บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 214 หนึ่งคมดาบแห่งลำนำสายธาร ทลายประตูแห่งสวรรค์
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 214 หนึ่งคมดาบแห่งลำนำสายธาร ทลายประตูแห่งสวรรค์
ตอนที่ 214: หนึ่งคมดาบแห่งลำนำสายธาร ทลายประตูแห่งสวรรค์
ฉาจิ่นที่เพิ่งเก็บเก้าอี้หวายอยู่ไม่ไกล เมื่อได้แลเห็นภาพการเข่นฆ่าที่โหดร้าย ร่างกายนางจึงแข็งทื่อ ดวงตางามเบิกกว้าง
นี่คือผู้ตรวจการจากตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง ก่อนหน้านี้เขามีท่าทางที่สงบเสงี่ยม ยังพูดคุยอย่างสนุกสนาน และดูเหมือนจะไม่ใช่ธรรมดา
แต่เหตุใดถึงถูกคุณชายใช้ดาบตัดเป็นสองท่อนเช่นนี้ได้ล่ะ?
เสียงหวีดหวิวของสายลมที่พัดผ่านหุบเขา นำพากลิ่นคาวเลือดโชยมา
เซี่ยงเทียนชิวกับคนอื่น ๆ ล้วนเฉื่อยชาอยู่ตรงนั้น ดวงตาพวกเขาจ้องมองร่างของเยว่จางหยวนที่ถูกตัดเป็นสองท่อนอย่างไม่อยากจะเชื่อ และเหมือนกับตื่นตกใจมากเกินไป
เขาฟันเยว่จางหยวนด้วยนิ้ว!
อานุภาพของนิ้วนั่น ช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกิน!
หากไม่มีพลังบดขยี้อย่างสมบรูณ์ จะสามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างง่าย ๆ ได้อย่างไร?
ปรมาจารย์ผู้เก่งกาจ?
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อยู่วิถียุทธ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณอย่างซูอี้ การฆ่าปรมาจารย์นั้นกลับง่ายดายราวกับบีบมดตัวหนึ่งให้ตาย!
หากเอ่ยถึงโจวจือหลี เจิ้งเทียนเหอและคนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงข้ามพวกเขาสงบลงมาก
ถึงอย่างไร พวกเขาก็เคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่ซูอี้ใช้ดาบสังหารหลิ่วหงฉี ผู้อาวุโสสายนอกสำนักวงเดือน จึงไม่แปลกใจต่อภาพเหตุการณ์เข่นฆ่าที่โหดร้ายเช่นนี้
เพียงแต่ พวกเขากลับปาดเหงื่อแทนซูอี้
แม้การตายของเยว่จางหยวนนั้นไม่มีอะไร ทว่าเขาเป็นตัวแทนแสดงทัศนคติของตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง!
ซูอี้สังหารเขาตายเช่นนี้ ตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงจะคิดอย่างไร?
ผู้นำตระกูลซูที่เด็ดเดี่ยวเย็นชาผู้นั้น จะจัดการกับญาติพี่น้องที่กระทำผิดเพื่อผดุงความยุติธรรมจริง ๆ หรือไม่?
