บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 212 บุตรนอกคอกผู้ถูกเปิดเผย
ตอนที่ 212: บุตรนอกคอกผู้ถูกเปิดเผย
โจวจือหลี และกลุ่มคนของเขาต่างตกตะลึง
เมื่อวานเย็นและเช้าวันนี้ เมื่อพบกับซูอี้ทั้งสองครั้ง เสวียหนิงเยวี่ยนไม่เคยแสดงกิริยาหยาบคายหรือผิดปกติใด ๆ เลย
เหตุใดเวลานี้เสวียหนิงเยวี่ยนถึงได้เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เช่นนี้?
ฉาจิ่นขมวดคิ้ว นางรู้สึกไม่สบายใจนัก
ส่วนซูอี้ เขาเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ ยังคงดื่มด่ำกับตนเองโดยสงบ
ทว่าการเพิกเฉยเช่นนี้ยิ่งทำให้เสวียหนิงเยวี่ยนกล้าหาญยิ่งขึ้น เขาถอนหายใจและส่ายหัว
“เมื่อสองสามวันก่อนตอนที่ข้าได้ผมกับคนหนุ่มผู้นี้เป็นครั้งแรก ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าคนหนุ่มผู้นี้หยิ่งผยองจนไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา และนั่นย่อมนำมาซึ่งหายนะอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”
“แต่กลับกันองค์ชายหก ท่านกลับมองไม่ออกถึงเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ และคิดว่าผลลัพธ์ของงานเลี้ยงน้ำชานี้สามารถตัดสินได้โดยชายหนุ่มที่หยิ่งผยอง มันช่างน่าขำเสียนี่กระไร”
เสวียหนิงเยวี่ยนเอ่ยถ้อยคำด้วยสีหน้าเย้ยหยันอย่างไม่ปกปิด
“พอ!”
โจวจือหลีตบโต๊ะตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าอันมืดหม่น
เซี่ยงเทียนชิวและคนอื่น ๆ อดหัวเราะไม่ได้
พระองค์ยังเด็กเกินไป แค่ได้รับความทนทุกข์ทรมานเพียงเท่านี้ก็ไม่อาจจะข่มอารมณ์ได้เสียแล้วหรือ?
เซี่ยงเทียนชิวกล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “ในเมื่อผู้นำตระกูลเสวียได้ตัดสินใจแล้ว องค์ชายหกอยากจะออกความเห็นใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่?”
โจวจือหลีกัดฟันและพูดว่า “เหตุผลเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอทำให้ข้าก้มศีรษะได้!”
เซี่ยงเทียนชิวยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “พี่คัง ข้าขอรบกวนท่านแล้ว”
ชายชราผมขาวพยักหน้า เหลือบมองฉางกั้วเค่อและชิงจินก่อนพูดอย่างเฉยเมย
“น้องฉาง ศิษย์น้องชิงจิน ก่อนข้าจะลงจากภูเขาครั้งนี้ ท่านเจ้าสำนักสั่งข้าเป็นการส่วนตัวให้มาเตือน พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เกี่ยวข้องกับข้อพิพาททางโลก”
ขณะที่พูด เขาหยิบม้วนคัมภีร์สีทองออกมาจากแขนเสื้อคลุมของตนเองและกล่าวว่า “นี่คือเจตจำนงของท่านเจ้าสำนัก พวกเจ้าทั้งสองจะเข้าใจเองเมื่อเปิดดูมัน”
เขายื่นม้วนคัมภีร์ทองคำให้
ฉางกั้วเค่อเปิดมันและเงียบไปในทันใด
“มันเป็นเจตจำนงของท่านเจ้าสำนักจริง ๆ หรือ?”
ชิงจินอดไม่ได้ที่จะถาม ใบหน้างดงามของนางผันผวนไม่อาจสงบ
ฉางกั้วเค่อพยักหน้า
เปรี้ยง!
โจวจือหลีประหนึ่งคล้ายถูกฟ้าผ่า ทั้งหัวของเขาอื้ออึงไปด้วยเสียงหึ่ง แววตาหม่นหมองอย่างชัดเจน
ฉางกั้วเค่อเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนคนสำคัญของตัวเอง เขาไม่คิดเลยว่าก่อนที่จะทันได้พึ่งพาอำนาจของฉางกั้วเค่อ อีกฝ่ายกลับถูกหยุดยั้งโดยเจตจำนงนี้!
