บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 209 มีข้าอยู่ อยากจะแพ้ก็ยังยาก
ตอนที่ 209: มีข้าอยู่ อยากจะแพ้ก็ยังยาก
หลายวันถัดมา
เรือนพำนักหินศิลาสงบร่มรื่น ซูอี้ก็พลอยสงบใจขึ้นมาด้วยเช่นกัน
เพียงแต่นอกเหนือจากการฝึกตนแล้ว บางครั้งก็นึกถึงเหวินหลิงเสวี่ยขึ้นมา ในใจยังคงรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้างเล็กน้อย
ทว่ายังดีที่จิตใจไม่ถึงกับทรุดโทรมตามไปด้วย
ฉาจิ่นยังคงเหมือนเดิมตามปกติ รับผิดชอบงานจุกจิกต่าง ๆ เช่น ซักผ้าพับผ้าห่ม ต้มชาต้มน้ำ เป็นต้น เพียงแต่ว่าแตกต่างไปจากเมื่อก่อน นางได้ตั้งความฝันไว้มากมายในชีวิตวันข้างหน้า
หลังจากที่ฝึกฝนคัมภีร์ลี้ลับเก้าถ้ำคลุมเครือแล้ว นางจึงเข้าใจแล้วว่าในอดีตตนเองโง่เขลาตีบตื้นถึงเพียงไหน และในที่สุดก็เข้าใจถึงความอัศจรรย์แห่งการฝึกตน
เคล็ดวิชานี้คล้ายกับเป็นการเปิดโลกใบใหม่ทั้งใบให้แก่นาง ทำให้วิสัยทัศน์ ทัศนคติ รวมถึงความเข้าใจในการฝึกตนของนางล้วนมีความเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าหงายแผ่นดิน
โดยธรรมชาติ ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดซูอี้ที่อายุยังน้อยจึงสามารถกุมพลังอันน่ากลัวซึ่งเทียบเท่ากับพลังของเทพเซียนได้
หาใช่เพราะเขาเป็นเทพเซียนที่แท้จริงไม่ แต่เป็นเพราะวิธีการฝึกตนที่เขาเรียนรู้ก้าวไกลเกินกว่าคนบนโลกใบนี้จะเทียบเคียงได้!
เพียงแต่ว่า ทุกครั้งเวลาที่เข้าสู่ยามวิกาล ฉาจิ่นจะรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
นางเข้าใจกลลวงของซูอี้แล้ว อาศัยเหตุบอกว่าชี้แนะวิธีฝึกตนให้แก่ตนเอง ลับ ๆ กลับมีจุดประสงค์อื่น!
ทว่า ฉาจิ่นไม่ได้เปิดโปงกลลวง เพราะทุกคืนเวลาที่ได้ยินซูอี้ร่ายพรรณนาความอัศจรรย์ในการบำเพ็ญตนเหล่านั้น นางได้รับผลดีมากมาย
กระทั่งรู้สึกว่าลิ้มลองแล้วครั้งหนึ่งอยากจะลิ้มลองเป็นครั้งที่สอง เริ่มรอคอยการได้ไปหาซูอี้ที่ห้องทุกคืน…
คืนวันนี้
โจวจือหลีพาฉางกั้วเค่อ เจิ้งเทียนเหอมาคารวะ
เมื่อพบกับฉาจิ่น โจวจือหลีอดตะลึงไม่ได้ ต่างไปจากเดิมจนแทบไม่กล้าทัก
เทียบกับเมื่อก่อน ฉาจิ่นในตอนนี้สะอาดผุดผ่องไปทั้งตัว ทว่าทุกอากัปกิริยาอาการกลับเปล่งประกายเสน่ห์อันเฉิดฉายเพริศพริ้ง ความงดงามเช่นนั้นเปรียบประดุจดอกบัวที่แย้มบานท่ามกลางลมวสันต์อันแสนอบอุ่น สวยสะคราญ โดดเด่นไม่เป็นรองใคร
ในฐานะที่เคยผ่านประสบการณ์มา โจวจือหลีเข้าใจได้เป็นธรรมดาว่าเป็นเพราะเกิดเหตุอันใดขึ้น จึงอดเสียใจขึ้นมาไม่ได้
พูดแล้ว ตอนนั้นเขาหลงใหลในตัวฉาจิ่นอยู่ไม่น้อย
ทว่าโชคชะตาช่างเล่นตลก ฉาจิ่นในตอนนี้ เขาทำได้เพียงจ้องมองอยู่ไกล ๆ ไม่กล้าคิดเลยเถิด
“พี่ซู กำหนดการงานเลี้ยงน้ำชากำหนดเป็นวันพรุ่งนี้รุ่งเช้า จัดขึ้นที่ยอดเขาประจิมห่างจากนอกเมืองไปสิบลี้”
โจวจือหลีแสดงจุดประสงค์ในการมาอย่างรวดเร็ว
ซูอี้พยักหน้า แล้วกล่าว “เจ้าจัดเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว?”
