บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 217 ดาบบงการทะเลหมอกแปดจั้ง
ตอนที่ 217: ดาบบงการทะเลหมอกแปดจั้ง
“องค์ชายหกไม่กังวลหรือว่าซูอี้จะนำมาซึ่งความยุ่งยากไม่จบไม่สิ้นเพราะความโหดเหี้ยมอำมหิตของเขา?”
คังซานจิ่งเบนสายตาเย็นชามองไปยังโจวจือหลีอีกครั้ง “หากว่าองค์จักรพรรดิทรงทราบว่าผู้อยู่ข้างกายองค์ชายหกฆ่าคนไม่เลือกหน้า สร้างความวุ่นวายให้แก่แคว้นกุ่น พระองค์ท่านจะมององค์ชายหกเช่นใด?”
เขาต่อว่าซูอี้ก่อน ตอนนี้ยังเอ่ยเตือนโจวจือหลีขึ้นมาอีก เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจว่าซูอี้กล้าฆ่าคนเช่นนี้ เพราะมีโจวจือหลีคอยให้ท้ายอยู่เบื้องหลัง
โจวจือหลีนิ่งเงียบ พลันหัวเราะขึ้นมาด้วยความโกรธ แล้วกล่าว “งานเลี้ยงน้ำชาในวันนี้ เกี่ยวข้องกับคนในสำนักดาบมังกรเร้นอย่างเจ้าเช่นใด? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน จึงกล้ามาตักเตือนสั่งสอนข้ากับพี่ซู?”
ซูอี้กลับถอนใจเบา ๆ “เหตุใดต้องพูดมากกับคนที่ใกล้จะตายด้วย?”
ชิ้ง!
เสียงดาบก้องกังวาน
เพียงแค่ซูอี้พลิกข้อมือ ดาบบงการฟ้าดินกำหนดเส้นทางสายรุ้ง ฟันคังซานจิ่งผ่านอากาศ
รวดเร็วฉับไว
คังซานจิ่งไม่ทันแม้ตั้งตัว
ก่อนหน้านี้เขายังพยายามพูดอธิบาย ด้วยฐานะของตนเองจะต้องทำให้ซูอี้รู้จักเก็บอาการเสียบ้าง
ใครจะคาดคิด ซูอี้กลับลงมือโดยไม่ต้องมีการพูดพล่าม!
ทว่า ไม่เสียแรงเลยเช่นกันที่คังซานจิ่งเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบมังกรเร้น มีปฏิกิริยาตอบกลับรวดเร็ว ชักดาบใหญ่ปากกว้างออกมาขวางตรงหน้าในทันใด
ปัง!!
ดาบใหญ่สั่นสะเทือน สะเก็ดไฟแตกกระเซ็น ตัวดาบปรากฏรอยแตกร้าวที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง
แรงปะทะที่น่ากลัวสั่นสะเทือนจนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นของคังซานจิ่งแดงก่ำ ในใจหวาดหวั่นยำเกรง ทันใดจึงแผดเสียงร้องตะโกน
“ทุกท่าน ไม่ลงมือเวลานี้ จะรอเวลาใดอีก?”
พวกของเซี่ยงเทียนชิวมองออกก่อนแล้วว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ทว่าให้พวกเขาลงมือพร้อมกัน พวกเขายังรู้สึกลังเล
มีทองคำพันตำลึง ไม่นั่งติดขอบชายคา
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้พวกเขาจะลงมือพร้อมกัน ทว่าไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของซูอี้ได้?
ไม่เห็นหรือว่ากระทั่งฉินฉางซานปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นห้าก็ยังต้องตายอยู่ที่นี่?
“กลับ!”
เซี่ยงเทียนชิวร้องตวาดเบา ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวมุ่งหน้าไปยังเชิงเขาประจิม
คนอื่น ๆ ตาสว่าง ผู้คนมากมายรวมตัวกันที่ใต้เชิงเขา ขอเพียงหนีรอดออกมาจากยอดเขาแห่งนี้ได้ ยังต้องกังวลอีกหรือว่าจะหาหนทางรอดไม่เจอ?
พรึ่บ!
บุคคลยิ่งใหญ่ระดับหัวกะทิของแคว้นกุ่นเหล่านี้เคลื่อนตัวในฉับพลัน มุ่งหน้าหนีลงจากยอดเขา
คังซานจิ่งมองตาค้าง เดิมทีเขาต้องลงมือพร้อมกับพวกของเซี่ยงเทียนชิว ไหนเลยจะคาดคิดว่าคนกลุ่มนี้แต่ละคนหนีเร็วยิ่งกว่าอะไรดี!