โจวจือหลีตกตะลึงและหลงทาง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแผนการของเขาถูกมองออกจนหมดสิ้น ไม่เช่นนั้นไพ่ลับต่าง ๆ ที่เตรียมมาคงไม่ถูกสะกดข่มตามลำดับอย่างง่ายดายเช่นนี้!
เจิ้งเทียนเหอตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติเช่นกัน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนแปร
เสวียหนิงเยวี่ยนทรยศ!
ฉางกั้วเค่อและชิงจินรับคำสั่งให้ไม่ให้ยุ่งเกี่ยว!
ใครบ้างที่ไม่ตกใจกับการโจมตีต่อเนื่องนี้?
ฉาจิ่นอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้จากระยะไกล นางนึกถึงความคิดเห็นของซูอี้เมื่อวานนี้ โจวจือหลีอ่อนโยนเกินไป เขาไม่มีทางทันเล่ห์เหลี่ยมของจิ้งจอกเฒ่าเหล่านี้ ดังนั้นเขาจะแพ้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ฉาจิ่นยังจำคำที่ซูอี้พูดถัดไปได้ ซูอี้ได้เอ่ยเอาไว้ว่าหากมีเขาอยู่ในงานเลี้ยงน้ำชานี้ ต่อให้โจวจือหลีอยากจะแพ้ก็ยังยาก!
“มีอะไรอีกก็รีบเผยมา!”
โจวจือหลีกัดฟันและเอ่ยออก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยโทสะและความเกลียดชัง อารมณ์ของเขาดูเหมือนจะควบคุมไม่ได้
แลเห็นเขาเป็นแบบนี้ เซี่ยงเทียนชิว และคนอื่น ๆ ก็หัวเราะเบา ๆ และส่ายหัว
องค์ชายหกเป็นคนใจร้อนและไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
ต้องขอบคุณความจริงที่ว่าพวกเขาเตรียมการมาอย่างพร้อมสรรพ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ได้เห็นภาพที่น่าขันขององค์ชายหกผู้นี้
“ผู้นำตระกูลเจิ้ง องค์ชายรองฝากคำถามประโยคหนึ่งผ่านข้ามาถามท่าน”
เซี่ยงเทียนชิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เจิ้งเทียนเหอสะดุ้งโหยง ตาเขาแล้วงั้นหรือ?
“ว่ามา!” เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยออกอย่างเย็นชา
เซี่ยงเทียนชิวมองเจิ้งเทียนชิว กล่าวว่า “องค์ชายรองฝากข้าถามท่านว่า ก่อนหน้านี้องค์จักรพรรดิได้สั่งห้ามไม่ให้พระญาติต่างสกุลเข้ามายุ่งเกี่ยวกับธุระของราชสำนัก และยิ่งโดยเฉพาะการแทรกแซงข้อพิพาทของราชวงศ์! เจ้า เจิ้งเทียนเหอลืมไปแล้วงั้นหรือ!”
เสียงของเขาทั้งรุนแรงและข่มขู่
เจิ้งเทียนเหอตัวสั่นไปทั้งตัว เหงื่อเย็นผุดออกจากหน้าผาก
ว่ากันตามจริงแล้วเขาเป็นญาติห่าง ๆ ขององค์ชายหกไม่ใช่ญาติที่แท้จริงซะด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในต้าโจวจะมีกฎข้อห้ามเช่นนี้จริง ทว่าบรรดาญาติต่างสกุลที่เกี่ยวข้องกับเหล่าองค์ชายต่างก็สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวเรื่องราวของราชวงศ์กันอย่างลับ ๆ กันทั้งนั้น
จักรพรรดิโจวในปัจจุบันตระหนักดีถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่เขาปิดตาข้างหนึ่งอยู่เสมอ
แต่ถ้าเรื่องราววันนี้ตกอยู่ในความสนใจของผู้คนมากเกินไป องค์จักรพรรดิก็ไม่อาจจะปิดตาข้างหนึ่งได้อีกแล้ว
ตราบใดที่องค์ชายรองไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิและนำเรื่องนี้ไปกราบทูลด้วยตัวเอง เจิ้งเทียนเหอ รวมไปถึงทั้งตระกูลเจิ้งจะถูกอาญาแผ่นดินอย่างไม่ต้องสงสัย!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เจิ้งเทียนเหอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนกและขมขื่นในเวลาเดียวกัน
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะใช้ข้ออ้างของ ‘พระญาติต่างสกุล’ มาขัดขวางเช่นนี้
เซี่ยงเทียนชิวมองย้อนกลับไปที่โจวจือหลีและกล่าวออกด้วยสีหน้าเวทนา “ฝ่าบาท ท่านคงไม่ต้องการให้ผู้นำตระกูลเจิ้งต้องทนทุกข์เพื่อท่านใช่หรือไม่?”
