บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 218 ชี้แนะ
ตอนที่ 218: ชี้แนะ
บนยอดเขามีลมแรง พัดกลิ่นคาวเลือดฉุนจนแสบจมูกให้เจือจางลง
เพียงแต่ว่า ศพสภาพอเนจอนาถที่เกลื่อนกลาดระเกะระกะบนพื้นเหล่านั้นแลดูค่อนข้างสยดสยองอยู่บ้าง
ตอนมีชีวิตอยู่ คนเหล่านี้กุมอำนาจล้นฟ้า หงายมือขึ้นสามารถเรียกฝน คว่ำมือลงสามารถเรียกเมฆ
ทว่าหลังจากที่ตายไปแล้วกลับกลายเป็นเพียงแค่ซากศพกับกลิ่นคาวเลือดกองหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคนธรรมดาทั่วไป
หนิงซือฮวากวาดตามองดูซากศพเหล่านั้นแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยความชื่นชม “สหายเต๋าใช้เพียงการฝึกตนขอบเขตรวบรวมลมปราณ สามารถชักนำวิถีฟ้าดินผสมผสานสู่วิถีแห่งดาบได้ ช่างยอดเยี่ยมไร้เทียมทานจริง ๆ”
ซูอี้เก็บดาบบงการฟ้าดิน พลางกล่าวคำออก “เจ้ามาในครั้งนี้คงไม่ใช่เพียงแค่ชื่นชมการต่อสู้เท่านั้นกระมัง?”
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน”
หนิงซือฮวากล่าวตามตรง “ข้ากับจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงมาในครั้งนี้ เพราะมีเรื่องหนึ่งต้องปรึกษากับสหายเต๋า”
ซูอี้ส่ายหน้าพลางกล่าว “มีเรื่องอะไรวันพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
“เหตุใดต้องเป็นวันพรุ่งนี้?” หนิงซือฮวาตะลึง
ซูอี้ตบท้องเบา ๆ กล่าว “เพราะตอนนี้ข้ายังไม่ได้กินอาหารเช้า”
คนทั้งหลาย “…”
ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าที่ซูอี้ปฏิเสธหนิงซือฮวาในตอนนี้ เพราะวันนี้มีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ จึงตั้งหน้ารับฟังด้วยความตั้งใจ ไหนเลยจะคาดคิดว่าที่แท้เขาหิวแล้ว…
ฉาจิ่นแอบสลดขึ้นมา คิดในใจว่าอาหารเช้าที่เตรียมให้คุณชายในวันนี้ไม่พอกินเช่นนั้นหรือ?
โจวจือหลีแสดงสีหน้าละอายแก่ใจออกมา กล่าวด้วยความกระดาก “เป็นเพราะข้าเตรียมการไม่พร้อม ฟ้ายังไม่สว่างก็ไปรบกวนพี่ซู”
“โง่เขลา”
ซูอี้ชายตามองดูเขาครู่หนึ่ง กล่าว “ข้าเพียงแค่หาเหตุเท่านั้น ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใดอีกในวันนี้”
เขาคิดสักครู่ จึงถอนใจเบา ๆ “แต่ดูจากสภาพในตอนนี้แล้ว พูดตรงไปตรงมาจะดีกว่า”
เห็นว่าซูอี้กล่าวจนถึงขั้นนี้แล้ว มุมปากของหนิงซือฮวาจึงกระตุกเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าว “ได้ ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งนี้ข้ากับจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงจะมาพบสหายเต๋าอีกครั้ง”
คิด ๆ ไปก็สมควรแล้ว วันนี้เพิ่งผ่านเรื่องราวงานเลี้ยงน้ำชาไป อีกทั้งยังก่อเป็นเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ซูอี้ไหนเลยยังจะมีจิตใจใส่ใจกับเรื่องอื่นอีก?
หนิงซือฮวาคิดได้เช่นนี้จึงรู้สึกโล่งใจไป
“ให้สัตว์ร้ายนี้… อุ๊ย! ให้ชิงเอ๋อร์ส่งข้ากลับ เป็นอย่างไร?”