แม้กระทั่งพวกของโจวจือหลีก็ยังอ้าปากค้างตาถลน ใครบ้างที่จะเชื่อว่าพวกผู้เฒ่าที่เมื่อสักครู่ยังแสดงท่าทีน่าเกรงขามไปแปดทิศเหล่านี้จะไร้ซึ่งความอาจหาญถึงเพียงนี้?
ซูอี้เห็นเช่นนี้แล้วได้แต่ส่ายหน้าน้อย ๆ หนีรอดเช่นนั้นหรือ?
ชิ้ง!
เขาสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง ดาบบงการฟ้าดินในมือส่งเสียงกึกก้อง ตัวดาบปรากฏลวดลายอักขระลี้ลับยากจะเข้าใจ แต่งเติมกลิ่นอายประกาศิต ‘คว้าล้ำลึก’
ครู่ถัดมาซูอี้แทงดาบออกไป
โครม!
ทะเลหมอกสุดลูกหูลูกตารอบยอดเขาเดือดพล่านกลายเป็นเกลียวคลื่นขึ้นมาในทันใด ราวกับได้รับแรงดึงดูดขนาดใหญ่ไร้รูปร่าง พุ่งมายังดาบบงการฟ้าดินในมือของซูอี้อย่างบ้าคลั่ง ด้วยความรุนแรง คล้ายกับห้วงน้ำแห่งสวรรค์ไหลย้อน ส่งเสียงดังโครม ๆ ราวกับเสียงสายฟ้าผ่า
ณ เชิงเขา คนจำนวนมากมายไม่รู้เท่าใดล้วนตื่นตระหนก
ในสายตาของพวกเขา ฉับพลันแสงตะวันบนฟากฟ้าถูกบดบัง ทะเลหมอกรอบระยะร้อยจั้งคล้ายกับถูกมือขนาดใหญ่ไร้รูปร่างกำเอาไว้ พุ่งไปยังยอดเขาประจิมโดยพร้อมเพรียงกัน
เสียงดังกึกก้องราวกับเสียงอัสนีพิโรธ ดังกึกก้องไปทั่วแผ่นดินกว้างใหญ่
“นี่…”
“หรือว่าเทพเซียนเดินดินก็มาร่วมด้วย?”
“สวรรค์!”
เสียงร่ำร้องดังทั่วทุกสารทิศ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าใดที่อ้าปากค้างพูดไม่ออก
ฮวาเหยียนกับลุงอิงผู้ที่ประสบพบเจอเหตุการณ์มานักต่อนักก็ยังสีหน้าเปลี่ยน
ในโลกนี้ มีแต่เทพเซียนเดินดินเท่านั้นที่มีพลังสามารถโยกภูเขาย้ายทะเล ใช้พลังแห่งวายุอัสนีและอัคคีธรณีได้
ทว่าภาพเหตุการณ์ตรงหน้านี้ ไม่ต่างไปจากพลังของเทพเซียนเดินดินเลย!
เพียงแต่ว่า ผู้ที่สร้างปรากฏการณ์อันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ที่แท้คือใครกัน?
บนยอดเขา
พวกของโจวจือหลีก็อ้าปากค้างพูดไม่ออกเช่นกัน ย้อนนึกถึงภาพที่ซูอี้ใช้ดาบชักนำพายุฝนฆ่าศัตรูในสนามประลองที่เขตปกครองอวิ๋นเหอเมื่อครั้งนั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ส่วนฉางกั้วเค่อนึกถึงคืนภาพเหตุการณ์ที่ซูอี้ใช้ดาบสั่งการอัสนีพิฆาตฆ่าศัตรูที่อยู่ห่างออกไปร้อยจั้ง ณ กลางป่าเขาไพรพนาคืนนั้น
และในเวลานี้ ดาบของซูอี้บงการทะเลหมอกร้อยจั้ง ราวกับเทพเซียน!
เซี่ยงเทียนชิวผู้ที่หมุนตัวหนีไปก่อนเป็นคนแรก เพิ่งพุ่งไปถึงด้านหนึ่งของทางภูเขา ร่างของเขาก็ถูกกระแสหมอกอันหนักหน่วงราวกับภูเขากระแทกร่าง
ปัง!