โจวจือหลีคิดสักครู่ ส่ายหน้าพลางกล่าว “ถึงแม้ข้าจะจัดเตรียมไพ่ใบสุดท้ายไว้บ้างแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังคาดเดาไม่ถูกว่าที่แท้เซี่ยงเทียนชิวเตรียมแผนการไว้มากน้อยเพียงใด”
พูดถึงตรงนี้แล้ว เขากลั้นต่อไปไม่ไหวถอนใจออกมา พลางกล่าว “เมื่อก่อนในฐานะที่เป็นองค์ชาย ไม่ว่าเจอใครล้วนต้องให้ความเคารพต่อข้า แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงอำนาจ ข้าจึงพบว่าความเคารพยำเกรงเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม คล้ายกับแคว้นกุ่นแห่งนี้ แม้กระทั่งตระกูลยิ่งใหญ่เหล่านั้นก็ยังกล้าคิดขัดแย้งกับข้า”
ซูอี้ไม่ต้องการจะฟังเขาทอดถอนใจ จึงกล่าวตามตรง “ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”
โจวจือหลีรีบตอบ “พี่ซู ข้าเพิ่งได้ข่าวมา พี่รองของข้าอาจจะหาบุคคลระดับปรมาจารย์ที่ร้ายกาจมาช่วย”
ซูอี้จึงแสดงสีหน้าสนใจออกมา กล่าว “ร้ายกาจเพียงใด?”
โจวจือหลีรีบตอบทันควัน “ว่ากันว่า มีคนอำมหิตที่สามารถเบียดตัวเข้าไปอยู่ในสามสิบอันดับแรกของ ‘รายนามปรมาจารย์แห่งต้าโจว’ แต่ว่า ข้าไม่มั่นใจมากนักว่ามีใครบ้าง”
“รายนามปรมาจารย์แห่งต้าโจว?”
ซูอี้นิ่งไป เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินรายนามเช่นนี้
โจวจือหลีอธิบายด้วยความใจเย็นขึ้นมา
ทุก ๆ ครึ่งปี ‘หอสิบทิศ’ จะทำการแก้ไขและประกาศ ‘รายนามปรมาจารย์แห่งต้าโจว’
ผู้ที่มีชื่อติดอันดับต้น ๆ ล้วนเป็นบุคคลระดับสุดยอดในขอบเขตปรมาจารย์แห่งต้าโจว
ส่วนผู้ที่สามารถเบียดตัวเองเขามาอยู่ในสามสิบอันดับแรกได้ นับเป็นลูกพี่ใหญ่ในขอบเขตปรมาจารย์แทบจะทั้งสิ้น!
แต่ละคนหากไม่ใช่เพราะมีการฝึกตนอันแก่กล้า ก็ต้องมีพรสวรรค์อันกล้าแกร่ง
ตามคำกล่าวของโจวจือหลี ผู้ที่มีรายชื่อสามสิบอันดับแรกส่วนใหญ่แทบจะมาจากนครหลวงแทบทั้งสิ้น อีกทั้งแต่ละคนยังมีการฝึกตนขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสี่ขึ้นไป!