ใบหน้าของโจวจือหลียิ่งมืดหม่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขารู้สึกทั้งอัปยศและขุ่นเคืองจนไม่อาจบรรยายได้
“ฝ่าบาท ท่านอยากจะได้ยินคำชี้แนะจากใจของเซี่ยงผู้นี้หรือไม่?”
เซี่ยงเทียนชิวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เมื่อเห็นว่าโจวจือหลีหม่นหมองจนไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเอ่ยตอบ เซี่ยงเทียนชิวจึงถอนหายใจเบา “ฝ่าบาท ด้วยนิสัยของท่านแล้ว ท่านไม่เหมาะกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับการที่ท่านมีคู่ต่อสู้เป็นองค์ชายรอง เซี่ยงผู้นี้ขอแนะนำให้ท่านยอมจำนนต่อเรื่องนี้ และกลับคืนสู่นครหลวงอวี้จิงในทันที มันย่อมดีต่อตัวท่านที่สุดหากนับจากนี้ท่านกลับไปใช้ชีวิตเยี่ยงคุณชายผู้สำราญและไม่แยแสต่อเรื่องทางโลกอีกต่อไป”
แก้มของโจวจือหลีกระตุกอย่างรุนแรงก่อนจะทุบโต๊ะที่ตรงหน้าด้วยกำปั้น ดวงตาของเขาเป็นสีแดง เอ่ยคำอย่างชัดเจน “หากข้าไม่ยินยอมแต่งตั้ง พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้!?”
“ฝ่าบาทมองไม่เห็นสถานการณ์ปัจจุบันจริง ๆ หรือ? หรือมันเป็นอย่างที่ผู้นำตระกูลเสวียพูดจริง ๆ ที่ท่านคิดว่าซูอี้จะสามารถช่วยท่านพลิกกระแสน้ำได้?”
เซี่ยงเทียนชิวหัวเราะ
“หากใช่แล้วจะทำไม!” โจวจือหลีกัดฟัน
อันที่จริง ภายใต้การโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า หัวใจของเขาจวนเจียนจะพังทลาย ขณะนี้ที่เขายังดำรงอยู่ได้เป็นเพราะยังเหลือความหวังอีกหนึ่งอย่าง
แต่ทว่าเขาก็ยังเกิดความสงสัยเช่นกัน แม้ซูอี้จะออกหน้าให้ขณะนี้มันจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายพอหรือเปล่า
“ในเมื่อฝ่าบาทยังดึงดันเช่นนี้ ข้าขอประทานอภัยที่จำเป็นต้องขจัดความคิดต่อต้านของท่านให้หมดสิ้น!”
เซี่ยงเทียนชิวกล่าวก่อนจะเหลือบมองชายวัยกลางคนที่หล่อเหลาถือพัดขนนกซึ่งอยู่ด้านข้าง แล้วพูดด้วยเสียงหัวเราะร่า
“ทุกท่าน ข้า… ขอแนะนำพวกท่านได้รู้จักกับสหายเยว่จางหยวน ขณะนี้เขารับหน้าที่เป็นผู้ตรวจการของตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง เป็นที่รู้จักกันในนาม ‘ปรมาจารย์ดาบหน้าหยก’
“สหายเยว่หาใช่ธรรมดาไม่ ขณะนี้เขาคือปรมาจารย์ขั้นสอง เมื่อสิบสามปีที่แล้วเขาอยู่ในอันดับที่สองแห่งงานประลองชุมนุมยุทธ์ฤดูใบไม้ผลิแห่งต้าโจว อีกทั้งองค์จักรพรรดิยังเอ่ยปากชมเขาด้วยตัวพระองค์เอง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ผู้คนทั้งหมดตกตะลึง
ตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง!