“ความสามารถของคุณชายซู ยังทำให้พวกข้าเปิดโลกทัศน์จริง ๆ”
อวี๋ไป๋ถิงเอ่ยเสียงเย็นชาขึ้นมา ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดนี้ “ไม่รู้ว่า ทางตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงรู้เรื่องในวันนี้เข้า จะคิดอย่างไร ”
ก่อนหน้านี้ เขาก็เคยตกใจ เมื่อนึกถึง ‘เฒ่าเหวิน’ ที่ตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือซูอี้ พลันในใจเขาก็อึดอัดและเสียใจมาก
ซูอี้เหลือบมองอวี๋ไป๋ถิง “ตระกูลซูจะคิดอย่างไรข้าไม่รู้ ข้าแค่จำได้ว่า ลูกสาวเจ้ายังติดหนี้ชีวิตข้าอยู่ รอให้จัดการเรื่องนี้ให้คลี่คลายก่อน แล้วข้าจะตัดสินใจในตอนสุดท้ายเอง”
อวี๋ไป๋ถิงมีสีหน้ามืดครึ้มทันที
ทว่าอวี๋ไป๋ถิงยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด เสวียหนิงเยวี่ยนก็พ่นลมหายใจออกมา “คนหนุ่มแม้จะมีพลังแข็งแกร่งแค่ไหน แต่สุดท้ายก็มีเพียงแค่คนเดียว เยว่จางหยวนถูกเจ้าฆ่าตาย ทางตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงย่อมหมายจัดการกับเจ้า และเมื่ออยู่ในแคว้นกุ่น ข้าขอแนะนำเจ้าให้เจ้าเก็บดาบนั่นเสีย”
ซูอี้เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา “วันนี้หากเจ้ามีชีวิตออกไปจากที่นี่ได้ ข้าซูผู้นี้จะไปเด็ดหัวเจ้า”
สีหน้าของเสวียหนิงเยวี่ยนเปลี่ยนไปทันที เอ่ยด้วยความโมโห “นี่เป็นงานเลี้ยงน้ำชา เจ้ายังมีความคิดที่จะเป็นศัตรูกับพวกข้าให้ได้เลยใช่หรือไม่?”
คังซานจิ่งที่มองดูเหตุการณ์นี้อย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอด อดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมา “เจ้าหนุ่ม เมื่อได้ดีมักหลงลืมตัวกำเริบเสิบสาน หากเจ้ากล้าทำลายกฎในงานเลี้ยงน้ำชานี้ คังผู้นี้ก็จะไม่ยอมเจ้าแล้ว”
“ศิษย์พี่คัง งานเลี้ยงน้ำชาในครั้งนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้ารึ?”
ฉางกั้วเค่อเอ่ยด้วยความโมโห “หรือเจ้าลืมความประสงค์ของเจ้าสำนักที่เพิ่งเอาออกมาเมื่อครู่ไปแล้ว?”
คังซานจิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ความประสงค์ของเจ้าสำนักเขียนให้กับเจ้าและศิษย์น้องชิงจิน แต่ไม่ได้เขียนให้กับข้า”
ฉางกั้วเค่อนิ่งไปครู่หนึ่ง
เขากำลังจะเอ่ยอะไรสักอย่าง ทว่าซูอี้ที่ขมวดคิ้วก็เอ่ยขัดขึ้น “เขารนหาที่ตายเอง เหตุใดถึงต้องมาขวาง?”
ฉางกั้วเค่อตกใจ และเงียบไปในทันที
“รนหาที่ตาย? ฮ่า ๆ…”
คังซานจิ่งพันหนวดเคราและหัวเราะ ราวกับภาพที่ซูอี้สังหารเยว่จางหยวนเมื่อครู่ ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวเลยสักนิด
และในตอนนี้เอง เซี่ยงเทียนชิวก็ถอนหายใจยาวออกมา “ฝ่าบาท ดูเหมือนจะต้องใช้วิธีการต่อสู้จัดการเรื่องในวันนี้แล้วล่ะ”
สายตาโจวจือหลีมองไปที่ซูอี้ทันที
“มันควรจะเป็นเช่นนั้นแหละ”
ซูอี้เอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “อย่าได้เสียเวลาอยู่อีกเลย”
เซี่ยงเทียนชิวจ้องมองไปในส่วนลึกของซูอี้ พลางเอ่ย “หากคุณชายซูต้องการล่ะก็…”
ว่าแล้วเขาลุกขึ้นในฉับพลัน ก่อนส่งเสียงคำรามยาวออกมา “เชิญพี่ฉินมาพบกันบนยอดเขา!”