ซูอี้เบนสายตามองไปยังอินทรีเกล็ดเขียว
ครั้งแรกตอนที่เพิ่งรู้จักกัน เรียกฝ่ายตรงข้ามว่าสัตว์ร้ายยังไม่เป็นไร
ทว่าตอนนี้รู้จักกันแล้ว หากยังเรียกอีก ไม่ค่อยจะเหมาะสมมากนัก
อินทรีเกล็ดเขียวสั่นสะท้านไปทั้งตัว ในใจทั้งรู้สึกประหลาดสงสัย ทั้งรู้สึกตื่นตระหนก ผู้ชายอหังการเพียงนี้กลับเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลงคำเรียกของตัวเองได้?
“สามารถผ่อนแรงของสหายเต๋าได้ ถือเป็นเกียรติของชิงเอ๋อร์”
หนิงซือฮวายิ้มขึ้นมา
“ขอบใจมาก”
ซูอี้กวักมือเรียกฉาจิ่นที่อยู่ไม่ไกลนัก “กลับได้แล้ว”
พวกของโจวจือหลีจึงเข้าใจแล้วว่าซูอี้ไม่ต้องการจะอยู่ที่นี่ต่อ เตรียมตัวจะกลับไปแล้ว
อย่างรวดเร็ว ซูอี้กับฉาจิ่นก็ขึ้นนั่งหลังอินทรีเกล็ดเขียวบินขึ้นสู่ท้องฟ้าภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน
ภายในใจของชิงจินเกิดความรู้สึกหมองเศร้าขึ้นมาอย่างประหลาด
ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นฉาจิ่นติดตามซูอี้กลับไปแล้ว เป็นอีกครั้งที่นางนึกถึงตอนที่อยู่บนเรือในครั้งนั้น นึกถึงภาพที่ตนเองปฏิเสธจะไปเป็นหญิงรับใช้ให้ซูอี้
“คุณชายซูท่านนี้ เป็นบุคคลประหลาดแห่งโลกสามัญจริง ๆ”
จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงเชินจิ่วซงรำพึง
ก่อนหน้านี้ที่เขาแอบเฝ้าดูการต่อสู้ มองเห็นภาพที่ซูอี้ฆ่าปรมาจารย์ทั้งหลาย จนกระทั่งเมื่อสักครู่ที่ได้พูดคุยกันอย่างใกล้ชิด ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของฝ่ายตรงข้าม
“พวกเรารอให้ชิงเอ๋อร์กลับมาก่อน จากนั้นจึงกลับไป”
หนิงซือฮวาพูดจบก็ยืนตระหง่านอยู่บนหน้าผา มองดูทะเลหมอกอยู่ไกล ๆ ไม่ปริปากกล่าวสิ่งใดอีก
ในบางด้าน นางมีส่วนคล้ายกับซูอี้ ยกตัวอย่างเช่นขี้เกียจจะสนใจการแก่งแย่งชิงดีกันในโลกสามัญ และขี้เกียจจะไปพูดคุยสนทนาในเรื่องใด ๆ กับพวกโจวจือหลี
ใช่ว่าเพราะดูแคลน แต่เป็นเพราะมองว่าต่างฝ่ายต่างอยู่กันคนละโลก
“ฝ่าบาท เรื่องในวันนี้จบลงแล้ว แต่ฝ่าบาทคิดจะจัดการกับส่วนที่เหลือเช่นใด?”
เชินจิ่วซงเบนสายตามองไปยังโจวจือหลี กล่าวขึ้นมาด้วยความสนใจอยากรู้
คังซานจิ่งผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบมังกรเร้น เยว่จางหยวนจากตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง ฉินฉางซานผู้ที่องค์ชายรองเชิญมา ล้วนมาตายกันอยู่ตรงนี้
ความหายนะที่อยู่เบื้องหลังเหล่านี้เกี่ยวข้องโยงใยไปถึงกำลังหลักสามส่วน คือ สำนักดาบมังกรเร้น ตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง และองค์ชายรอง แต่ละฝ่ายล้วนมีรากฐานกำลังอำนาจที่น่ากลัวทั้งสิ้น
ส่วนการตายของเจ้าแคว้นเซี่ยงเทียนชิว กับตระกูลเก่าแก่แห่งแคว้นกุ่นอย่างอวี๋ไป๋ถิงก็ไม่อาจจะปิดบังได้เช่นกัน
เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป แคว้นกุ่นจะตกอยู่ในความสั่นคลอนอย่างใหญ่หลวง!