คล้ายกับถูกภูเขายักษ์ทับตัว ซัดร่างของเขากระเด็นลอยออกไป ไม่รู้ว่ากระดูกทั่วทั้งร่างหักไปแล้วกี่ท่อนต่อกี่ท่อน
“สมควรตาย…”
เซี่ยงเทียนชิวร่ำร้อง กระเสือกกระสนจะลุกขึ้น ทว่าคมดาบสว่างวาบ แทงทะลุคอหอย ลูกนัยน์ตากลมโตถลนออกมาในทันใด
ก่อนตาย เขามองเห็นชุดสีเข้มปรากฏท่ามกลางไอหมอกแล้วหายแวบไปในฉับพลัน
“ถอยออกไป!”
อีกด้านหนึ่ง อวี๋ไป๋ถิงร้องตวาดพลางกวัดแกว่งขวานแฉกด้ามยาวสีเขียว ฟันไปยังหมอกหนาที่พุ่งเข้ามา
หมอกเหล่านั้นดูคล้ายบางเบา ทว่าความเป็นจริงหนักเกินกำลัง เวลาที่บุกจู่โจมเข้าหาคล้ายกับหินอุกกาบาตร่วงหล่นจากฟากฟ้า
เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว บุคคลปรมาจารย์อวี๋ไป๋ถิงกลับเป็นฝ่ายถูกสั่นสะเทือนจนต้องถอยร่นไม่หยุด เกือบจะโดนหมอกบดบังจนลับหายไปทั้งตัว
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…”
อวี๋ไป๋ถิงตื่นตระหนกอย่างแรง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและความตื่นตะลึง
เพียงแค่งานเลี้ยงน้ำชา เดิมทีเป็นเพียงแค่การแก่งแย่งทางอำนาจเท่านั้น
ใครจะสามารถคาดเดาได้ว่าต่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่พวกเขายอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ซูอี้ก็ไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไป?
“หนี้ของบุตร บิดาต้องชดใช้ เจ้าตายไปแล้ว บุตรหญิงชายของเจ้าก็ไม่ต้องตาย ผลเช่นนี้ไม่ดีกว่าหรอกหรือ?”
จู่ ๆ เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางไอทะเลหมอกอันขาวสะอาด
ร่างของอวี๋ไป๋ถิงเกร็งแน่นในทันใด ความหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกปะทุขึ้นมาในจิตใจ
เขาถึงขั้นไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างของซูอี้อยู่ที่ใด
“ซูอี้ ข้ายอมแพ้ ข้ายินดีเทิดทูนให้เจ้าเป็นใหญ่ ขอเพียงเจ้ายอมปล่อยข้าไป อำนาจทั้งหมดของตระกูลอวี๋ล้วนสามารถมอบให้เจ้านำไปใช้ได้!”
อวี๋ไป๋ถิงร้องตะโกนเสียงดัง
เอื๊อก!
เสียงยังคงดังก้อง ทว่าคมดาบแทงทะลุคอของเขาจนเลือดสาดกระเซ็นประดุจธารน้ำไหลเสียแล้ว
ทะเลหมอกบนยอดเขาผันผวนดุดันราวกับถูกปิดล้อม อยู่ท่ามกลางหมอกสีขาวสะอาด มองไม่เห็นภาพทิวทัศน์อื่น ๆ
เสียงโอดครวญดังขึ้นเป็นพัก ๆ ได้ยินแล้วชวนให้รันทดใจจนขนลุกวาบ
จนกระทั่งเมฆหมอกสลายตัว
ดวงตาของพวกของโจวจือหลีเบิกกว้างในชั่วบัดดล
ในขอบเขตที่ต่างกันออกไปบนยอดเขา มีศพกองกันระเนระนาดศพแล้วศพเล่า
ศีรษะของคังซานจิ่งแห่งสำนักดาบมังกรเร้นกลิ้งกระเด็น สีหน้าหวาดกลัวยังคงหลงเหลืออยู่บนใบหน้า คงเป็นเพราะก่อนตายก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดซูอี้จึงกล้าฆ่าเขา
บุคคลผู้ยิ่งใหญ่สุดยอดของแคว้นกุ่นอย่างเจ้าแคว้นเซี่ยงเทียนชิวกับอวี๋ไป๋ถิง จ้าวฉิง ไป๋ฮั่นไห่สามท่านนี้ รวมถึงผู้ว่าเขตปกครองฮ่วยอันล้วนตายคาที่ บ้างถูกแทงคอหอย บ้างถูกฟันหัวขาด