น้ำเสียงราวกับสายฟ้าฟาด ดังกังวานไปทั่วราวกับเสียงฟ้าร้อง
ณ ใต้เชิงเขา
หลังจากได้ยินเสียงเซี่ยงเทียนชิว ทุกคนที่กำลังรอข่าวคราวอยู่ ก็รู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาทันที นี่ไม่ใช่การเจรจา แต่เป็นการต่อสู้กันหรือ?
ทันใดนั้น ฝูงชนก็เกิดความวุ่นวาย ส่งเสียงร้องตกใจไปทั่ว
ทันใดนั้นชายแบกดาบคนหนึ่งกระโดดขึ้นไป ร่างของเขาสูงขึ้นสิบจั้งทันทีราวกับย่ำเท้าอยู่ในอากาศ ปลายเท้าเขาเหยียบอยู่บนผายอดเขาสูงเล็กน้อย จากนั้นร่างของเขาก็ลอยสูงขึ้นอีกสิบจั้ง
แค่อึดใจเดียวเท่านั้น เขาก็ลอยไปเหยียบอยู่บนยอดเขาประจิม!
“เป็นเขา ‘นักรบแห่งทะเลสาบมังกร’ ฉินฉางซาน ปรมาจารย์ลำดับที่ยี่สิบเจ็ด!”
ทั้งสนามเสียงดังสั่นสะท้าน คึกคักเจี๊ยวจ๊าวอย่างที่สุด
นักรบแห่งทะเลสาบมังกร ฉินฉางซาน!
ปรมาจารย์บำเพ็ญขั้นห้า จากการฝึกดาบมาสิบเก้าปีในสถานที่หนาวยะเยือกและโหดร้าย ระดับฝีมือวิถีดาบของเขานั้น… ได้บรรลุไปจนถึงจุดสุดยอดแล้ว!
เขาทำให้ ‘ปราณดาบลำนำสายธาร’ มีชื่อเสียงขจรไปทั่วอาณาจักรต้าโจวด้วยตัวเขาเอง และได้รับการติชมจากหอสิบทิศว่าเป็น ‘หนึ่งคมดาบแห่งลำนำสายธาร ทลายประตูแห่งสวรรค์’!
ในบรรดาปรมาจารย์แข็งแกร่งของอาณาจักรต้าโจว ฉินฉางซานถูกเรียกว่าเป็นบุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว
“เจ้าแคว้นเซี่ยงเทียนชิวไม่มีเกียรติขนาดนี้เชียวรึ หากข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นองค์ชายรองส่งมาด้วยตัวเอง ถึงได้เชิญฉินฉางซานปรมาจารย์วิถีดาบมาได้”
ฮวาเหยียนพึมพัมเสียงเบา
“มิน่าล่ะ หอสิบทิศถึงคิดว่า องค์ชายหกต้องพ่ายแพ้ในครั้งนี้ เพราะมีฉินฉางซานลงมือ ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถกวาดล้างกลุ่มเหล่านี้ได้”
อิงป๋อถอนหายใจออกมา
ปรมาจารย์ขั้นห้า หนึ่งขั้นแข็งแกร่งกว่าอีกหนึ่งขั้น
ภายในอาณาเขตแคว้นกุ่น ปรมาจารย์ขั้นหนึ่ง ขั้นสองเรียกได้ว่าเป็นผู้นำระดับสูงที่ยืนอยู่บนยอดดูแคลนคนนับหมื่น
ปรมาจารย์บำเพ็ญขั้นสาม ก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้าแคว้นอย่างเซี่ยงเทียนชิวนอบน้อมลงสามส่วน ไม่มีใครกล้าที่จะไม่เคารพ
และฉินฉางซาน เป็นถึงปรมาจารย์ขั้นห้า!
และยังเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาปรมาจารย์ขั้นห้า ที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือใคร เมื่อครึ่งปีก่อน เขาได้กระโดดขึ้นไปสู่ลำดับที่ยี่สิบเจ็ดในรายนามปรมาจารย์แห่งต้าโจว
มีปรมาจารย์มากมายในโลกใบนี้ โดยทั่วไปแล้ว หากสามารถถีบตัวเองขึ้นไปสู่สามสิบอันดับแรกได้ ก็เพียงพอที่จะเป็นตัวแทนปรมาจารย์สามสิบคนแรกที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรต้าโจว!
ด้วยเหตุนี้ สามารถมองเห็นความน่ากลัวของฉินฉางซานได้
เมื่อเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ฮวาเหยียนก็เอ่ยเสียงเบา “หากเขาแพ้ให้กับคนพวกนี้ ก็ยังมีเกียรติอยู่ อย่าลืมว่า ซูอี้เพียงอยู่วิถียุทธ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณ และปีนี้เพิ่งจะอายุได้สิบเจ็ดปี แม้ว่าวันนี้จะพ่ายแพ้ แต่ความสำเร็จต่อจากนี้ของเขา ต้องอยู่เหนือกว่าฉินฉางซานแน่”
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าก็มิได้หมายความแบบนั้น หากต้องปะทะฝีมือกับฉินฉางซานจริง ๆ นางก็คงมองซูอี้ในแง่ดีไม่ได้
“คำพูดของคุณหนูมีเหตุผล” อิงป๋อก็คิดแบบเดียวกัน
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…”
อีกด้านหนึ่ง หยวนอู่ทงขมวดคิ้ว บุคคลทะเยอทะยานเช่นเขา ก็เคยได้ยินชื่อเสียงลือนามของฉินฉางซานมาบ้าง
หากไม่เอ่ยอย่างเยินยอล่ะก็ เมื่อเขาเผชิญหน้ากับฉินฉางซาน ก็ต้องก้มหัวให้ และไม่กล้าที่จะไม่คารวะอีกฝ่าย
ผู้ที่บรรลุเข้าใจก็เป็นครูได้
การมีอยู่ของปรมาจารย์ขั้นห้า คือการมีอยู่สูงสุดเกือบเข้าสู่บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ซึ่งมากพอที่จะปลุกปั่นไปทั่วยุทธภพ!
กับบุคคลเหล่านี้ หากอยู่ภายในอาณาเขตแคว้นกุ่น พวกเขาล้วนเป็นเจ้าผู้ปกครองเหล่าบรรดาปรมาจารย์
“แม้ปรมาจารย์ขั้นห้าจะน่ากลัว แต่คุณชายซูนั้นก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน และข้าไม่คิดว่า คุณชายซูจะจัดการกับปัญหาที่ยากนี้ไม่ได้”
หยวนลั่วซีเอ่ยด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่น
หยวนอู่ทงตกใจ อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยตัวเอง ยิ่งมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งขี้ขลาดจริง ๆ
บนยอดเขาประจิม
ภายใต้สายตาของทุกคนที่จ้องมอง ฉินฉางซานที่แบกดาบลอยขึ้นไปบนฟ้า
ร่างของเขาสูงใหญ่ จอนผมทั้งสองมีสีขาว นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
ทันทีที่ปรากฏตัวออกมา พลังหนาวเหน็บที่อยู่บนร่างก็แผ่ออกมาราวกับคมดาบก็ไม่ปาน พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แยกท้องฟ้ากว้างใหญ่ออก ทำให้เมฆหมอกที่อยู่ใกล้ ๆ แยกออกเป็นเสี่ยง ๆ
“นักรบแห่งทะเลสาบมังกร ฉินฉางซาน!”
โจวจือหลี เจิ้งเทียนเหอและคนอื่น ๆ ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
นี่สิถึงจะเป็นบุคคลที่โดดเด่นจริง ๆ!
