บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 211 ทรยศ
ตอนที่ 211: ทรยศ
บนยอดเขาประจิม
ทะเลหมอกม้วนตัวต้นสนส่ายไหว
ในพื้นที่เปิดโล่งมีโต๊ะและที่นั่งสองแถวหันเข้าหากัน
เจ้าแคว้นกุ่นเซี่ยงเทียนชิว และผู้นำของสามตระกูลชั้นนำแห่งมหานครกุ่นโจว จ้าว ไป๋ และอวี๋ มาถึงแล้วและกำลังสนทนากันอย่างชื่นมื่น
ไม่ใช่คำกล่าวเกินจริงนักหากจะบอกว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ ณ ที่นี้มีอำนาจเพียงพอจะสั่นคลอนแคว้นกุ่นได้ถึงสามครั้งเพียงการกระทืบเท้าครั้งเดียว
อวี๋ไป๋ถิงสังเกตเห็นว่ามีบุคคลอยู่สองที่เขาไม่คุ้นหน้าซึ่งกำลังนั่งอยู่ทางด้านข้างของเซี่ยงเทียนชิว
หนึ่งคือชายชราที่มีผมสีขาวและรูปร่างหน้าตาธรรมดาสามัญไม่มีสิ่งใดโดดเด่น สวมเสื้อคลุมปักลายสายลมและเปลวเพลิง กิริยาท่าทางเต็มไปด้วยความเงียบสงบ
อีกผู้หนึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่หล่อเหลาถือพัดขนนกอยู่ในมือ เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของเขาพิถีพิถันอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางบุคลิกของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความสง่างามและสูงศักดิ์
เซี่ยงเทียนชิวไม่ได้แนะนำตัวตนของทั้งสอง แต่อวี๋ไป๋ถิงพอจะเดาได้คร่าว ๆ ว่าต้นกำเนิดของทั้งสองย่อมไม่ใช่ธรรมดา
อันที่จริงมีโอกาสมากที่คนทั้งคู่จะเป็นไพ่ตายซึ่งเซี่ยงเทียนชิวเก็บซ่อนไว้!
“เซี่ยงเทียนชิวจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ ไม่มีทางเป็นผู้เดียวที่มีไพ่ตายได้”
อวี๋ไป๋ถิงกล่าวอย่างลับ ๆ
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นมีเสียงกลองดังมาจากเชิงเขา ตามมาด้วยเสียงตะโกนดังก้อง
“ฝ่าบาทอยู่ที่นี่แล้ว!”
เสียงตะโกนร้องก้องขึ้นสู่ฟ้า
เมื่อได้ยินเช่นนี้เซี่ยงเทียนชิวจึงมองไปรอบ ๆ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกท่าน เอาไว้หลังจากนี้เราค่อยมาสนทนากันต่อเถิด ขณะนี้เรามาดูสิว่าองค์ชายได้เตรียมเรื่องประหลาดใจให้แก่เราไว้กี่อย่างกัน”
จากนั้นเซี่ยงเทียนชิวชำเลืองไปยังชายชุดคลุมทองที่ด้านข้างและพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านจาง หลังจากงานเลี้ยงน้ำชานี้จบลง ท่านจะกลายเป็นเจ้าแคว้นกุ่นคนใหม่ เมื่อถึงเวลานั้นข้าหวังว่าท่านจะปฏิบัติต่อข้าอย่างดีไม่เปลี่ยนแปลง”
ชายในชุดคลุมสีทองดูสง่างาม มีเคราและผมสีดำประหนึ่งหมึก คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่คือจางหลิงอวี่ ผู้ครองตำแหน่งผู้ว่าเขตปกครองฮ่วยอันคนปัจจุบัน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขารีบประสานมือแล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เมตตาบอกข่าวดีนี้แก่ตัวข้าล่วงหน้า อันที่จริงแล้วเมื่อวานข้าได้เอ่ยสั่งให้คนใช้ตระเตรียมงานเลี้ยงในภัตตาคารเสียดฟ้าเอาไว้แล้ว รอให้เราทั้งหลายไปเสพสุขกันอย่างเต็มที่!”
ไม่นานเสียงย่ำฝีเท้าจากเชิงเขาค่อย ๆ ใกล้เข้ามา
เซี่ยงเทียนชิวและคนอื่น ๆ หยุดพูดคุยและมองหน้ากัน
ไม่นานต่อมาทุกคนต่างแลเห็นองค์ชายหกโจวจือหลี เป็นผู้นำกลุ่มคนเดินเข้ามาใกล้
“องค์ชายหก เรารอท่านมานานแล้ว โปรดเชิญมานั่งโดยเร็วเถิด!”
