บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 210 คือเขา
ตอนที่ 210: คือเขา
เขาประจิมสูงประมาณสามร้อยจั้ง ภูผาตั้งชัน
เช้าตรู่ ขณะที่ฟ้ายังไม่สาง
ใต้เชิงเขาประจิม ฝูงคนมากมายอยู่รวมตัวกันจนแน่นขนัด ต่างคนต่างส่งเสียงพูดคุยกันเบา ๆ สีหน้าและแววตาแฝงไว้ซึ่งการรอคอย
ในช่วงระยะที่ผ่านมา ข่าวคราวเรื่องงานเลี้ยงน้ำชา ณ มหานครกุ่นโจวในครั้งนี้ถูกนำไปพูดคุยจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วแล้ว สร้างความสนใจให้แก่กองกำลังน้อยใหญ่ภายในแคว้นกุ่น
ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่างานเลี้ยงน้ำชาในครั้งนี้จะมีการคัดเลือกเจ้าแคว้นกุ่นรุ่นถัดไป!
ยิ่งกว่านั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งเจ้าแคว้นนี้ ยังก่อเกิดการแย่งชิงและปะทะกำลังกันระหว่างองค์ชายรองกับองค์ชายหก!
สำหรับกองกำลังน้อยใหญ่ทั้งหมดที่ตั้งตนอยู่ในหกเขตปกครองอาณาบริเวณเขตแดนแคว้นกุ่น พวกเขาจะไม่ใส่ใจไม่ได้
เพราะเมื่อเจ้าแคว้นคนใหม่ถูกคัดเลือกตัวออกมา กองกำลังน้อยใหญ่ในเขตแดนแคว้นกุ่นจะต้องเผชิญกับการล้างไพ่ใหม่อีกครั้ง
ปากทางขึ้นสู่ยอดเขา ทหารฉกาจกองหนึ่งของกองกำลังเกล็ดแดงเฝ้ารักษาการณ์อยู่ตรงนั้น แต่ละคนล้วนสวมชุดเกราะเกล็ดสีแดง สะพายดาบเกล็ดแดงบนหลัง มั่นคงประดุจเจ้าป่า ดุดันน่าหวาดกลัว
ผู้ที่รับภารกิจเฝ้าระวังป้องกันในครั้งนี้ก็คือหยวนลั่วอวี่ หัวหน้ากองร้อยผู้มีอายุน้อยที่สุดของกองกำลังเกล็ดแดง
“อ้าว? บิดากับคนอื่น ๆ ก็มากันด้วย…”
หยวนลั่วอวี่สังเกตเห็นในทันใดว่าที่ไกลออกมาไปมากนัก หยวนอู่ทงผู้เป็นบิดากับหยวนลั่วซีผู้เป็นน้องสาวกำลังเดินมา
พบหน้าญาติสนิท หยวนลั่วอวี่เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น
เขาในเวลานี้คือหัวหน้ากองของกองกำลังเกล็ดแดง จะต้องเฝ้ารักษาการณ์ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตรงนี้อย่างเต็มหน้าที่ตลอดเวลา
หยวนอู่ทงยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าวกับหยวนลั่วซีที่อยู่ข้างกาย “ตอนนี้พี่รองของเจ้าทำงานมีหน้ามีตาไม่เลวเลย”
หยวนลั่วซีพยักหน้าตอบแบบใจลอย ดวงตาใสสว่างคู่นั้นของนางกวาดมองดูคนอื่น ๆ ที่มาร่วมงานราวกับว่ากำลังมองหาอะไรสักอย่าง
“เป็นไปได้เช่นใดที่คุณชายซูจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่”
หยวนอู่ทงมองความคิดของหยวนลั่วซีออกในชั่วพริบตา ได้แต่ส่ายหน้า
หยวนลั่วซีม้วนอายน้อย ๆ พลางกล่าวคำ “ท่านพ่อ งานใหญ่โตที่ทุกคนพากันจับตามองเช่นนี้ เขาจะต้องมาร่วมงานด้วยอย่างแน่นอน”
หยวนอู่ทงพยักหน้า พลางกล่าว “องค์ชายหกมองคุณชายซูเป็นผู้มีพระคุณ หากว่าครั้งนี้เขาสามารถเชิญคุณชายซูให้มาช่วยได้ โอกาสที่จะชนะก็ย่อมมีมาก”
สายตาของเขากวาดมองดูโดยรอบ พบว่ามีบุคคลใหญ่โตที่มีฐานะไม่ธรรมดามากมายหลายคน
บ้างก็เป็นบุคคลล้ำเลิศจากหกเขตปกครองแคว้นกุ่น อำนาจที่มีเพียงพอที่จะกระเทือนถึงดินแดนเขตปกครองหนึ่ง!