แม้ว่าตัวตนเช่นนี้จะอยู่ภายในมหานครหลวงอวี้จิงแห่งอาณาจักรต้าโจว ก็นับเป็นตัวแปรสำคัญ และเป็นแขกผู้มีเกียรติของคนมีอำนาจมากมาย!
“พี่ฉิน สถานการณ์คับขันนัก จึงทำได้เพียงแค่รบกวนให้ท่านออกโรง”
เป็นในตอนนี้เอง เซี่ยงเทียนชิวลุกขึ้น เดินไปต้อนรับด้วยตัวเอง
นอกจากคังซานจิ่งแห่งสำนักดาบมังกรเร้นแล้ว จ้าวฉิง ผู้นำตระกูลจ้าว ไป๋ฮั่นไห่ ผู้นำตระกูลไป๋ เสวียหนิงเยวี่ยน ผู้นำตระกูลเสวีย อวี๋ไป๋ถิง ผู้นำตระกูลอวี๋และคนอื่น ๆ ก็ลุกขึ้นคารวะ
นามของคน เงาของต้นไม้*[1]
ต่อให้พวกเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ภายในแคว้นกุ่น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ขั้นห้าอย่างฉินฉางซาน กลับต้องรักษาความเคารพยำเกรงและความเกรงใจไว้!
“ที่ข้ามาในครั้งนี้ เดิมทีเป็นเพราะองค์ชายรองฝากฝังไว้ นายท่านเซี่ยงไม่ต้องเกรงใจ”
สีหน้าฉินฉางซานสงบนิ่งและอ่อนโยน
เขากวาดสายตาไปทั่วสนาม เมื่อมองเห็นศพของเยว่จางหยวนที่จมอยู่ในกองเลือด ก็อดไม่ได้ที่จะเผยแววตาแปลกใจออกมา “เยว่จางหยวน คนของตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงตายแล้วรึ?”
เซี่ยงเทียนชิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ “ก่อนหน้านี้พี่เยว่ได้ห้ามคุณชายสามแห่งตระกูลซูไม่ให้ลงมือ แต่กลับไม่นึกเลยว่า จะมาจบชีวิตที่นี่แทน”
สายตาของฉินฉางซานจ้องมองไปยังซูอี้ที่อยู่ไม่ไกลนัก มองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยชมขึ้นมา “บำเพ็ญวิถียุทธ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสามแปรสภาพ ทว่าสามารถฆ่าเยว่จางหยวนปรมาจารย์ขั้นสองได้ ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ”
“สังหารแม้กระทั่งผู้ที่ไม่สามารถโจมตีได้ ควรค่าแก่การกล่าวชื่นชมรึ?”
ซูอี้เอ่ยทันที
ฉินฉางซานตกใจ นัยน์ตาเปล่งประกายระยิบระยับ และหัวเราะขึ้นมาทันที “เจ้าหนุ่ม ข้าชอบความเย่อหยิ่งที่อยู่ในตัวเจ้ามาก เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เพียงแค่เจ้าถอนตัวออกไปจากการถกเถียงในครั้งนี้ ข้าจะยอมเชิญเจ้ามาดื่มกับข้า”
เซี่ยงเทียนชิวและคนอื่น ๆ ขมวดคิ้วชั่วครู่หนึ่ง แต่กลับไม่กล้าเอ่ยแทรกขึ้นมา
ซูอี้เหลือบมองชายแบกดาบที่ทั่วร่างแฝงกลิ่นอายความโชกโชนและดุดัน จึงเอ่ยอย่างขบขันขึ้น “เป็นแค่ปรมาจารย์ขั้นห้า ยังก้าวไม่พ้นขอบเขตแห่งสามัญอย่างแท้จริง ก็ริอาจอาศัยความอาวุโสเที่ยวดูถูกผู้อื่นต่อหน้าข้า แล้วจะต่างอันใดกับการทำให้ตัวเองขายหน้าเล่า?”