กล่าวได้ว่าเรื่องในวันนี้เป็นมรสุมพายุขนาดมหึมาลูกหนึ่งก็ว่าได้ ไม่ว่าใครที่โยงใยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยล้วนต้องถูกหายนะรุมเร้า
โจวจือหลีนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นแสร้งกล่าวอารมณ์ดี “กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้ายังไม่ได้คิดเลยว่าควรจะแก้ไขกับสถานการณ์นี้เช่นใด แต่ ในเมื่อต้องมีเรื่องเดือดร้อนตามมาไม่จบไม่สิ้น ข้าจะต้านรับไว้อย่างสุดกำลัง”
เชินจิ่วซงยิ้มพลางกล่าว “ฝ่าบาท ถือโอกาสว่างในตอนนี้ ยินดีจะรับฟังความเห็นของเชินผู้นี้ที่มีต่อเรื่องดังกล่าวหรือไม่?”
โจวจือหลีสะดุ้งวาบขึ้นมา รู้ได้ในทันใดว่าจวิ่นอ๋องอวิ๋นกวงกำลังจะให้คำชี้แนะต่อตนเอง จึงประสานมือแสดงความเคารพ กล่าว “จวิ้นอ๋องได้โปรดชี้แนะด้วย”
เจิ้งเทียนเหอกับพวกมู่จงถิงก็แสดงสีหน้าน้อมรับฟังออกมาด้วยเช่นกัน
เชินจิ่วซงคิดสักครู่จึงกล่าว “จากที่เชินผู้นี้มอง เรื่องนี้ เมื่อรู้ผลแพ้ชนะแล้ว ตำแหน่งเจ้าแคว้นก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป”
เขาเบนสายตามองไปยังโจวจือหลี แล้วกล่าวคำออก “ฝ่าบาททราบหรือไม่ว่า เพราะเหตุใดองค์จักรพรรดิจึงแต่งตั้งให้ฝ่าบาทมาแคว้นกุ่น?”
“นี่เป็นข้อทดสอบที่เสด็จพ่อมีต่อข้า” โจวจือหลีตอบโดยไม่ต้องคิด
“ไม่ผิด ในเมื่อเป็นข้อทดสอบ หลังจากที่ฝ่าบาทต่อสู้กับองค์ชายรองจนได้รับชัยชนะ แท้จริงแล้วก็เท่ากับได้รับการยอมรับจากพระองค์ท่านแล้ว”
น้ำเสียงของเชินจิ่วซงเนิบช้า กล่าว “ในเวลาเช่นนี้ ต่อให้ฝ่าบาททำการรุนแรง องค์จักรพรรดิก็จะไม่กล่าวโทษ ทั้งยังจะให้ความชื่นชมแก่ฝ่าบาทอีกด้วย ส่วนเรื่องเดือดร้อนที่ก่อขึ้นในครั้งนี้ องค์จักรพรรดิจะยุติให้กับฝ่าบาทเอง”
“เรื่องนี้… จะเป็นไปได้หรือ?”
โจวจือหลีตะลึงราวกับไม่อยากจะเชื่อ
เชินจิ่วซงหัวเราะขึ้นมา ก่อนจะกล่าว “ในสายตาองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งทะเลทั้งสี่และกุมอำนาจแผ่นดิน องค์ชายที่ผ่านข้อทดสอบจนได้รับชัยชนะจึงสำคัญที่สุด!”