แน่นอน ยังมีคนหนุ่มรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศเบียดเข้ามาอยู่ในรายชื่อสามสิบอันดับแรก ทว่าเทียบกันแล้วมีจำนวนน้อยมาก
เฉกเช่น ‘ฟ่านหัวอิ๋ง’ ศิษย์คนสุดท้ายของหงเซินชาง ราชครูแห่งอาณาจักรต้าโจว คนผู้นี้ก็คือบุคคลผู้มีพรสวรรค์ที่เบียดตัวเข้ามาอยู่ในอันดับที่สิบเก้าของรายนามปรมาจารย์แห่งต้าโจว
ฟังจบ ซูอี้ถึงกับส่ายหน้า แล้วกล่าวคำออก “เพียงแค่รายนามเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมบุคคลผู้เป็นปรมาจารย์แก่กล้าในโลกนี้ได้ทั้งหมด”
โจวจือหลีหัวเราะพลางกล่าว “เรื่องนี้เป็นธรรมดา แต่ขอเพียงเบียดตัวเข้าไปอยู่บนรายนามได้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ใช่บุคคลที่มีแต่ชื่อเท่านั้น”
ซูอี้พยักหน้า “ไม่ผิด ใช่แล้ว หอสิบทิศแห่งนี้เป็นสถานที่เช่นใด?”
โจวจือส่ายหน้า กล่าว “หอสิบทิศนั้นมีความเร้นลับยิ่งนัก มีกำลังซุกซ่อนอยู่ในที่มืด สมาชิกในความควบคุมแผ่กระจายไปทั่วอาณาจักรต้าโจว อาณาจักรต้าเว่ย และอาณาจักรต้าฉิน”
“ปกติพวกเขาจะไม่สนใจเรื่องราวโลกสามัญ ข้าเคยได้ยินเสด็จพ่อเอ่ยถึงในบางครั้งเมื่อตอนอดีต คาดเดาว่าผู้นำหอสิบทิศคงจะเป็นเทพเซียนเดินดินที่มีความแก่กล้ามากคนหนึ่ง”
นิ่งไปสักครู่ โจวจือหลีจึงกล่าวต่อ “หอสิบทิศมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วเพราะมีข่าวสารที่ฉับไว มุ่งมั่นในการเก็บและสืบข้อมูลลับในโลกหล้าทุกรูปแบบทุกชนิด ทุก ๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่งจะประกาศข่าวคราวซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธ์ออกมา”
ซูอี้กล่าว “น่าสนใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากว่าวันข้างหน้าต้องการจะสืบเรื่องอันใด สามารถเริ่มหาได้จากหอสิบทิศก่อน”
โจวจือหลีส่ายหน้าพลันกล่าว “พี่ซู คนในใต้หล้าต่างก็รู้ นอกเสียจากสมาชิกของหอสิบทิศจะปรากฏตัวออกมาเอง ไม่เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะหาตัวพวกเขาพบ”
ซูอี้ร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีอันใดออกมาอีก
คุยกันต่อได้สักครู่ โจวจือหลีจึงพาฉางกั้วเค่อกับเจิ้งเทียนเหอลากลับ
วันพรุ่งนี้รุ่งเช้า งานเลี้ยงน้ำชาก็จะเริ่มขึ้นบนยอดเขาประจิม องค์ชายหกพระองค์นี้ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกจำนวนไม่น้อย
“คุณชาย ท่านคิดว่าองค์ชายหกมีโอกาสชนะหรือไม่?”
ฉาจิ่นถามด้วยความสงสัยอยากรู้
“ไม่มี”
ซูอี้ตอบโดยไม่ต้องคิดมาก “เขาดูท่าทางฉลาดอยู่บ้าง แต่ความจริงแล้วยังอ่อนหัดอยู่มาก ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกผู้เฒ่าที่ชอบใช้กลยุทธ์มานานหลายปีเหล่านั้น”
นิ่งเงียบไปสักครู่ เขากล่าว “แน่นอน มีข้าอยู่ เขาอยากจะแพ้ก็ยังยาก”
แววตาของฉาจิ่นผิดประหลาดไป มีที่ไหนพูดยกยอตัวเองเช่นนี้? คุณชายจะอ่อนน้อมถ่อมตนสักหน่อยไม่ได้เลยเช่นนั้นหรือ?
ทว่า มาคิดพิจารณาดูให้ดี ดูเหมือนว่าซูอี้ไม่จำเป็นต้องถ่อมตนในเรื่องเช่นนี้เลย…
ฉาจิ่นเอ่ยขึ้นเบา ๆ “แต่ข้ารู้สึกว่า องค์ชายหกพระองค์นี้ดูจะไม่ค่อยมั่นใจในตัวท่านเต็มที่มากนัก ไม่เช่นนั้น คงไม่ต้องถึงกับแสดงท่าทีกลัดกลุ้มใจเช่นนี้ ”
“คนในเหตุการณ์ดูสถานการณ์ไม่ออกก็เท่านั้น แต่ละคนล้วนต้องการรู้ไพ่ใบสุดท้ายของฝ่ายตรงข้าม ตามคำกล่าวที่ว่ารู้เขารู้เรา แต่เวลาที่ต้องงัดข้อกันจริง ๆ มีใครสักกี่คนที่สามารถทำเช่นนั้นได้?”
