนี้เกี่ยวข้องไปถึงการคัดเลือกผู้ที่จะขึ้นมาเป็นเจ้าแคว้นคนใหม่ และเกี่ยวข้องไปถึงการแย่งชิงอำนาจระหว่างองค์ชายรองกับองค์ชายหกด้วยเช่นกัน ข้าไม่อาจจะหละหลวมได้”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นบอกลาแล้วเดินออกไป
หลังจากที่อวี๋ไป๋ถิงออกมาส่งเซี่ยงเทียนชิวด้วยตนเองแล้ว เขาย้อนกลับเข้าไปและนั่งครุ่นคิดตรึกตรองอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังคนเดียว
เจ้าแคว้นคนใหม่จะถูกคัดเลือกในงานเลี้ยงน้ำชาครั้งนี้
จากสถานการณ์ในตอนนี้ ในห้าตระกูลใหญ่ของแคว้นกุ่น ตระกูลจ้าว ตระกูลไป๋ กับตระกูลอวี๋ของเขา รวมถึงเซี่ยงเทียนชิวเจ้าแคว้นคนปัจจุบันล้วนเลือกจะที่อยู่ฝ่ายเดียวกับองค์ชายรอง
ตระกูลเจิ้งกับตระกูลเสวียกลับเข้าฝ่ายองค์ชายหกทางนั้น
จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง เชินจิ่วซงแห่งกองกำลังเกล็ดแดงอยู่สถานะเป็นกลางมาโดยตลอด เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้ามาพัวพันกับการแย่งชิงกันระหว่างองค์ชายรองกับองค์ชายหก
เทียบกำลังกันตามที่เห็นชัดแจ้งเช่นนี้ องค์ชายหกตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ทว่าอวี๋ไป๋ถิงเข้าใจชัดเจนดีว่า องค์ชายหกจะต้องมีไพ่ใบสุดท้ายอย่างอื่นอย่างแน่นอน
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาคาดเดาไม่ถูกก็คือ ไพ่ใบสุดท้ายในมือเซี่ยงเทียนชิวนั้นคืออะไรกันแน่ จึงได้กล้าแสดงท่าทีกุมชัยชนะแน่แท้
อวี๋ไป๋ถิงพึมพัมเบา ๆ “เมื่องานเลี้ยงน้ำชาเริ่ม บางทีอาจจะมองเห็นชัดแจ้ง”
——
จวนเจ้าแคว้น
เซี่ยงเทียนชิวกลับถึงจวนแล้ว เขาตกอยู่ในภวังค์เช่นเดียวกัน
“ซูอี้… เหตุใดจึงรู้สึกคุ้นเคยต่อชื่อ ๆ นี้นัก…”
ฉับพลันเซี่ยงเทียนชิวก็นึกขึ้นได้ เหมือนว่าสาวน้อยนามว่าเหวินหลิงเจาที่บุตรชายของตัวเองชื่นชอบนางนั้นจะสมรสกับหนุ่มน้อยผู้มีนามว่าซูอี้
“หมิงเอ๋อร์อยู่หรือไม่?” เซี่ยงเทียนชิวถาม
บ่าวรับใช้อาวุโสตอบเสียงเบา “เมื่อวันก่อนหลังจากที่คุณชายน้อยกลับสู่ตำหนักเทียนหยวนแล้ว ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยขอรับ”
เซี่ยงเทียนชิวร้องอ้อทีหนึ่งพลันกล่าว “เจ้าว่า หากให้เจ้าเป็นองค์ชายหก เจ้าจะยอมปฏิเสธการสนับสนุนจากตระกูลอวี๋เพื่อหนุ่มน้อยคนหนึ่งหรือไม่?”
บ่าวอาวุโสสะดุ้งไปครู่หนึ่ง จึงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องดูว่าคุ้มค่าหรือไม่”
เซี่ยงเทียนชิวกล่าว “หนุ่มน้อยคนนี้นามว่าซูอี้ มีความสามารถถึงขั้นฆ่าบุคคลอย่างปรมาจารย์ขั้นสองได้ มีความร้ายกาจถึงขั้นอันตรายยิ่ง”
บ่าวอาวุโสกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม “หากว่าเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่มีความสามารถแก่กล้า เป็นไปไม่ได้ที่จะสำคัญไปกว่าการสนับสนุนของตระกูลอวี๋ หากว่าข้าเป็นองค์ชายหก ยอมที่จะเสียสละซูอี้คนนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งการสนับสนุนของตระกูลอวี๋”
เซี่ยงเทียนชิวพยักหน้ากล่าว “ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่องค์ชายหกกลับยอมที่จะปฏิเสธการสนับสนุนของตระกูลอวี๋ เพื่อเก็บรักษาซูอี้ เช่นนี้ไม่ผิดปกติ”
บ่าวอาวุโสกล่าวเบา ๆ “ใต้เท้า หรือคนสกุลซูคนนี้ จะมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงหรือไม่?”