ไม่ไกลนัก ซูอี้ในชุดเข้มถือดาบยืนสงบนิ่งเหมือนดังเคย
เมฆหมอกพลิ้ว ๆ เบา ๆ ฉวัดเฉวียนรอบร่างสูงใหญ่ของเขา ภายใต้แสงตะวันอันเจิดจ้าที่ห้อมล้อมตัวคนหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีคนนี้ ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกยำเกรงและลึกลับประดุจดังเซียนบนสวรรค์
โจวจือหลี เจิ้งเทียนเหอ มู่จงถิง ฉางกั้วเค่อ ชิงจินต่างก็นิ่งเงียบ ทว่าในใจกลับว้าวุ่น ไม่อาจสงบใจได้
แม้กระทั่งฉาจิ่นก็ยังตาลายจิตใจเลื่อนลอย สายตาราวกับติดอยู่กับตัวซูอี้ บนใบหน้าสวยงดงามโดดเด่นเต็มไปด้วยความหลงใหลเสน่หา
“เห็นแล้วหรือยัง เมื่อเจ้าแข็งแกร่งมากพอ ไหนเลยต้องกังวลเรื่องแผนการชั่วร้ายอะไรอีก ฟันเพียงดาบเดียวทุกอย่างก็จบสิ้น”
ซูอี้หมุนตัวกลับมา มองไปที่โจวจือหลี
โจวจือหลีสั่นไปทั้งตัว ประสานมือกุมหมัดโค้งตัวคารวะอย่างนอบน้อมพลางกล่าว “เรื่องในวันนี้ ขอบคุณพี่ซูที่ช่วยข้า บุญคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ ข้าโจวจือหลีไม่มีวันลืมไปจนตลอดชีวิต!”
แสดงความขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่ดังก้องออกมาจากหัวใจ ซาบซึ้งตื้นตันจนกระทั่งเสียงสั่นเครือ
มู่จงถิงก็รีบน้อมคารวะเช่นกัน “ครั้งนี้คุณชายซูช่วยพลิกสถานการณ์ และทำให้มู่ผู้นี้ได้ชื่นชมบารมี วันข้างหน้าหากคุณชายมีเรื่องอันใดให้รับใช้ ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟมู่ผู้นี้ยินดี แม้ต้องตายก็ยอม!”
ซูอี้กล่าว “พวกเจ้าไม่กังวลหรือ ข้าฆ่าคนเหล่านี้แล้วจะเป็นการนำหายนะมาสู่พวกเจ้า?”
โจวจือหลีกัดฟันกล่าว “ผู้ชนะคือผู้ยิ่งใหญ่ ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่พวกเขาจะเก่งกาจเพียงใด แต่บัดนี้ก็เป็นได้เพียงแค่คนตายแล้วเท่านั้น! ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใหญ่อย่างอวี๋ เสวีย จ้าว ไป๋ หรือว่ากองกำลังสนับสนุนเบื้องหลังของเซี่ยงเทียนชิว หากว่าจะแก้แค้น ข้าจะรับไว้แต่เพียงผู้เดียว!”
ครั้งนี้ก่อเป็นเรื่องใหญ่มาก
ใหญ่มากจนกระทั่งโจวจือหลียังใจสั่นหวั่นเกรง เข้าใจได้ว่าในช่วงวันเวลาถัดมาจะต้องเกิดเป็นมรสุมลูกใหญ่อย่างแน่นอน
ทว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นให้ถอยหนี จะต้องเผชิญหน้าเท่านั้น!
“พี่ซู ครั้งนี้เป็นเพราะเรื่องของข้า ทำให้พี่ซูกับตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงพลอยเดือดร้อน และอาจทำให้พี่ซูต้องตกเป็นเป้า ข้า…”
โจวจือหลีรู้สึกเป็นกังวล
ซูอี้ยกมือตัดบท “โลกสามัญสับสนวุ่นวาย สำหรับข้าแล้วดุจดังเมฆาล่องลอย อย่าได้กล่าวความน่าเบื่อหน่ายรำคาญหูเช่นนี้อีก”
โจวจือหลีสะอึกพูดไม่ออก
ซูอี้เบนสายตามองไปยังที่ไกลออกไป แล้วกล่าวคำออก “มองพอหรือยัง?”