ซูอี้กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “วิเคราะห์ให้ถึงแก่น ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะตัวเขาเองอ่อนแอเกินไป หากว่ามีความแข็งแกร่งพอ ไม่เห็นต้องสนใจว่าเป็นผีหน้าวัวเทพหน้างูหรือมีแผนการร้ายอันใด บดขยี้ไปตลอดทางก็เพียงพอแล้ว”
ฉาจิ่นเม้มปากหัวเราะขึ้นมา ในสายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะเหตุอันใด ท่าทีและแววตาที่ดูเงียบสงบคล้ายกับเมฆบางลมเบา ทว่าความจริงไม่เคยมองเห็นหัวใครของซูอี้เช่นนั้น ทำให้นางรู้สึกหลงใหลมากขึ้นทุกที…
“รีบไปเตรียมอาหารเย็นเถอะ” ซูอี้ลุกเดินเข้าไปในห้อง
ฉาจิ่นมองดูท้องฟ้าคำนวณเวลา พบว่าเวลานี้ใกล้จะมืดแล้ว
ไม่รู้เช่นกันว่านึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้ จู่ ๆ ใบหน้าสวยของนางก็แดงระเรื่อ รีบหมุนตัวออกไปซื้ออาหารเย็น
——
รุ่งเช้าถัดมา
ฉาจิ่นผู้หลับใหลสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะประตูที่ดังมาแต่ไกล
ริมฝีปากแดงอิ่มเอิบของนางบ่นพึมพำด้วยอาการงัวเงีย ยื่นมือไปปัดอุ้งมือที่วางพาดอยู่บนหน้าอกตัวเองออก จากนั้นจึงลุกขึ้นนั่ง
ด้านหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้า อีกด้านหนึ่งฉาจิ่นเอ่ยขึ้นเบา ๆ “คุณชาย คงจะเป็นองค์ชายหกมา ข้าไปเปิดประตู”
ขณะที่พูดนางลุกเดินออกจากห้องไปแล้ว
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ
ซูอี้ล้างหน้าบ้วนปากเสร็จสรรพ ขณะที่เดินส่ายอาด ๆ ออกมาจากห้องก็เห็นคนจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ในสวนแล้ว
โจวจือหลี ฉางกั้วเค่อ ชิงจิน เจิ้งเทียนเหอ มู่จงถิง รวมถึงชายสุขุมวัยกลางคนผู้ที่มีกลิ่นอายหนังสือคละคลุ้งเต็มตัว
“พวกเจ้า?”
สายตาของซูอี้เบนไปยังผู้ชายสุขุมวัยกลางคน รู้สึกราวกับเคยเห็นฝ่ายตรงข้ามมาก่อน
ผู้ชายสุขุมวัยกลางคนยิ้มขึ้นมาน้อย ๆ เป็นฝ่ายคารวะขึ้นมาก่อน “ผู้น้อยเสวียหนิงเยวี่ยน คารวะคุณชายซู เมื่อหลายวันก่อน พวกเราเคยพบหน้ากันแล้วครั้งหนึ่ง คุณชายคงจะจำไม่ได้”
ซูอี้เพียงแต่พยักหน้าไม่ได้กล่าวอะไร จากนั้นจึงบอกกับทุกคน “ไปกัน”
“คุณชาย ข้าอยากจะไปกับคุณชายด้วย”
ฉาจิ่นร้องขึ้น
“ได้”
ซูอี้รับปากในทันใด “ใช่แล้ว เตรียมอาหารการกินไปสักหน่อย เก้าอี้หวายตัวนั้นของข้าก็พกติดไปด้วย”
คนอื่น ๆ “…”
คนที่ไม่รู้คงจะเข้าใจว่าผู้ชายคนนี้คงจะเตรียมตัวไปเที่ยวพักผ่อนกระมัง?