บ้างก็เป็นผู้นำกองกำลังใหญ่ภายในแคว้นกุ่น บ้างก็เป็นผู้อาวุโสผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือบ้างก็เป็นวีระบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
บัดนี้ล้วนมาชุมนุมกันอยู่ใต้เชิงเขาประจิมแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นการพบปะของเหล่าลูกพี่ใหญ่ แต่ละฝ่ายมารวมตัวกัน
หยวนอู่ทงเห็นสถานการณ์เช่นนั้นแล้วยังคงรู้สึกตื่นเต้นอยู่นาน
เขาก็ถือว่าเป็นลูกพี่ใหญ่ในเขตปกครองอวิ๋นเหอคนหนึ่งเช่นกัน ทว่าในสถานที่แห่งนี้ บุคคลที่คล้ายกับเขากลับมีให้เห็นได้ทั่วไป
หยวนอู่ทงกล่าวขึ้นมาราวกับเข้าใจความหมาย “รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดพี่ใหญ่ของเจ้าจึงดึงดันจะไปนครหลวงให้ได้?”
“ก็เพราะว่ามีแต่ต้องเดินออกไปเท่านั้น จึงจะมองเห็นความยิ่งใหญ่ของผืนฟ้าผืนแผ่นดิน หากว่าขดตัวอยู่แต่ในสถานที่เล็ก ๆ อย่างเขตปกครองอวิ๋นเหอ ต่อให้มีพรสวรรค์และความสามารถอันเก่งกาจ สุดท้ายก็ต้องจมหายไป!”
หยวนลั่วซีราวกับจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
หยวนอู่ทงไม่ได้กล่าวให้มากความอีก
แต่ไหนแต่ไรมาวิถีโลกก็เป็นเช่นนี้ เขาลูกหนึ่งสูงยิ่งกว่าเขาอีกลูกหนึ่ง
เขตปกครองอวิ๋นเหอเจริญรุ่งเรืองเพียงใด?
ทว่าอยู่ในเขตแดนแคว้นกุ่น สุดท้ายก็เป็นได้เพียงแค่หนึ่งในหกเขตปกครองเท่านั้น
เช่นเดียวกัน เมื่อเทียบกับใต้หล้าของต้าโจวแล้ว แคว้นกุ่นก็เป็นได้เพียงแค่แคว้น ๆ หนึ่งเท่านั้น ไม่อาจเปรียบได้กับนครหลวงอวี้จิงแม้แต่น้อย
หากว่ามองไกลออกไปถึงมหาทวีปคังชิง ต้าโจวก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในร้อยของอาณาจักรทั้งหลายเท่านั้น…
และทั้งหมดนี้ล้วนถูกลิขิตมาแล้วว่ายิ่งอยู่ในสถานะสูงก็ยิ่งสัมผัสรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคนหมายความว่าอย่างไร!
“ลุงอิง งานเลี้ยงน้ำชาวันนี้ พบเห็นได้ไม่บ่อยจริง ๆ”
เชิงเขาประจิม อีกฝั่งหนึ่ง ฮวาเหยียนหญิงสาวสวยผู้ดูแลหอศิลาทองคำในแคว้นกุ่นยืนอยู่ตรงนั้น
นางแต่งหน้าบาง ๆ เรียบร้อย ท่ามกลางความสงบนิ่งเรียบร้อย มีเสน่ห์เย้ายวนหยดย้อยไปอีกแบบ
ลุงอิงผู้เฒ่าผมขาวโพลนกล่าว “ดูจากสถานการณ์เช่นนี้ กองกำลังแต่ละสายในหกเขตปกครองแคว้นกุ่นกับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในแคว้นกุ่นส่วนใหญ่คงมาถึงกันแล้ว”
“ข้าได้ยินมาว่า งานเลี้ยงน้ำชาในครั้งนี้องค์ชายรองมีความมั่นใจมากถึงเก้าส่วน กระทั่งข่าวที่หอสิบทิศทางนั้นส่งออกไปก็ยังเข้าใจว่าครั้งนี้องค์ชายหกจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน”
ฮวาเหยียนกล่าวเบา ๆ
“หอสิบทิศก็เข้าใจเช่นนี้?”