นั่นคือตระกูลยักษ์ใหญ่ที่อยู่บนสุดแห่งดินแดนต้าโจว เป็นรองแค่เพียงราชวงศ์เท่านั้น อำนาจอิทธิพลของตระกูลซูสามารถส่งผลต่อสถานการณ์ของราชวงศ์ต้าโจวได้อย่างง่ายดาย
และถึงแม้ว่าเยว่จางหยวนจะไม่ใช่สมาชิกของตระกูลซู แต่การที่เขาได้รับหน้าที่เป็นผู้ตรวจการของตระกูลซูเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้แน่นอนว่าอนาคตของเขาย่อมรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง ใครกล้าที่จะดูถูกเขา?
ในเวลานี้โจวจือหลีผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความอับอายและความคับข้องใจอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง ตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงเข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างไร?
ตระกูลซู?
ทันใดนั้นโจวจือหลีก็นึกขึ้นได้และหันไปมองที่ซูอี้
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในที่นี้ทั้งหมดต่างก็หันความสนใจไปที่ซูอี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลเช่นกัน
ทุกคนต่างดูประหลาดใจ
แม้แต่ฉาจิ่นก็ตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง แซ่ของซูอี้คือซูเช่นกัน…
บรรยากาศโดยรอบขณะนี้เปลี่ยนเป็นเงียบงันจนน่าขนลุก
ในที่สุด ซูอี้ซึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้หวายก็เริ่มมีปฏิกิริยา เขาหันศีรษะมาเล็กน้อย มองไปยังชายวัยกลางคนที่หล่อเหลาซึ่งถือพัดขนนก และพูดอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าอยู่ที่นี่เพื่อข้าเช่นนั้นหรือ?”
เยว่จางหยวนนั่งอยู่ที่นั่น โบกพัดขนนกพลางถอนหายใจยาว “นายน้อยสาม ถ้าองค์ชายรองไม่ได้ส่งใครสักคนไปหาตระกูลซูของเราเป็นการส่วนตัวเพื่อสอบถามข่าวคราว เราคงไม่เชื่อแน่ว่าท่านได้เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ในช่วงระยะเวลาเพียงหนึ่งปี”
นายน้อยสาม!?
ยกเว้นเซี่ยงเทียนชิว ทุกคนในกลุ่มผู้ชมแทบไม่เชื่อหูของพวกเขา ทุกคนยืนตะลึง
โจวจือหลีแทบจะตบหน้าผากตัวเองเมื่อเพิ่งตระหนักได้ว่าซูอี้ มีแซ่เดียวกับตระกูลซู! ทำไมเขาถึงไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายเกี่ยวข้องกับตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงเช่นนี้!
เจิ้งเทียนเหอ มู่จงถิง และฉางกั้วเค่อต่างประหลาดใจ
นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ
ท้ายที่สุดใครจะคิดว่าสมาชิกของตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงจะสามารถกลายเป็นศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งของสำนักดาบชิงเหอได้? แล้วเช่นนี้เขากลับกลายเป็นเขยแต่งเข้าบ้านของเมืองห่างไกลได้อย่างไร?
“นี่…”
อวี๋ไป๋ถิงสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง นายน้อยสามของตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิง? ด้วยสถานะเช่นนี้ไม่แปลกเลยที่เด็กคนนี้จะไม่แยแสต่อตระกูลอวี๋ของเขา
แม้แต่ฉาจิ่นก็ยังตกตะลึง
นางคิดว่านางรู้จักซูอี้ดีที่สุด แต่ตอนนี้นางได้รู้แล้วว่าสิ่งที่นางรู้มาทั้งหมดเป็นเพียงส่วนยอดเล็ก ๆ ของภูเขาน้ำแข็ง
เมื่อเห็นการแสดงออกที่น่าตกใจของทุกคน เซี่ยงเทียนชิวก็ส่ายหัวและหัวเราะ
“ทุกท่านอย่าได้ตื่นตระหนก แม้เป็นความจริงที่ซูอี้ผู้นี้เป็นนายน้อยสามของตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิง แต่สถานะของเขาในตระกูลหาได้สำคัญไม่ เขาไม่ต่างอะไรกับหนอนที่น่าสงสารที่สุดในตระกูลซูเสียด้วยซ้ำ!”
