บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 213 นิ้วประหนึ่งดาบ แยกร่างศัตรูออกเป็นสอง
ตอนที่ 213: นิ้วประหนึ่งดาบ แยกร่างศัตรูออกเป็นสอง
บรรยากาศที่ยอดเขาประจิมขณะนี้มืดมัวและหนักอึ้ง
ในสายตาของเซี่ยงเทียนชิวและคนอื่น ๆ คำพูดของเยว่จางหยวนเปิดเผยภูมิหลังเก่าของซูอี้อย่างสมบูรณ์
แลมองหน้าซูอี้อีกครั้งขณะนี้ ท่าทีของพวกเขาต่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ทางด้านของโจวจือหลี เจิ้งเทียนเหอ และคนอื่น ๆ เมื่อได้รู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ พวกเขาต่างตกตะลึง
ตอนนี้พวกเขาได้รู้แล้วซูอี้คือนายน้อยสามแห่งตระกูลซู แต่สถานะในตระกูลกลับต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าสุนัข!
มีเพียงฉาจิ่นเท่านั้นที่เริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ
เดิมทีนางคิดว่าการที่ซูอี้เลิศล้ำขนาดนี้เป็นเพราะน่าจะเกี่ยวข้องกับตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิง
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่!
และนี่ก็หมายความว่าต้องมีความลับอย่างอื่นอีกเกี่ยวกับซูอี้ซึ่งในตอนนี้ยังไม่มีใครทั้งนั้นที่ล่วงรู้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉาจิ่นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย นายท่านซูอี้ของข้าผู้นี้มีความลับซ่อนอยู่ในตัวท่านกี่อย่างกันแน่?
แต่ทว่าแม้จะถูกสายตาจ้องมองอย่างเย้ยหยัน สีหน้าของซูอี้กลับยังคงเฉยชาเช่นเดิม และแม้แต่ท่าทางที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้หวายก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
เขาแค่ถอนหายใจเบา ๆ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากปลุกความทรงจำในอดีตชาติของข้า ข้ายังมีความหมกมุ่นอยู่ในใจ เต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิง
ปรากฏว่า… ในสายตาพวกเขา ข้าคือตัวตนแห่งความอัปยศ…
เอาเถิด หลังจากนี้ข้าจะไปที่นครหลวงอวี้จิง บ่วงพันธะทางอารมณ์ทั้งหลายนี้จะถูกกำจัดสิ้นด้วยดาบในมือข้า!
ในส่วนลึกของรูม่านตาซูอี้ เจตนาสังหารที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นในพริบตา
เซี่ยงเทียนชิวยิ้ม มองไปที่โจวจือหลีและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ขณะนี้ไม่มีผู้ใดแล้วที่ท่านสามารถพึ่งพาได้ยกเว้นมู่จงถิง ข้าแนะนำให้ท่านถอยแต่โดยดีเถิด ไม่เช่นนั้นแล้วเราคงต้องตัดสินแพ้ชนะด้วยกำลัง!”
นับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักร ต้าโจวได้สร้างกฎหมายบังคับใช้มากมายซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหากตกลงกันด้วยวาจาไม่ได้ก็สามารถคลี่คลายข้อพิพาทโดยใช้กำลัง
แม้จะดูเหมือนป่าเถื่อนไปบ้าง แต่ในอาณาจักรที่นับถือความแข็งแกร่งเป็นหลัก การประชันว่าหมัดของผู้ใดใหญ่กว่าเป็นวิธีที่ได้ผลลัพธ์ดีและง่ายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่าสำหรับเหล่าบุคคลยิ่งใหญ่ในต้าโจวซึ่งถูกพันธนาการด้วยชื่อเสียงตระกูลหรือกองกำลังของตนเอง พวกเขาย่อมไม่ต้องการจะเสี่ยงฉีกใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยิ่งใหญ่ทัดเทียมกันหรือมากกว่าตนเอง พวกเขาจะไม่เลือกใช้กำลังหากไม่ถูกบังคับจนสุดทาง
ไม่ว่าจะอย่างไรโจวจือหลีก็เป็นองค์ชายแห่งต้าโจว เซี่ยงเทียนชิวไม่ต้องการฉีกหน้าอีกฝ่ายจนเกินไป
เซี่ยงเทียนชิวทำได้เพียงใช้กำลังกดขี่ทีละก้าว และเขาไม่ต้องการใช้กำลังจนกว่าจะถึงที่สุด
ตอนนี้ฉางกั้วเค่อและชิงจินล้วนถูกสั่งห้ามโดยเจ้าสำนักดาบมังกรเร้นแล้ว จึงไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้
เสวี่ยหนิงเยวี่ยนเลือกที่จะทรยศ
ตัวตนของเจิ้งเทียนเหอในฐานะพระญาติต่างสกุลถูกจับได้
แม้แต่ต้นกำเนิดของซูอี้ก็ถูกเปิดเผย
เมื่อมองไปทางโจวจือหลี ขณะนี้คล้ายกับว่าไม่มีใครอื่นที่ช่วยได้นอกจากมู่จงถิง!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโจวจือหลีย่อมไม่กล้าจะตัดสินทุกอย่างด้วยการใช้กำลัง!