ลุงอิงเริ่มสั่นคลอน
หอสิบทิศมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าเพราะมีความฉับไวด้านข่าวสาร ในเมื่อกองกำลังลึกลับนี้กล้าตัดสินออกมาเช่นนี้ได้ เกรงว่าคงกุมข่าวคราวที่คนอื่นอีกมากยังไม่รู้ไว้ในมือ
“ไม่ผิด” แววตาของฮวาเหยียนเกิดประกายที่ผิดแผกออกไป กล่าว “อีกทั้ง หอสิบทิศยังสืบพบไพ่ใบสุดท้ายที่ใหญ่ที่สุดขององค์ชายหก เป็นเพียงแค่คนหนุ่มนามว่าซูอี้เท่านั้น!”
“ซูอี้?” ลุงอิงสงสัยขึ้นมา
ฮวาเหยียนส่ายหน้ากล่าว “ข้าไม่เคยพบมาก่อน แต่จากเบาะแสของหอสิบทิศ แจ้งมาว่าคนหนุ่มคนนี้มีความเก่งกาจ เดิมทีเป็นศิษย์ที่ถูกขับไล่ของสำนักดาบชิงเหอ การฝึกตนสูญสิ้น เข้าไปเป็นเขยแต่งเข้าบ้านของตระกูลเหวินในเมืองกว่างหลิง เป็นคนไร้ประโยชน์เพียงคนหนึ่งเท่านั้น ทว่าหนึ่งปีให้หลัง เขากลับแข็งแกร่งขึ้นมาราวกับม้ามืด!”
“ประมาณหนึ่งเดือนก่อน เขาเคยใช้การฝึกตนขอบเขตโคจรโลหิตแข่งขันประลองยุทธ์ประตูมังกรแห่งเมืองกว่างหลิงจนได้เป็นที่หนึ่ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตัวเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อขึ้นมา”
“วิชายุทธ์ยอดเยี่ยมมาก แม้กระทั่งมู่ชางถูเจ้าสำนักดาบชิงเหอก็ยังได้แต่ก้มหน้ายอมแพ้ต่อหน้าเขา”
“วีรบุรุษคนดังอย่างฉินเหวินเยวียนผู้ว่าเขตปกครองอวิ๋นเหอก็ยังถูกเขาฆ่าในดาบเดียว”
“นอกจากนี้ ผู้คุมรักษาแห่งพรรคมารหยินสามท่านล้วนตายด้วยฝีมือของเขา”
“และทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งเดือนกว่า ๆ มานี้!”
ฟังจบ ลุงอิงประหลาดใจกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าสั่นคลอน “ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกับร่างของคน ๆ นี้กันแน่ เหตุใดจึงเปลี่ยนไป วิชายุทธ์เลิศล้ำได้ถึงเพียงนี้?”
ดวงตางามของฮวาเหยียนเกิดประกายประหลาด “เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ข้าอยากจะรู้เช่นกัน ว่ากันว่าหอสิบทิศยกซูอี้ให้เป็น ‘บุคคลสำคัญ’ กำลังเสาะหาที่มาและชาติกำเนิดของเขากันอย่างเต็มกำลัง เชื่อว่าคงอีกไม่นาน ก็คงจะได้รับคำตอบบ้าง”
ลุงอิงครุ่นคิดชั่วครู่ กล่าว “ต่อให้ซูอี้จะเก่งกาจมากมายสักแค่ไน อย่างไรเสียก็มีลำพังเพียงคนเดียวเท่านั้น องค์ชายหกจะมองว่าเขาเป็นไพ่ใบสุดท้ายที่ใหญ่ที่สุดได้เช่นใด?”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขากล่าวต่ออีก “ควรต้องเข้าใจว่า งานเลี้ยงน้ำชาในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวโยงไปถึงเพียงแค่ลูกพี่ใหญ่ระดับสุดยอดในแคว้นกุ่นเท่านั้น เบื้องหลังยังมีกองกำลังซึ่งมีองค์ชายรองกับองค์ชายสามเป็นตัวแทนอีก อาศัยแค่ซูอี้เพียงคนเดียว จะเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ได้เช่นใด?”
ฮวาเหยียนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ กล่าว “นั่นสิ ในใจของข้าก็มีความเคลือบแคลงอยู่มากเช่นกัน และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าต้องมาดูให้เห็นกับตาตัวเอง”
ฉับพลัน นางก็กล่าวเสริมอีก “แน่นอน หอสิบทิศได้วิเคราะห์ออกมาแล้ว ครั้งนี้องค์ชายหกจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน คิดว่าต่อให้บุคคลลึกลับอย่างซูอี้สอดมือเข้ามายุ่งด้วยก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ ที่ ๆ ไกลออกไปเกิดความแตกตื่น
“องค์ชายหกมาแล้ว!”