คนอื่น ๆ ในเหตุการณ์พากันนิ่งตะลึง พลันมองตามสายตาของซูอี้ออกไป
อี๊ก!
เสียงนกร้องดังกังวาน ท่ามกลางทะเลหมอกที่ไกลออกไป อินทรีเกล็ดเขียวงดงามสง่างามปรากฏตัวขึ้น ปีกสีเฉิดฉายประดุจเหล็กทั้งสองส่งประกายเจิดจ้าภายใต้แสงตะวัน
บนหลังของมัน มีคนสองคนยืนอยู่
คนหนึ่งคือหนิงซือฮวา เจ้าตำหนักเทียนหยวนผู้มีใบหน้าอ่อนวัยประดุจสาววัยแรกแย้ม
ส่วนอีกคนหนึ่งคือผู้ชายร่างผอมยืนเด่นประดุจหอกยาวสวมชุดสีเงินราวงูหลาม สวมเกล้าขนนก
เพียงแค่ไม่กี่พริบตา อินทรีเกล็ดเขียวก็ร่อนลงมาอยู่บนยอดเขาประจิม
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่อาจปิดบังหูตาของสหายเต๋าได้”
หนิงซือฮวาไม่สนใจคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ ยิ้มให้ซูอี้
“เชินจิ่วซงคารวะคุณชายซู”
ผู้ชายร่างผอมสวมเกล้าขนนกใส่ชุดสีเงินงูหลามยิ้มพลางเดินขึ้นมาข้างหน้า ประสานมือคารวะ
“ที่แท้เขาก็คือจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงประจำเขตแดนแคว้นกุ่น ผู้ควบคุมกองกำลังเกล็ดแดงนั่นเอง…”
ฉาจิ่นแสดงสีหน้ากระจ่างแจ้งออกมา
ในฐานะหนึ่งในสิบแปดจวิ้นอ๋องนอกสกุลแห่งอาณาจักรต้าโจว กล่าวได้ว่าจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงคือบุคคลหนึ่งผู้มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วใต้หล้า
ผลงานการรบเป็นที่เชิดหน้าชูตา ใช้กลยุทธ์ทหารเก่งกาจ ลำพังเพียงแค่ผลงานด้านการรบ ในบรรดาจวิ้นอ๋องนอกสกุลทั้งสิบแปดท่าน มีชื่ออยู่ในห้าอันดับแรก!
และตัวเขาเองก็เป็นบุคคลโด่งดังซึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์มานานนับหลายปี สำหรับความสามารถของเขาในตอนนี้แข็งแกร่งถึงเพียงใด คนอื่น ๆ ล้วนถกกันไม่หยุด
เป็นเพราะในช่วงสิบปีที่ผ่านมา จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงแทบจะไม่ได้ออกประมือด้วยตนเองอีกเลย ทว่าบุคคลระดับเขาเช่นนี้จะต้องไม่ใช่บุคคลที่ปรมาจารย์ทั่วไปสามารถเทียบได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าตอนนี้ จวิ้นอ๋องผู้ครอบครองกองกำลังใหญ่เกล็ดแดงมีอานุภาพสะท้านไปทั่วทะเลทั้งสี่กลับเป็นฝ่ายคารวะต่อซูอี้ก่อน!
ทำให้ฉาจิ่นรู้สึกพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย
แทบจะขณะเดียวกัน เจิ้งเทียนเหอรีบกดเสียงเบาเตือนสติโจวจือหลีในทันควัน เตือนให้เขารู้ถึงฐานะของหนิงซือฮวา
โจวจือหลีสะดุ้งในใจ สูดลมหายใจลึก ๆ คารวะพลางกล่าว “คารวะเจ้าตำหนักหนิง คารวะจวิ้นอ๋องเชิน”
ฉางกั้วเค่อ ชิงจิน กับมู่จงถิงได้สติกลับมาแล้วเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน ในใจมีแต่ความตื่นตระหนก
พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหนิงซือฮวาเจ้าตำหนักเทียนหยวนผู้ลึกลับที่สุดกับจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงจะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน
อีกทั้งดูจากสถานการณ์แล้ว ทั้งสองคอยดูการต่อสู้อย่างเงียบ ๆ อยู่นานแล้ว!