โจวจือหลีเงียบ การแสดงออกของเขาไม่แน่ใจ
เขามองไปที่ซูอี้ด้วยความไม่ยินยอมและคับข้องใจ เช่นเดียวกับยังคงมีความหวังอันริบหรี่หลงเหลือ
เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำคว้าฟางได้
สมองส่วนเหตุผลบอกเขาว่าการยอมแพ้เป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด
แต่ท้ายที่สุดเขาปฏิเสธที่จะยอมถอย หากยอมก้มศีรษะตอนนี้ เขาจะกลายเป็นดั่งก้อนหินให้พี่ชายของเขาเหยียบย่ำก้าวไปได้ไกลมากขึ้นจนในอนาคตเขาคงไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับได้!
ดังนั้นเขาจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับซูอี้โดยรู้ว่าตัวเองไม่ควรทำ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเขาต้องเดิมพัน!
ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้พูดสิ่งใดออกไป ทันใดนั้น ซูอี้เอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หลังจากที่เจ้าได้เห็นเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยตาตนเองแล้ว เจ้าคิดได้หรือไม่ว่าเจ้าแพ้ที่ตรงไหน?”
โจวจือหลีเงียบอยู่นานก่อนจะพูดอย่างขมขื่น “ข้าพ่ายแพ้ในหลายจุดจนน่าละอายนัก มันเป็นความผิดของข้าเองที่คิดว่าทุกสิ่งจะจัดการได้อย่างเรียบง่าย…”
ซูอี้ส่ายหัวและพูดแทรก “ผิด เจ้าอ่อนแอต่างหากจึงพ่ายแพ้!”
หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย เหลือบมองไปยังผู้คนที่นั่งอยู่และยิ้มอย่างเย้ยหยันก่อนจะเอ่ยว่า
“หากเจ้าแข็งแกร่งพอ เจ้าจะไม่จำเป็นเลยที่ต้องมาร่วมนั่งในงานเลี้ยงน้ำชาไร้สาระนี่ แค่เพียงบดขยี้หมูหมากาไก่เหล่านี้ด้วยกำลังก็เพียงพอแล้ว”
แม้สีหน้าของซูอี้จะเฉยเมย แต่น้ำเสียงและคำพูดนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยการดูถูกราวกับผู้คนที่นั่งอยู่มีค่าไม่ต่างอะไรกับมดแมลง
วาจาและท่าทางที่เย่อหยิ่งนี้ทำให้เซี่ยงเทียนชิว และคนอื่น ๆ โกรธจนหน้าแดง ไอ้เด็กผู้นี้มันมองพวกเขาเป็นแบบไหนกัน?
ด้วยอำนาจของพวกเขาในขณะนี้ แค่กระทืบเท้าเพียงครั้งเดียวแคว้นกุ่นก็สะเทือนได้แล้วถึงสามครั้งสามครา!
เมื่อไรกันที่พวกเขาถูกคนอื่นมองว่าเป็นหมูหมากาไก่?
มีเพียงฉาจิ่นเท่านั้นที่ดวงตาเปล่งประกาย รู้สึกตื่นเต้น ในที่สุดนายท่านก็จะลงมือแล้ว!