“ผู้ชายหนวดหงิกข้างกายเขาคนนั้น คงจะเป็นฉางกั้วเค่อปรมาจารย์แห่งสำนักดาบมังกรเร้น มีความสามารถแก่กล้าอย่างที่สุด”
“ผู้นำตระกูลเจิ้งกับผู้นำตระกูลเสวียก็อยู่ข้างกายด้วยเช่นกัน”
“ผู้ว่าเขตปกครองหย่งเหอ มู่จงถิงโชคดีมากเพียงใด องค์ชายหกจึงเห็นความสำคัญของเขาได้”
…ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ที่ ๆ ไกลออกไปขบวนรถม้าคณะหนึ่งก็หยุดจอด โจวจือหลีพร้อมกับคนอื่น ๆ ทยอยลงมา เป็นที่จับตามองของคนทั้งหมด
แน่นอน ซูอี้กับฉาจิ่นที่อยู่ข้างกายเขาก็ถูกบุคคลมากมายสังเกตเห็นด้วยเช่นกัน ทว่ามีเพียงส่วนน้อยไม่กี่คนเท่านั้นที่จำพวกเขาได้
“ท่านพ่อ คุณชายซู!”
สองตาของหยวนลั่วซีเป็นประกายลุกวาว กล่าวด้วยความปีติยินดี
หยวนอู่ทงคว้าแขนของนางในทันควัน พลางกดเสียงลง “แม่หนู เก็บอาการสักหน่อย ตอนนี้ไม่ใช่เวลายามปกติ รอให้งานเลี้ยงน้ำชาเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราค่อยไปคารวะ”
ความรู้สึกประหลาดมากมายผุดขึ้นในใจของเขาเช่นกัน องค์ชายหกต้องทุ่มเทไปมากมายเท่าใดจึงเชิญคุณชายซูมาช่วยสนับสนุนได้?
“หรือว่า… หรือว่าเขาก็คือซูอี้?”
ทว่าขณะนี้เอง เมื่อเห็นซูอี้ในชุดสีเข้มทั้งตัว มีองค์ชายหกโจวจือหลีมาเดินเคียงข้างด้วยตนเองแล้ว ฮวาเหยียนถึงกับตกตะลึง ดวงตางามงอนเบิกกว้าง
เมื่อหลายวันก่อน นางยังเคยให้การต้อนรับคนน้อยชุดเขียวเข้มคนนี้ด้วยตนเอง และยังรู้สึกสนใจในตัวเขามากอีกด้วย คาดไม่ถึงมาก่อนเลยว่าคนผู้นี้จะเป็นซูอี้ผู้มีกลิ่นอายแห่งความลึกลับคนนั้น!
ลุงอิงนิ่งตะลึงไปครู่หนึ่ง กล่าว “คุณหนู รู้จักกับเขา?”
ฮวาเหยียนลดเสียงลง “ลุงอิง ยังจำเรื่องที่ข้าเล่าให้ฟังเมื่อก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ มีคนนำเอาอาวุธขององครักษ์สามท่านที่อยู่ข้างกายองค์ชายสามมาขายให้กับหอศิลาทองคำของพวกเรา… ตอนนั้นข้าเข้าใจว่า ฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงแค่คนลักลอบขายของที่ได้จากการขโมยมาเท่านั้น แต่ดูจากสภาพในตอนนี้แล้ว พวกเราเข้าใจผิดทั้งหมด!”
พูดถึงตรงนี้ ความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นในใจของนาง
ลุงอิงถึงกับสีหน้าเปลี่ยน สูดลมเย็นเข้าปาก “หรือว่าคนที่เจ้าพูดถึงคนนั้นก็คือ… ซูอี้ คนที่อยู่ข้างกายองค์ชายหกในตอนนี้?”
“ไม่ผิด คือเขา”
นัยน์ตางามของฮวาเหยียนส่อแววประหลาดราวกับค้นพบเจอความลับอันน่าตื่นตะลึง น้ำเสียงส่อเค้าตื่นเต้นดีใจขึ้นมา “ประเมินจากสถานการณ์ตอนนี้ เป็นได้มากว่าองครักษ์สามท่านข้างกายองค์ชายสามก็อาจจะตายด้วยฝีมือของซูอี้คนนี้!”