ทั่วทั้งสนามตะลึงงัน
เซี่ยงเทียวชิวและคนอื่น ๆ เกือบจะหัวเราะออกมา เจ้าหนุ่มอวดดี กล้าเมินเฉยต่อปรมาจารย์ขั้นห้าเชียวรึ?
โจวจือหลีและคนอื่น ๆ ต่างก็มีสีหน้าที่แปลกประหลาด
พวกเขาล้วนรู้ว่าซูอี้มีความหยิ่งยโสในตัวเองมากแค่ไหน แต่ไม่นึกเลยว่า เมื่อเผชิญหน้ากับฉินฉางซานที่ถีบตัวเองเป็นปรมาจารย์ลำดับที่ยี่สิบเจ็ด ซูอี้ก็ยังไม่มีมารยาทเช่นนี้
และตอนนี้ ความอ่อนโยนที่อยู่บนใบหน้าฉินฉางซานในตอนแรกก็เลือนหายไปเล็กน้อย ทว่ามีไอสังหารที่เยือกเย็นเบาบางพรั่งพรูออกมาจากในดวงตา
เขาส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ตัวข้านั้นเห็นคุณค่าในความสามารถ ไม่อยากจะใช้ความเป็นผู้ใหญ่ไปรังแกผู้น้อย เกรงจะทำให้เจ้าลำบากใจ ไม่นึกเลยว่า เจ้าที่ยังหนุ่มกลับอวดดีไม่รู้จักตัวเอง ก็ช่างมันเถอะ จงทำเหมือนกับว่าเมื่อครู่ฉินผู้นี้ไม่ได้เอ่ยคำพูดนั้นก็แล้วกัน”
เมื่อเซี่ยงเทียนชิวเห็นสิ่งนี้ ก็เอ่ยกับโจวจือหลีโดยตรงทันที “ฝ่าบาท กฎการประลองมีสองอย่าง อย่างแรกแบ่งเป็นชนะกับพ่ายแพ้ อย่างที่สองมีชีวิตอยู่หรือตาย หายไม่ตายก็ไม่ต้องหยุด ฝ่าบาทอยากจะเลือกสิ่งใด? ”
ไม่รอให้โจวจือหลีได้เอ่ยสิ่งใด ซูอี้ก็เอ่ยอย่างเย็นชา “ในเมื่อแบ่งแพ้แบ่งชนะ ก็รวมแบ่งเป็นแบ่งตายไปด้วยเลยสิ”
ประโยคเบา ๆ ที่ลอยออกมา ทำให้ในใจของผู้คนที่อยู่ที่นั่นกลับปั่นป่วนขึ้นมา
คังซานจิ่งแห่งสำนักดาบมังกรเร้นเองก็ทนดูไม่ไหว ช่างอวดดีจริง ๆ เจ้าหนุ่มนี่ไม่รู้จริง ๆ รึว่าคำว่าตายเขียนอย่างไร?
นัยน์ตาอวี๋ไป๋ถิงเปล่งประกายออกมา ในใจฮึกเหิมขึ้น เขาภาวนาให้ซูอี้รนหาที่ตาย!
โจวจือหลีกระวนกระวายใจเล็กน้อย ทันทีที่จะเอ่ยแนะนำซูอี้
รับชมเห็นเช่นนี้ฉินฉางซานก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง น้ำเสียงดั่งฟ้าร้อง ทำเอาชั้นเมฆเบื้องบนกระเพื่อมไหว
“เจ้าหนุ่มน้อย ไม่กลัวความเป็นความตาย ฉินผู้นี้ในฐานะเป็นผู้ฝึกดาบ จะไม่เล่นเป็นเพื่อนได้อย่างไร?”
[1] นามของคน เงาของต้นไม้ เป็นสำนวนจีน หมายถึงชื่อเสียงของบุคคลนั้นสำคัญมาก เช่นเดียวกับเงาของต้นไม้