“นายน้อยสาม ข้าได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เพียงแต่ฟื้นฟูการบ่มเพาะได้แล้ว แต่ยังมีการกล่าวอีกว่าเจ้ามีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับปรมาจารย์ทั้ง ๆ ที่เจ้าอยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณ แต่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าด้วยความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้เจ้าจะสามารถจองหองไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาได้?”
เยว่จางหยวนพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาพลางลุกขึ้นยืนในทันที ชี้ไปที่ซูอี้ด้วยพัดขนนกในมือก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “จงอย่าได้ลืมว่าท่านผู้นำตระกูลเคยเอ่ยสิ่งใดไว้ หากเจ้ากล้ากระทำการสิ่งใดในนามของตระกูลซู โทษที่เจ้าจะต้องเผชิญคือความตาย!”
เซี่ยงเทียนชิวและคนอื่น ๆ ตกตะลึง ผู้นำตระกูลซูเกลียดชังลูกชายคนนี้มากเพียงใดกันถึงสามารถสั่งการได้อย่างโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้?
อย่างไรก็ตาม ประโยคนี้ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้น
พวกเขาทั้งหมดรู้ข่าวเกี่ยวกับซูอี้ พวกเขารู้ว่าแม้ซูอี้ยังเยาว์วัย แต่แท้จริงแล้วเขามีพลังมหาศาล
แต่ตอนนี้ด้วยคำพูดของผู้นำตระกูลซู ตราบใดที่ซูอี้สอดมือเข้ามา มันก็เท่ากับการไม่เชื่อฟังคำสั่งของตระกูลซูโดยตรง ซึ่งผลลัพธ์นั้นจะทำให้ซูอี้ถูกกำหนดให้ถูกฆ่าโดยตระกูลซู!
โจวจือหลีรู้สึกหนาวไปถึงสันหลัง ผู้นำตระกูลซู ซูหงหลี่เป็นผู้ที่รักษาคำพูดของเขาเสมอ หากเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้แล้ว ซูอี้ย่อมไม่กล้าสอดมือเข้ามาอย่างแน่นอน!
หรือต่อให้ซูอี้จะกล้าสอดมือ แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การปล่อยให้ซูอี้เข้าร่วมมันไม่ได้หมายความว่าซูอี้และตระกูลซูจะต้องขัดแย้งกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
“พี่ซู…” โจวจือหลีอดไม่ได้ที่จะพูด
ซูอี้ขัดจังหวะ “เจ้าคิดว่าข้ากลัวตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงงั้นหรือ?”
สีหน้าของโจวจือหลีแข็งค้าง
เห็นเช่นนี้เยว่จางหยวนก็หัวเราะด้วยโทสะ “นายน้อยสาม หากท่านผู้นำได้ยินประโยคนี้จากปากของเจ้า เขาจะต้องฉีกหนังของเจ้าออกทั้งเป็นแน่! เยว่ผู้นี้แนะนำให้เจ้ารอดูอยู่เฉย ๆ อย่างรู้ความ อย่าได้กระทำการใดที่โง่เขลา ไม่เช่นนั้นแล้ว…”
ซูอี้เบนสายตาไปมองเยว่จางหยวนและเอ่ยกลับ “แล้วอย่างไร?”
เจตนาสังหารปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยว่จางหยวน “นายน้อยสาม เจ้าต้องคิดให้ถี่ถ้วนถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา หากเจ้ากล้าทำล่ะก็…”
“หุบปาก!”
ซูอี้ขมวดคิ้วและขัดจังหวะ “คุกเข่าให้ข้าตอนนี้หรือตายจงเลือกเอา!”
แม้แต่เซี่ยงเทียนชิว หรือคนอื่น ๆ พวกเขาต่างก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ ด้วยไม่เคยคิดว่าซูอี้จะหยิ่งผยองถึงขนาดไม่ไว้หน้าผู้ตรวจการจากตระกูลซู อย่างเยว่จางหยวนเช่นนี้!