นิ่งไปชั่วครู่ เขากล่าวต่ออีก “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สำนักดาบมังกรเร้น ตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง หรือแม้กระทั่งกำลังหลักในแคว้นกุ่นเหล่านั้น ขอเพียงฉลาดคิดกันสักหน่อยก็จะรู้ได้ว่า องค์ชายหกไม่เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว คิดจะแก้แค้นกับฝ่าบาท เกรงว่าต้องผ่านด่านองค์จักรพรรดิให้ได้เสียก่อน!”
โจวจือหลีสะดุ้งเฮือก กล่าวเบา ๆ “ก่อนหน้านี้ ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย…”
“หากว่าข้าอนุมานไม่ผิด หลังจากที่ฝ่าบาทกลับไปสู่นครหลวงอวี้จิงแล้ว บางทีอาจจะรับรู้ได้ถึงพลังแห่งการยอมรับอันมากจากองค์จักรพรรดิ”
เชินจิ่วซงกล่าวถึงตรงนี้ก็ยิ้มพลางประสานมือ “เชินผู้นี้น้อมขออวยพรต่อฝ่าบาทล่วงหน้า ให้ทุกย่างก้าวเหยียบเมฆา”
โจวจือหลีรีบกล่าว “จวิ้นอ๋องทำเช่นนี้ข้ารับไว้ไม่ไหว ข้ามีความสามารถเพียงใดตัวเองรู้ดีเป็นที่สุด ขอเพียงเสด็จพ่อไม่ลงโทษข้า ข้าก็รู้สึกตื้นตันจนน้ำตาไหลแล้ว”
เชินจิ่วซงหัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “ลงโทษ? ช่วงระยะเวลาหลายปีมานี้น้อยนักที่องค์จักรพรรดิจะให้ความสนใจกับเรื่องใด ๆ ในโลกสามัญ ตั้งใจฝึกฝนตนเอง หากไม่ผิดความคาดหมาย ในเมื่อองค์จักรพรรดิทำการทดสอบฝ่าบาทกับองค์ชายพระองค์อื่น บางทีอาจจะหมายความว่าองค์จักรพรรดิเริ่มมีการเตรียมแต่งตั้งผู้ที่สืบทอดพระราชบัลลังก์แล้วก็เป็นได้”
แต่งตั้งผู้สืบทอด!
ทุกคนต่างก็พากันสูดปาก
จักรพรรดิโจวองค์ปัจจุบันมีพระชนมายุอยู่ในวัยแข็งแรง สติปัญญากลยุทธ์โดดเด่น ทรงสง่าปราดเปรื่อง ใครเลยจะคาดคิดว่าจักรพรรดิเช่นนี้เริ่มพิจารณาหาตัวผู้สืบทอดแล้ว?
โจวจือหลีนิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้น ทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลง
ดังคำกล่าวที่ว่าผู้อยู่ในเหตุการณ์มักมองไม่ออก ได้รับการเตือนสติจากเชินจิ่วซงแล้ว เขาจึงเข้าใจได้ในทันใดว่าเพราะเหตุใดครั้งนี้เสด็จพ่อจึงส่งตนเองมาที่แห่งนี้
“ขอบคุณจวิ้นอ๋องที่ให้คำชี้แนะ”
โจวจือหลีโค้งคารวะด้วยความซาบซึ้งใจยิ่งนัก
เชินจิ่วซงกล่าวเตือนสติ “ฝ่าบาท อย่าดีใจเร็วเกินไปนัก นี่เป็นเพียงแค่บทข้อทดสอบหนึ่งเท่านั้น การยอมรับอันมาจากองค์จักรพรรดิไม่ได้หมายความว่าฝ่าบาทมีความหวังจะได้ครองตำแหน่ง ‘ผู้สืบทอด’ เสมอไป”
โจวจือหลีสูดหายใจลึก ๆ ครั้งหนึ่ง ความตื่นเต้นในใจเริ่มสงบลง แล้วกล่าวคำ
“เมื่อก่อนข้าไม่เคยได้รับความสนใจจากเสด็จพ่อเลย ตำแหน่งในราชสำนักก็ไม่อาจสู้พี่ใหญ่กับพี่รองได้ ตอนนี้หากว่าได้รับการยอมรับจากเสด็จพ่อมาบ้าง ข้าก็รู้สึกดีใจมากแล้ว!”