หนอนที่น่าสงสาร?
ทุกคนเริ่มงงและสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ
“หรือหากจะให้เอ่ยตามตรงก็คือ สิ่งที่เกี่ยวกับนายน้อยสามผู้นี้ถือเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวงต่อตระกูลซูของเรา และเรื่องราวนี้ถูกเก็บซ่อนไว้ภายในตระกูลจนแทบไม่มีใครรู้เกี่ยวกับเขาเลย”
เยว่จางหยวนถอนหายใจ “อันที่จริงแล้ว เยว่ผู้นี้ไม่อยากจะเอ่ยเรื่องน่าละอายเหล่านี้ของตระกูลซูเราให้ผู้อื่นทราบ แต่ด้วยสถานการณ์อันบีบบังคับข้าจึงจำเป็นต้องเอ่ยออกแก้ไขความเข้าใจของทุกท่านเสียใหม่”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟัง
ซูอี้มองอีกฝ่ายอย่างเฉยเมยและสงบ
เขาไม่ต้องการที่จะให้อีกฝ่ายหยุด แต่เขากลับอยากจะรู้เช่นกันว่าขณะนี้ตระกูลซูมองเขาเป็นเช่นไรหลังจากหลายปีที่ผ่านไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ เยว่จางหยวนโบกพัดขนนกของเขาอย่างสำราญใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบิกบาน
“ข้าจะเอ่ยอธิบายสั้น ๆ ให้พวกท่านได้เข้าใจกันอย่างง่ายดาย ในตระกูลซูของเรา ชื่อของซูอี้เป็นสิ่งต้องห้ามและไม่มีใครต้องการพูดถึง คนส่วนใหญ่ของตระกูลล้วนไม่อยากมีเขาดำรงอยู่ร่วมตระกูลเดียวกัน”
สีหน้าของทุกคนกลายเป็นตะลึงค้าง
อวี๋ไป๋ถิงซึ่งเดิมทีหัวใจของเขาสั่นเทา แต่เมื่อได้ยินคำอธิบายนี้หัวใจของเขาผ่อนคลายลงอย่างมาก และมองดูซูอี้ด้วยท่าทางเหยียดหยาม
ปรากฏว่า… ไอ้เด็กผู้นี้เป็นตัวตนที่ไม่น่ายินดีต่อตระกูลซู
“นายท่านของข้าขนานนามให้เขาเป็นบุตรนอกคอก หากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือด เขาคงจะสังหารบุตรที่ต่ำช้าผู้นี้ไปนานแล้ว”
เยว่จางหยวนถอนหายใจ “ส่วนสาเหตุที่เรื่องราวเป็นเช่นนี้เพราะเหตุใดนั้นมันเกี่ยวข้องกับเรื่องราวส่วนตัวในอดีตของผู้นำตระกูลข้า ข้าจึงไม่อาจเอ่ยถึงมันได้”
“แต่เรื่องสำคัญที่พวกท่านต้องจำไว้นั้นก็คือ แม้ซูอี้จะเป็นคนของตระกูลซูจริง แต่ถ้าหากเขาตกตายในวันนี้ก็ไม่มีผู้ใดในตระกูลซูของเราสนใจ!”
ในตอนท้ายเสียงของเยว่จางหยวนกลายเป็นไม่แยแสและเย็นชา
อวี๋ไป๋ถิงและคนอื่น ๆ ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ สายตาของพวกเขามองไปทางซูอี้เปลี่ยนไป มีร่องรอยของการดูถูกและเหยียดหยามฉายชัด
ปรากฏว่าเด็กคนนี้เป็นหนอนไร้ค่าที่ถูกทอดทิ้งโดยตระกูลซู!