ฉาจิ่นคุ้นเคยกับความเคยชินของซูอี้แล้ว จึงรีบออกไปตระเตรียม
ถือโอกาสนี้ โจวจือหลีกล่าวเบา ๆ “พี่ซู เรื่องในวันนี้…”
ซูอี้ชายตามองดูเขาครู่หนึ่ง กล่าว “ใกล้จะออกศึก กลับไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ ถือเป็นข้อห้าม หลังจากที่ได้รับชัยชนะในงานเลี้ยงน้ำชาครั้งนี้แล้ว ข้าแนะนำให้เจ้าฝึกฝนจิตจะเป็นการดีที่สุด มิเช่นนั้น ตลอดชั่วชีวิตนี้คงจะไม่มีความก้าวหน้าอะไรนัก”
โจวจือหลีทำสีหน้าปั้นยาก ประสานมือประคองหมัดกล่าว “ขอบคุณพี่ซูที่ชี้แนะ ข้าจะจดจำฝังใจ”
“ดูท่าทาง งานเลี้ยงน้ำชาในครั้งนี้คุณชายซูมีความมั่นใจอย่างเต็มที่” เสวียหนิงเยวี่ยนยิ้มพลางกล่าว
ซูอี้มองไปยังผู้กุมอำนาจตระกูลเสวียคนนี้สักครู่จึงกล่าว “หากว่าไม่มั่นใจ เหตุใดต้องไปกับพวกเจ้าด้วย?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเสวียหนิงเยวี่ยนเจื่อนไป
ซูอี้ขี้เกียจจนไม่อยากจะพูดมากอีก เดินตรงออกไปที่นอกสวน
โจวจือหลีเห็นเช่นนี้แล้วรีบติดตามออกไป
“ผู้ชายคนนี้นับวันก็ยิ่งไม่เห็นหัวใครในสายตา” ชิงจินเบะปาก
นางเหมือนดังแต่ก่อน ดวงตางดงามคมเฉียบประดุจใบมีด สวยทว่าน่าหวาดเกรง แฝงด้วยกลิ่นอายเย็นชาไม่สนใจต่อสิ่งใด
เพียงแต่ว่า เวลาที่เผชิญหน้ากับซูอี้ จิตใจของนางกลับมีสภาพเปลี่ยนแปลงไปอย่างบอกไม่ถูก
นับคำนวณขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบหน้าซูอี้ที่มหานครกุ่นโจว ทว่านางกลับเข้าใจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับซูอี้มากขึ้น
ดังเช่นเมื่อหลายวันก่อน หลิ่วหงฉีผู้อาวุโสนอกสำนักของสำนักวงเดือนซึ่งเป็นปรมาจารย์ขั้นสอง ยังถูกซูอี้ฆ่าตายได้อย่างสบาย
นางเข้าใจดียิ่งกว่านั้นว่าองค์ชายหกฝากฝังความหวังที่จะได้รับชัยชนะในงานเลี้ยงน้ำชาครั้งนี้ไว้กับซูอี้ คนหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีคนนี้!
ทว่าเมื่อเห็นผู้หญิงสวยพร้อมอย่างฉาจิ่นติดตามอยู่ข้างกายซูอี้ด้วยความแช่มชื่นเช่นนี้แล้ว ในใจของชิงจินก็เกิดความสับสนขึ้นมา
เป็นธรรมดาที่นางจะไม่มองว่าฉาจิ่นเป็นผู้หญิงขายศิลปะอีกต่อไป
ทว่านางกลับนึกภาพไม่ออกว่าเหตุใดศิษย์ผู้รับการถ่ายทอดโดยตรงของสำนักวงเดือนจึงยอมมาเป็นหญิงรับใช้อยู่ข้างกายซูอี้
อีกทั้งมองดูสีหน้าท่าทางของฉาจิ่นแล้ว เห็นชัดเจนว่านางยินยอมพร้อมใจ…
“หากว่าตอนที่อยู่บนเรือในครั้งนั้น ข้ารับปากยอมเป็นหญิงรับใช้ข้างกายเขา สถานการณ์จะเป็นเช่นใด?” นึกถึงตรงนี้ ชิงจินส่ายหน้าสลัดความคิดฟุ้งซ่านนี้ออกไป
ต่างคนล้วนมีเป้าหมายต่างกัน
นางไม่อาจทำเช่นนี้ได้
อย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งหมดก็ออกเดินทาง นั่งรถม้าออกจากมหานครกุ่นโจว มุ่งหน้าตรงไปยังเขาประจิมที่อยู่ไกลออกไปสิบลี้