ม่านตาของเซี่ยงเทียนชิวหรี่เล็กลงในทันใด นั่งตัวตรงพลางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หากว่าซูอี้คนนี้เป็นคนของตระกูลซูจริง… ก็เป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้ว….”
ตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง!
หัวกำลังหลักสำคัญที่ตั้งตระหง่านเป็นหนึ่งอยู่ในอาณาจักรต้าโจว มีอิทธิพลต่อกองกำลังทุกฝ่ายในใต้หล้าทั่วอาณาจักรต้าโจว!
มีรากฐานที่น่ากลัว เหนือกว่าความคาดหมาย
“ใต้เท้า บ่าวจำได้ว่า เมื่อยี่สิบปีก่อนผู้นำตระกูลซูเคยรับปากต่อจักรพรรดิโจวองค์ปัจจุบัน ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก ตลอดระยะเวลายี่สิบปีมานี้ ตระกูลซูทำตามคำรับปากมาโดยตลอด ไม่เคยเข้าฝ่ายให้การสนับสนุนพระราชโอรสพระองค์ใด”
บ่าวอาวุโสกล่าวเบา ๆ “ตามความเห็นของข้า หากว่าซูอี้คนนี้เป็นบุตรหลานของตระกูลซูจริง จะเป็นไปได้เช่นใดที่เลือกทำงานถวายชีวิตอยู่ข้างกายองค์ชายหก?”
แววตาของเซี่ยงเทียนชิวเป็นประกาย กล่าว “ตระกูลซูยิ่งใหญ่รุ่งเรือง บุตรหลานในตระกูลมีนับพัน กองกำลังภายใต้ความดูแลมีไปทั่วอาณาเขตต้าโจว”
“ในบรรดาจวิ้นอ๋องนอกสกุลทั้งเก้า ตระกูลซูยึดครองเป็นอันดับสาม”
“ในบรรดาขุนนางโหวนอกสกุลทั้งสิบแปดสาย ตระกูลซูยึดครองเป็นอันดับห้า”
“วงศ์ตระกูลเช่นนี้ อำนาจที่กุมอยู่ในมือเพียงพอที่จะสร้างผลกระทบต่อสถานการณ์ทั่วอาณาจักรต้าโจวได้!”
กล่าวถึงตรงนี้ แววตาของเซี่ยงเทียนชิวร้อนผ่าวขึ้นมา “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ตระกูลซูจะไม่มีไอ้หน้าโง่ไร้สมอง หากว่าซูอี้คนนี้เป็นบุตรหลานของตระกูลซูจริง ๆ เล่า?”
บ่าวอาวุโสนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จึงกล่าว “ใต้เท้า ไม่เช่นนั้นให้ผู้น้อยไปตรวจสอบภูมิหลังของคน ๆ นี้ด้วยตนเองดีหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ได้ เมื่อหลายวันก่อน ผู้เฒ่าประหลาดเหวินคนสนิทของอวี๋ไป๋ถิงไปสืบภูมิหลังของคน ๆ นี้ ผลปรากฏว่าตายไปเสียเฉย ๆ ข้าไม่อยากจะเห็นเจ้าต้องเดินซ้ำรอย”
เซี่ยงเทียนชิวคิดสักครู่จึงตัดสินใจ “ช่างเถอะ เรื่องนี้ ข้าจะเขียนจดหมายบอกองค์ชายรองด้วยตนเอง ให้องค์ชายรองส่งคนไปสืบที่จวนตระกูลซู เท่านี้ความจริงก็ปรากฏแล้ว”
——
รับประทานอาหารเช้าที่ฉาจิ่นซื้อกลับมาแล้ว ซูอี้ก็ใช้เวลาไปกับการฝึกตนเหมือนดังที่เคยทำในอดีต
ราวกับว่าหลังจากที่ผ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้ว ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอันใดให้กับเขาแม้แต่น้อย
เดิมทีฉาจิ่นยังคงรู้สึกเขินอายและตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง ทว่าพอเห็นท่าทีของซูอี้ราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นแล้ว ทำให้นางไม่เพียงแต่รู้สึกคลายใจเท่านั้น ทั้งยังอดผิดหวังไม่ได้
ผู้ชายคนนี้ ถือว่าเมื่อคืนนี้ไม่ได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นจริง ๆ หรือ?
หรือว่า ในใจของเขาไม่เคยมีตัวนางอยู่เลยกันแน่?