เซี่ยงเทียนชิวหัวเราะร่า เป็นฝ่ายริเริ่มทักทายก่อน
การแสดงออกของโจวจือหลีเปี่ยมล้นไปด้วยความงามสง่าเหมาะควรแก่การเป็นองค์ชายอย่างไม่ต้องสงสัย เขาป้องมือเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ข้าทำให้พวกท่านรอเป็นเวลานานแล้ว”
เซี่ยงเทียนชิวยิ้มอย่างเปิดเผย “องค์ชายอย่าได้เกรงใจ โปรดมานั่งลงก่อนเถิด”
โจวจือหลีพยักหน้าก่อนจะเอ่ยถามออก “ท่านจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงไม่อยู่ที่นี่หรอกหรือ?”
เขาเห็นกองทัพเกล็ดแดงประจำการอยู่ที่เชิงเขาก่อนขึ้นมา ดังนั้นจึงคิดว่าเชินจิ่วซงได้ขึ้นมาถึงยอดเขาแล้ว
เซี่ยงเทียนชิวยิ้มและพูดว่า “เมื่อคืนนี้ท่านจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงไปเยี่ยมสหายเก่าที่ตำหนักเทียนหยวน ดังนั้นเขาจึงหาได้วางแผนที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาด้วยตนเองไม่”
โจวจือหลีถอนหายใจ ไม่พูดอะไรอีก
แต่ในขณะนั้นฉางกั้วเค่อรู้สึกประหลาดใจจนเอ่ยทัก “ศิษย์พี่คัง เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่กัน?”
ไม่ไกลนัก ชายชราผมขาวที่หน้าตาดูธรรมดาสวมชุดคลุมปักลายสายลมและเปลวเพลิงพูดอย่างเฉยเมยว่า “ศิษย์น้องฉาง ศิษย์น้องชิงจิน ข้ามาที่นี่เพราะทำตามคำสั่ง”
ฉางกั้วเค่อและชิงจินมองหน้ากัน หัวใจของพวกเขาดิ่งลง
ชายชราผู้นี้ชื่อ ‘คังซานจิ่ง’ เขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบมังกรเร้น ขณะที่ฉือเฟิงหลิวรองเจ้าสำนักดาบมังกรเร้นเป็นอาจารย์ขององค์ชายสาม
จึงพูดได้ว่า การที่คังซานจิ่งมาอยู่ที่นี่ เป็นเพราะต้องการสนับสนุนองค์ชายสาม!
ฉางกั้วเค่อย่อมไม่ลืมว่าไม่นานมานี้ยามอยู่กลางป่า เขาถูกไล่ล่าสังหารโดยสามปรมาจารย์ซึ่งเป็นคนขององค์ชายสาม
ในเวลานี้คังซานจิ่งมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ โดยไม่ต้องคิดให้มากความ อีกฝ่ายคงได้รับคำสั่งมาให้ช่วยเซี่ยงเทียนชิวและคนอื่น ๆ!
ผู้คนขององค์ชายสามปรากฏตัวในกลุ่มคนขององค์ชายรอง ภาพฉากนี้อธิบายได้ง่ายมากว่าองค์ชายทั้งสองได้บรรลุความสัมพันธ์แบบพันธมิตรแล้ว
โจวจือหลีลอบพ่นลมหายใจดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักคังซานจิ่ง แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายมาจากสำนักดาบมังกรเร้นเช่นกัน!
“เหล่าพี่ชายข้านี่ช่างเจ้าเล่ห์นัก” โจวจือหลีลอบถอนหายใจ
เซี่ยงเทียนชิวยิ้ม ปากเอ่ยวาจา “ขออภัยทุกท่านแล้ว เซี่ยงผู้นี้เผลอเรอไม่ได้แนะนำผู้ยิ่งใหญ่ที่มากับข้าด้วย”
หลังจากพูดจบเขาก็แนะนำชายชราที่อยู่ด้านข้างให้ผู้คนรอบตัวเขา “ทุกท่าน ท่านผู้นี้คือปรมาจารย์แห่งสำนักดาบมังกรเร้น บุรุษผู้องอาจคังซานจิ่งปรมาจารย์ขั้นสาม ผู้บ่มเพาะที่แท้จริงแห่งโลกหล้า!”