นางเคยหลอกถามชื่อสกุลของซูอี้จากฉาจิ่น ทว่าฉาจิ่นกลับไม่ยอมเอ่ยถึง
แต่ตอนนี้ นางเข้าใจหมดแล้ว!
เวลานี้ลุงอิงก็ตั้งสติกลับมาได้แล้วเช่นกัน แววตาสั่นกระเพื่อม “คนหนุ่มผู้นี้ดุดันร้ายกาจน่าดู เอาชนะมู่ชางถูก ชิงเหอ ฆ่าผู้ว่าเขตปกครองอวิ๋นเหอฉินเหวินเยวียน ฆ่าล้างผู้คุมกฎทั้งสามคน บัดนี้ กระทั่งปรมาจารย์องครักษ์สามท่านที่อยู่ข้างกายองค์ชายสามก็เป็นไปได้มากว่าอาจตายด้วยฝีมือของเขา แทบไม่อยากจะเชื่อเลย!”
“เช่นนี้สิจึงจะสนุก”
ดวงตางดงามของฮวาเหยียนระยิบระยับ การรอคอยปรากฏขึ้นบนใบหน้า พลางกล่าว “ข้ารู้สึกสนุกกับงานเลี้ยงน้ำชาในวันนี้มากขึ้นทุกทีแล้ว”
ภายใต้สายตาจับจ้องนับไม่ถ้วน พวกของซูอี้เดินตรงไปยังเชิงเขา
“ผู้น้อยคารวะฝ่าบาท คารวะคุณชายซู!”
หยวนลั่วอวี่ผู้เฝ้าระวังความปลอดภัยแสดงความคารวะอย่างเคร่งครัด
เมื่อเห็นซูอี้แล้ว ความตื่นเต้นดีใจก็ปรากฏขึ้นบนสีหน้าแววตาของเขาเช่นกัน คาดไม่ถึงเลยว่าบุคคลผู้รอบรู้ไปทั่วทุกด้านประดุจเซียนตกสวรค์เช่นนี้ก็มาร่วมงานด้วย!
ซูอี้ชายตามองหยวนลั่วอวี่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “หากว่ามีเวลาว่าง ไปหาข้าที่เรือนพำนักหินศิลาเพื่อดื่มสุราร่วมกันได้”
หยวนลั่วอวี่ยิ้มพลางรับคำในทันที
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ทหารกองกำลังเกล็ดแดงคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างกายเขาพากันหันมามอง ต้องการอยากจะรู้ฐานะของซูอี้ขึ้นมา
ทว่าหนึ่งในทหารกลุ่มนั้นแสดงสีหน้าสับสนออกมา ก้มหน้าลงเล็กน้อย ในใจเกิดความรู้สึกขมขื่นและสลดหดหู่ยากจะพรรณนาขึ้นมา
ทหารคนนี้ก็คือโม่เทียนหลิง
ครั้งนั้น หลังจากที่ถูกขับไล่ออกจากสำนักดาบชิงเหอแล้วก็มาทำงานให้กับกองกำลังเกล็ดแดง
ทว่าในงาน ‘การประลองประตูมังกร’ ที่เมืองกว่างหลิงในครั้งนั้น ในการต่อสู้เพื่อแย่งความเป็นที่หนึ่ง โม่เทียนหลิงพ่ายแพ้ต่อซูอี้อย่างราบคาบ!
เวลาผ่านพ้นทุกอย่างเปลี่ยนไป เพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
โม่เทียนหลิงยังคงเป็นเพียงแค่นายทหารคนหนึ่งเท่านั้น ทว่าซูอี้กลับได้ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่องค์ชายหก!
โม่เทียนหลิงไหนเลยจะไม่รู้ว่าตนเองถูกซูอี้ทิ้งท้ายไปไกลตั้งนานแล้ว?
เวลาที่คู่ต่อสู้แข็งแกร่งจนกระทั่งตนเองมองเห็นเพียงแค่ฝุ่นตลบตามหลัง จึงสามารถเข้าใจได้ถึงความขมขื่นและผิดหวังเช่นนั้นได้!
เพียงแต่ว่า ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของโม่เทียนหลิง
ซูอี้ไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นผู้ที่เคยพ่ายแพ้ให้กับตัวเองคนนี้
สำหรับผู้ที่ไม่มีความสำคัญเหล่านั้น เขาเองก็ขี้เกียจจะให้ความสนใจเช่นกัน