โจวจือหลีรู้สึกว่าเลือดในร่างกายสูบฉีดอย่างรุนแรง ทั้งความหงุดหงิด ความอับอาย ความกังวลและความสูญเสียที่เขารู้สึกมาก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะถูกขจัดออกไปและแทนที่ด้วยความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้
ท่าทีหยิ่งทะนงไม่กลัวผู้ใดของซูอี้ทำให้เขาตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว ไม่ว่าเขาจะชนะหรือแพ้ เขาจะสู้ก่อน!
ด้วยสีหน้าที่แน่วแน่ เขากัดฟันและพูดว่า “เจ้าคือเยว่จางหยวนใช่หรือไม่? ข้าขอประกาศเอาไว้ตรงนี้ หากวันใดหลีผู้นี้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าและผู้คนที่เกี่ยวข้องต่อเจ้าทั้งหมดได้อยู่อย่างสุขสบาย!”
คำพูดนั้นดังสนั่นเผยให้เห็นถึงความบ้าคลั่งและความแน่วแน่
ท่าทางดังกล่าวนี้ทำให้เซี่ยงเทียนชิว และคนอื่น ๆ สีหน้าแปรเปลี่ยน ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ต้องการถูกเกลียดชังโดยองค์ชายแห่งต้าโจว!
ไม่เช่นนั้นเรื่องราววันนี้พวกเขาคงคลี่คลายด้วยการใช้กำลังเผชิญหน้าไปนานแล้ว
เยว่จางหยวนหรี่ตาก่อนจะเอ่ยถ้อยคำเยาะเย้ยถากถาง “องค์ชายหก ท่านควรจะรู้อยู่แก่ใจว่าองค์จักรพรรดิบิดาของท่านมีบุตรสืบสกุลอยู่มากมาย อีกทั้งหลายคนยังมีความสามารถที่เหนือกว่าท่าน ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าท่านจะยังมีโอกาสได้รับอำนาจมา?”
เขาหยุดชั่วคราวและพูดขึ้นต่ออย่างเย้ยหยัน “เอาแค่เพียงในเวลานี้ การต่อสู้กับองค์ชายรองท่านก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้ว”
จากนั้นเยว่จางหยวนก้าวออกไปหาซูอี้และหยุดในระยะสามเซียะตรงหน้าของชายหนุ่ม ดวงตาของเขาเย็นชาและดุดันในทันใด
“นายน้อยสาม ข้ายังให้ทางเลือกแก่เจ้า จงลงจากภูเขาลูกนี้ไปกับข้าเดี๋ยวนี้ หรือ… จะให้ข้าคร่ากุมเจ้าและนำเจ้ากลับไปตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงเพื่อกำจัด!”
สายตาของทุกคนหันไปทางซูอี้
ซูอี้ส่ายศีรษะอย่างขบขันก่อนจะหันไปทางฉาจิ่น กล่าวว่า “ดูแลเก้าอี้หวายของข้าให้ดี อย่าให้ถูกลมพัดจนตกหน้าผาไป”
ฉาจิ่นตกใจก่อนจะพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
คำพูดและการกระทำของซูอี้ทำให้เยว่จางหยวนรู้สึกราวกับว่าเขาได้รับความอัปยศอย่างมาก ใบหน้าจึงเปลี่ยนเป็นมืดหม่นทันที “นายน้อยสาม เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ… ”
แต่ก่อนที่จะทันได้พูดจบประโยค เขากลับชักดาบขึ้นก่อนแล้วและฟันเป็นแนวขวาง
ชิ้ง!
ราวกับมีน้ำตกสีขาวสว่างไสวปรากฏขึ้นกลางอากาศ ใบดาบอันวาววับถูกห่อหุ้มด้วยปราณดาบอันน่าสะพรึงกลัว อากาศโดยรอบถูกฉีกออกเป็นริ้วอย่างน่าสยดสยอง
พื้นที่สามเซียะด้านหน้าเต็มไปด้วยพลังแห่งดาบอันคมกริบไร้ขอบเขต!