อวี๋ไป๋ถิงตกใจและถอนหายใจอย่างลับ ๆ ใครจะคิดว่างานเลี้ยงน้ำชานี้สำนักดาบมังกรเร้นจะส่งคนมาร่วมด้วย?
จ้าวฉิง ผู้นำตระกูลจ้าว ไป๋ฮั่นไห่ ผู้นำตระกูลไป๋ และจางหลิงอวี่ ผู้ว่าเขตปกครองฮ่วยอันก็ตกใจเช่นกัน สายตาที่พวกเขามองคังซานจิ่งเริ่มเปลี่ยนไป
มีเพียงชายวัยกลางคนหล่อเหลาที่ถือพัดขนนกเท่านั้นที่มีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเช่นเคย ราวกับว่าเขารู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว
ในทางกลับกัน โจวจือหลี เจิ้งเทียนเหอ มู่จงถิง และคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่คิดเลยว่าคังซานจิ่งจะปรากฏตัวที่นี่
ฉาจิ่นรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
นางเป็นศิษย์ของสำนักวงเดือนแห่งต้าเว่ย ในสถานการณ์เช่นนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่นางจะต้องกังวลว่าตัวตนของนางจะถูกค้นพบ
อย่างไรก็ตาม ฉาจิ่นเห็นได้ชัดว่าคิดมากเกินไป
แม้ว่าทุกคนโดยรอบจะทึ่งในความงามของนาง แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก
มีเพียงซูอี้เท่านั้นที่ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลยและเมินเฉยอย่างสิ้นเชิง
คนเหล่านี้ที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดอาจมีอำนาจมหาศาลในโลกสามัญ
แต่สำหรับเขาแล้ว คนเหล่านี้เป็นเพียงตัวตนเล็กจ้อยหาได้ต้องให้ความสำคัญใด ๆ ไม่
“ฝ่าบาท โปรดนั่งลงก่อนเถิด”
เซี่ยงเทียนชิวเชิญชวนอย่างอบอุ่น
โจวจือหลีพยักหน้าและนั่งบนที่นั่งซึ่งหันไปทางทิศตะวันออก
ฉางกั้วเค่อและเจิ้งเทียนเหอต่างก็นั่งลงทีละคน
ซูอี้มองไปรอบ ๆ ตัวเอง เลือกตำแหน่งใกล้หน้าผาก่อนจะกล่าวว่า “วางเก้าอี้หวายไว้ที่นั่น”
ฉาจิ่นได้ยินคำพูดนั้นและรีบทำ
จากนั้นภายใต้การจ้องมองที่ประหลาดใจของทุกคน ซูอี้เอนกายไปกับเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน
จากมุมของเขา การได้เห็นทะเลหมอกม้วนตัวไปมาในแสงยามเช้านั้นงดงามและน่าสนใจกว่าตัวตนที่อยู่รอบข้างอย่างเทียบกันไม่ได้
สำหรับการจ้องมองโดยเหล่าผู้คนที่อยู่ใกล้เคียง ซูอี้เพิกเฉยโดยสิ้นเชิง
ผู้ที่เคยสยบเก้ามหาแดนดินมาแล้วเช่นเขาจะให้ความสนใจกับการจ้องมองจากตัวตนเล็กจ้อยเหล่านี้ได้อย่างไร?
รับชมเช่นนี้ โจวจือหลี เจิ้งเทียนเหอ และคนอื่น ๆ ต่างแสดงสีหน้าแปลกประหลาด กิริยาที่ดูเกียจคร้านของคุณชายซูนั้นประหนึ่งคล้ายมาพักผ่อนชมหมอกเมฆก็ไม่ผิด…
แต่ทว่าภาพนี้ทำให้หัวใจของพวกเขาผ่อนคลายอย่างอธิบายไม่ถูก
ราวกับว่ายิ่งซูอี้แสดงออกถึงความเกียจคร้านมากเท่าใด นั่นก็ยิ่งสามารถบอกได้ว่าซูอี้เต็มไปด้วยความมั่นใจมากเท่านั้น
แต่ในสายตาของเซี่ยงเทียนชิวและคนอื่น ๆ กิริยาของซูอี้ในขณะนี้มันเป็นเพียงความเย่อหยิ่งจนไร้เหตุผล!
อย่างไรก็ตาม พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นจิ้งจอกเฒ่ามากเล่ห์ พวกเขาย่อมสามารถเก็บสะกดข่มอารมณ์ได้เป็นอย่างดี เพียงเรื่องเท่านั้นพวกเขาจะแสดงออกว่าโกรธเคืองได้อย่างไร?