ฉาจิ่นเอาแต่คิดถึงคำถามที่น่าเบื่อเหล่านี้อยู่ตลอดทั้งวัน จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
จนกระทั่งราตรีมืดใกล้จะมาถึง
ฉับพลันฉาจิ่นก็นึกขึ้นได้อีกคำถามหนึ่ง
หากว่าจู่ ๆ ซูอี้ในวันนี้เริ่มถามร้อนถามหนาว เป็นห่วงเป็นใยขึ้นมา สถานการณ์ควรจะเป็นไปในลักษณะใด?
“ไม่ต่างอะไรไปจากเจอผี!”
ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ ฉาจิ่นจึงสรุปคำตอบออกมาได้ นางทั้งรู้สึกขันและรู้สึกจนปัญญา ซูอี้คนนี้ทั้งขี้เกียจ ทั้งอหังการ เป็นไปได้อย่างไรที่จะเปลี่ยนไปกลายเป็นคนพูดเอาใจผู้หญิงได้?
เมื่อวานนี้ เหวินหลิงเสวี่ยร้องไห้จนถึงขั้นนั้นแล้ว เขาก็ยังเพิกเฉยดูดาย ไม่ยอมเป็นฝ่ายไปงอนง้อก่อน แค่คิดก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ชายคนนี้จะพูดคำฉอเลาะหวานเยิ้มดังเคลือบน้ำผึ้งแบบนั้นออกมาได้
“หากว่าเขาเปลี่ยนไปกลายเป็นคนพูดจาฉอเลาะเอาใจเก่งเช่นนั้น คงทำให้รู้สึกผิดหวังเสียมากกว่า… ในทางกลับกันยิ่งเขาหยิ่งผยอง ไม่เกรงใจ ยิ่งแลดูจริงใจ เป็นเช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเปลี่ยนไปกลายเป็นผู้ชายหลอกลวงพูดจาปลิ้นปล้อนอยู่ตลอด…”
ฉาจิ่นคิดได้เช่นนี้ นางรู้สึกโล่งใจไปไม่น้อย
หลังอาหารเย็น
ฉาจิ่นช่วยจัดเตรียมน้ำอาบและเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนให้ซูอี้เสร็จแล้วกำลังจะออกไป ซูอี้กลับโพล่งขึ้นมา “ประเดี๋ยวเจ้ามาหาข้าที่ห้อง”
ใบหน้าชดช้อยของฉาจิ่นแดงก่ำในทันใด หูคู่สวยร้อนผ่าวขึ้นมา กล่าวอึก ๆ อัก ๆ ราวกับทำอะไรไม่ถูก “คุณชาย ร่าง… ร่างกายข้ายังไม่พร้อม…”
ซูอี้ชายตามองดูนางด้วยท่าทีไม่พอใจนัก “ในสมองของเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ตัวเจ้าเองสามารถเข้าใจถึงความอัศจรรย์ของคัมภีร์ลี้ลับเก้าถ้ำคลุมเครือได้เช่นนั้นหรือ?”
“เอ่อ…”
ฉาจิ่นนิ่งเงียบไป จากนั้นจึงถามออกมา “คุณชายจะชี้แนะการฝึกให้แก่ข้า?”
ซูอี้ตอบ “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ฉาจิ่นรู้สึกอายจนอยากจะหาที่แทรกแผ่นดินหนี
จนกระทั่งซูอี้อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉาจิ่นจึงเคาะประตูเบา ๆ เดินเข้าไปในห้องของเขา
“เข้ามา”
ซูอี้นอนเอนหลังอยู่บนเตียงด้วยท่าทีเกียจคร้าน “หยิบคัมภีร์ลี้ลับเก้าถ้ำคลุมเครือออกมาเปิดหน้าที่หนึ่งของบทแรก ตั้งใจฟังให้ดี ข้าจะอธิบายเพียงรอบเดียวเท่านั้น”
ฉาจิ่นรีบเดินมาข้างหน้า สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจนสิ้นและตั้งหน้าตั้งตาฟัง
แสงราตรีมืดมิดราวกับหมึกสีดำ เวลาผันผ่านอย่างรวดเร็ว
ฉาจิ่นงัวเงียตื่นขึ้น เมื่อลุกจากเตียงก็มองเห็นมุ้งที่ไม่คุ้นเคย รวมถึงผ้าห่มที่ไม่คุ้นเคยอยู่บนตัว นางถึงกับนิ่งตะลึงไปชั่วครู่
จึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานนี้ ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเองเป็นอะไรไปจึงได้ค้างคืนในห้องของซูอี้อย่างไม่รู้ตัว