เมื่อเซี่ยงเทียนชิว และคนอื่น ๆ เห็นสิ่งนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าชื่นชม
ยามเมื่อผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงลงมือ ภาพอันน่าตื่นตาย่อมบังเกิดแก่สายตา
ดาบนี้แสดงให้เห็นถึงความลึกล้ำของ ‘มือดาบหน้าหยก’ และยังสะท้อนให้เห็นถึงภูมิหลังในความยิ่งใหญ่ของตระกูลที่ปรมาจารย์ผู้นี้ยอมรับใช้ให้อีกด้วย
“ผู้ไม่รู้จักเจียมตนย่อมตายอย่างน่าสังเวช”
ดวงตาของซูอี้ไม่แยแส เขาทำเพียงดีดนิ้ว
หากจะว่ากันตามปกติแล้ว การดีดนิ้วย่อมไม่สามารถสร้างพลังยิ่งใหญ่ใด ๆ ได้ แต่การดีดนิ้วของซูอี้ในครั้งนี้มันเปรียบดั่งค้อนยักษ์อันไร้เทียมทาน ทุบขยี้ดาบของเยว่จางหยวนอย่างอหังการ
ทันทีหลังจากนั้น เกิดการระเบิดมโหฬาร พลังดาบซึ่งครอบคลุมพื้นที่สามเซียะของเยว่จางหยวนแตกเป็นเสี่ยงและระเบิดสลายหายไปอย่างรวดเร็ว!
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ซูอี้ก้าวไปข้างหน้า เหยียดนิ้วออกประหนึ่งดาบก่อนจะวาดเฉือนไปในอากาศ
ชิ้ง!
มันรวดเร็วราวกับสายฟ้า ผู้ชมทั้งหลายมองเห็นเพียงลำแสงซึ่งผุดออกจากปลายนิ้วของซูอี้พุ่งประชิดเยว่จางหยวนอย่างฉับพลัน
เยว่จางหยวนตกใจจนใบหน้าเปลี่ยนสีในทันที
เขารู้มานานแล้ว ว่าแม้ซูอี้อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณแต่หาได้ธรรมดาไม่ อีกทั้งเขายังได้รู้จากเซี่ยงเทียนชิวว่าซูอี้เคยฆ่าปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งได้อย่างไม่ยากเย็น
ดังนั้นการโจมตีเมื่อครู่นี้ที่เขาฟาดฟันไปหาซูอี้จึงเป็นการใช้พลังในร่างเต็มสิบส่วน แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือซูอี้กลับทำลายมันได้อย่างเรียบง่ายด้วยการดีดนิ้วเพียงหนึ่งครั้ง!
มันทำให้เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีของซูอี้ขณะนี้ทำให้เขาขนหัวลุก อีกทั้งยังตัวสั่นด้วยสัญชาตญาณ
ภายใต้การถูกกระตุ้นจากสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด เขาเลือกที่จะต้านทานด้วยกำลังที่มีทั้งหมดอย่างสิ้นหวัง
“เพลงดาบวิญญาณฟ้าคำรณ!!”
ดาบยาวในมือของเยว่จางหยวนร่ายรำจนทำให้เกิดเสียงฟ้าร้อง ทั่วใบดาบเปล่งประกายสีขาวสว่างจนแสบตา และทันใดนั้นเขาก็ฟันออกอย่างสุดแรง
จากนั้น ภายใต้การจ้องมองที่ตื่นตะลึงของทุกคน พลังดาบอันรุนแรงของเยว่จางหยวนกลับถูกทำลายอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย มันคล้ายกับเต้าหู้ถูกผ่าด้วยมีดร้อน!
เคร้ง!
ทันทีหลังจากนั้น ดาบยาวอันกล้าแกร่งและเปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณแตกหักออกเป็นสองส่วน ปล่อยให้ลำแสงประหนึ่งคมดาบที่ซูอี้ปลดปล่อยออกจากปลายนิ้วฟันเข้าใส่เยว่จางหยวนที่ไร้การปกป้องอย่างอิสระ เลือดสีแดงฉานสาดกระจายไล่ลงมาจากด้านบนของศีรษะ ผ่านจมูก ริมฝีปาก กรามและหน้าอกลงไปจนสุดหว่างขาของเยว่จางหยวน
“เจ้า…” เยว่จางหยวนเบิกตากว้าง พยายามจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ทว่าพริบตาถัดไป ร่างของเขาแยกครึ่งออกเป็นสองจากหว่างกลาง ล้มลงกับพื้นด้วยเสียงดังตุ้บสองครั้งติด