“องค์ชายหก นี่อาจเป็นคุณชายซูอี้ผู้ที่สนับสนุนท่านใช่หรือไม่?” เซี่ยงเทียนชิวถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ผิด” โจวจือหลีตอบกลับอย่างใจเย็น
เซี่ยงเทียนชิวถอนหายใจเบา ๆ “คิดไว้ไม่ผิด คุณชายซูช่างแตกต่างจากคนรุ่นเยาว์ทั้งหลายอย่างเปรียบเทียบกันมิได้”
โจวจือหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านเซี่ยง ในเมื่อทุกคนมาถึงหมดแล้ว เช่นนั้นเรามาพูดคุยเข้าเรื่องของเรากันเถอะ”
เซี่ยงเทียนชิวพยักหน้ารับคำจริงจัง “คำพูดขององค์ชายนั้นตรงกับใจของเซี่ยงผู้นี้”
จากนั้นเขาชี้ไปทางจางหลิงอวี่ผู้ว่าการเขตปกครองฮ่วยอัน ซึ่งอยู่ถัดจากตน “ฝ่าบาท นี่คือผู้ที่เราเห็นว่าเหมาะสมจะได้รับตำแหน่งเจ้าแคว้นกุ่นคนใหม่ ตราบใดที่ท่านพยักหน้า งานเลี้ยงน้ำชาของวันนี้จะจบลงด้วยความปีติยินดี”
โจวจือหลีพ่นลมหายใจเย็นชา “ข้าอยู่ที่นี่ตามรับสั่งขององค์จักรพรรดิ เสด็จพ่อมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบในการแต่งตั้งเจ้าแคว้นแก่ข้า แต่ขณะนี้พวกท่านเอ่ยว่าได้เลือกผู้ที่จะรับตำแหน่งแล้ว พวกท่านคิดจะขัดราชโองการกันอย่างนั้นหรือ?”
เซี่ยงเทียนชิวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เท่าที่เซี่ยงผู้นี้รู้ องค์จักรพรรดิยังตรัสด้วยว่าหากองค์ชายรองมีผู้สมัครที่เหมาะสม องค์ชายรองก็สามารถเสนอชื่อของคนผู้นั้นเข้าชิงตำแหน่งได้เช่นกัน จางหลิวอวี่คือผู้ที่องค์ชายรองทรงเลือกโดยพระองค์เอง เขาทั้งอยู่ในวัยที่เหมาะสมและมากล้นด้วยกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม เขาเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำหน้าที่เป็นเจ้าแคว้นกุ่นอย่างไม่ต้องสงสัย”
โจวจือหลีกล่าวอย่างเฉยเมย “แต่ในความคิดของข้า มู่จงถิงแห่งตระกูลมู่เหมาะสมที่สุดแล้ว”
ยิ่งทั้งสองถกเถียงกันมากเท่าใด บรรยากาศของงานเลี้ยงน้ำชานี้ก็ยิ่งหนักอึ้งมากเท่านั้น
มีเพียงซูอี้เท่านั้นที่ยังทำตัวราวกับไม่มีสิ่งเกิดขึ้น เขายังนอนอยู่บนเก้าอี้หวาย ดื่มและกินของว่างที่เตรียมมาโดยฉาจิ่น ชื่นชมทะเลหมอกอันกว้างใหญ่ในระยะไกลที่ส่องประกายงดงามในแสงยามเช้าอย่างสบาย ๆ
“องค์ชายหก ในเมื่อทุกอย่างเด่นชัดขนาดนี้แล้ว เซี่ยงผู้นี้ขอเอ่ยต่อท่านตามตรง ในสถานการณ์นี้ ท่านไม่มีโอกาสเลยที่จะเลือกมู่จงถิงเป็นเจ้าแคว้น”
เซี่ยงเทียนชิวจ้องที่โจวจือหลี ยิ้มหยี “อันที่จริงแล้วเซี่ยงผู้นี้ไม่ต้องการทัดทานท่านเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าข้าเองก็ไม่มีทางเลือกมากเช่นกัน ทำไมท่านไม่… ถอยให้เราสักก้าวเล่า?”
เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ แม้กระทั่งสีหน้ายังเผยออกซึ่งการดูถูกเหยียดหยามในชัยชนะ
โจวจือหลีพ่นลมอย่างเย็นชาและเอ่ยกลับ “เช่นนั้นทำไมเราถึงไม่ให้คนที่นี่ออกเสียงกันเพื่อตัดสิน?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยงเทียนชิวจางลง ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “เซี่ยงผู้นี้เคารพในพระองค์แล้ว แต่พระองค์กลับยังทำให้เซี่ยงผู้นี้ลำบากใจ เช่นนั้นเซี่ยงก็ขอสู้ตามแต่สมควรก็แล้วกัน”
โจวจือหลีเยาะเย้ย “ฮึ่ม อย่าพูดไร้สาระให้มากความ แสดงไพ่ลับของเจ้ามา ถ้าเจ้าเหนือกว่า ข้าจะยินดีถอยและไม่เอ่ยเรื่องเกี่ยวกับตำแหน่งเจ้าแคว้นกุ่นอีก!”
เซี่ยงเทียนชิวอดหัวเราะไม่ได้ “ในเมื่อฝ่าบาทเอ่ยเช่นนี้แล้ว เซี่ยงผู้นี้ขอประทานอภัยล่วงหน้า”
หลังจากพูดจบเขาก็เหลือบมองไปที่เสวียหนิงเยวี่ยนผู้นำตระกูลเสวีย และกล่าวว่า “พี่เสวียโปรดมาที่นี่เถิด”
โจวจือหลี และคนอื่น ๆ ตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน
เสวียหนิงเยวี่ยนยืนขึ้นพลางถอนหายใจ ประสานมือของเขาและพูดว่า “องค์ชายหก ไม่ใช่เพราะเสวียไม่อยากสนับสนุนท่าน แต่ในความเห็นของเสวีย จางหลิงอวี่ซึ่งได้รับเลือกจากองค์ชายรองเป็นผู้เหมาะสมที่สุดที่จะดำรงตำแหน่งเจ้าแคว้นกุ่นอย่างไม่ต้องสงสัย”
หลังจากคำพูดนี้ดังออกมา ผู้คนโดยรอบต่างเงียบงัน
กลุ่มของโจวจือหลี สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นขุ่นมัวและหดหู่ พวกเขาถูกหักหลังโดยไม่ทันตั้งตัว
ไม่มีใครคิดว่าผู้นำตระกูลเสวียจะทรยศต่อองค์ชายหกและเลือกไปเข้าฝ่ายองค์ชายรองเช่นนี้
เมื่ออวี๋ไป๋ถิงเห็นสิ่งนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเซี่ยงเทียนชิว จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ยังคงเจ้าเล่ห์ไม่เสื่อมถอย
เมื่อเห็นว่าเสวียหนิงเยวี่ยนย้ายฝ่ายแน่ชัดแล้ว โจวจือหลีกล่าวด้วยสีหน้าอันมืดมน “เสวียหนิงเยวี่ยน เจ้าเป็นถึงผู้นำตระกูล แต่ขณะนี้ทำตัวกลับกลอกไปมาตามอำเภอใจ เจ้าไม่กลัวถูกโลกเย้ยหยันบ้างเลยหรือ”
“องค์ชายหก โปรดเข้าใจเสวียผู้นี้ด้วย เสวียนั้นแบกภาระของทั้งตระกูลไว้เบื้องหลัง ดังนั้นเสวียจึงไม่อาจติดตามฝ่าบาทไปสู่ความมืดมิดได้”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เขาพูดต่อว่า “ฝ่าบาท ผู้ตระหนักรู้ถึงสถานการณ์คือผู้ฉลาด ท่านก็ได้เห็นแล้วว่าสถานการณ์ปัจจุบันท่านเสียเปรียบ เหตุใดท่านไม่ถอยออกไปก่อนเล่า?“
“ไม่เพียงเจ้าทรยศข้า แต่เจ้ากลับกล้าเกลี้ยกล่อมให้ข้าก้มหัวแล้วยอมแพ้?”
โจวจือหลีหัวเราะอย่างโกรธจัด
“ฝ่าบาท โทสะไม่อาจแก้ปัญหาใด ๆ ได้”
เสวียหนิงเยวี่ยนกล่าวพลางชี้ไปทางซูอี้ซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าผาและกล่าวด้วยความรังเกียจว่า “มีอีกสิ่งหนึ่งที่เสวียอยากจะกล่าวต่อฝ่าบาท ฝ่าบาทคิดจริง ๆ หรือว่าซูอี้ที่เย่อหยิ่งผู้นี้ จะช่วยท่านพลิกสถานการณ์ใด ๆ ได้?”