เชินจิ่วซงยิ้มพลางกล่าว “ครั้งเมื่อองค์จักรพรรดิยังเป็นองค์ชาย ก็เช่นเดียวกับฝ่าบาท สถานการณ์ภายนอกไม่ดีนัก ทว่าภายใต้ความช่วยเหลือจากราชครูหงเซินชาง ราชากลืนสมุทรเก๋อฉางหลิง ผู้นำตระกูลซูซูหงหลี่ ท้ายสุดจึงค่อย ๆ ก้าวขึ้นสู่พระราชบัลลังก์มังกรได้ทีละก้าว”
“ข้าเชื่อว่า วันข้างหน้าฝ่าบาทก็จะมีโอกาสทำทุกอย่างนี้ให้เป็นจริงได้เช่นกัน!”
พูดจบ ร่างของโจวจือหลีสั่นสะท้าน จิตใจว้าวุ่น
เชินจิ่วซงไม่กล่าวให้มากความอีก พลันหยิบหยกขาวประจำตัวที่ผูกร้อยด้วยด้ายสีแดงออกมา จากนั้นยื่นให้มู่จงถิ่งพลางกล่าว
“ตำแหน่งเจ้าแคว้น แสดงถึงเกียรติยศแห่งราชสำนักต้าโจว วันข้างหน้าหากพบเจอเรื่องยุ่งยากอันใด ถือครองหยกแผ่นนี้ไว้ กองกำลังเกล็ดแดงที่ประจำอยู่ตรงนี้จะให้ความช่วยเหลือแก่เจ้า”
มู่จงถิ่งตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นจึงรีบคารวะ แล้วกล่าวคำออก “ขอบคุณจวิ้นอ๋อง!”
ก่อนหน้านี้เขายังเป็นห่วงอยู่ว่าผ่านพ้นเรื่องคาวเลือดในวันนี้แล้วควรจะดำรงตำแหน่งเจ้าแคว้นแห่งแคว้นกุ่นเช่นใด
ทว่าตอนนี้ ได้รับการสนับสนุนจากเชินจิ่วซงแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป!
เช่นนี้หมายความว่า ต่อให้เป็นผู้มีอำนาจในท้องที่อย่างตระกูลอวี๋ ตระกูลจ้าว ตระกูลไป๋ หรือตระกูลเสวีย ล้วนไม่กล้าแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง!
ฉางกั้วเค่อ ชิงจินมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้แล้วพอคาดเดาออกคร่าว ๆ ว่าที่จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเห็นแก่อนาคตขององค์ชายหกอย่างแน่นอน
มิเช่นนั้น เหตุใดก่อนที่งานเลี้ยงน้ำชาจะเริ่ม จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงจะไม่ออกมาสนับสนุนองค์ชายหกเล่า?
หากต้องพูดถึงสาเหตุ มีความน่าจะเป็นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
นั่นก็คือเป็นเพราะซูอี้ จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงถึงเป็นฝ่ายแสดงท่าทีให้การสนับสนุนองค์ชายหกออกมาก่อน!
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงกับหนิงซือฮวาเพิ่งมาถึง ทุกคนต่างก็มองเห็นด้วยกันทั้งสิ้นว่าจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงเป็นฝ่ายแสดงความเคารพต่อซูอี้ก่อน!
เสียงร้องกังวานดังขึ้น อินทรีเกล็ดเขียวบินกลับมาจากขอบฟ้าที่ไกลออกไป ค่อย ๆ ร่อนลงบนยอดเขาอย่างช้า ๆ
“กลับกันเถอะ”
หนิงซือฮวาเดินขึ้นไปยืนบนหลังของอินทรีเกล็ดเขียว
“ทุกท่าน ขอตัวลา”
เชินจิ่วซงประสานมือคารวะต่อคนทั้งหลาย จากนั้นจึงเดินไปหาหนิงซือฮวา
อย่างรวดเร็ว อินทรีเกล็ดเขียวก็พาคนทั้งสองบินสู่ท้องฟ้า
“ฝ่าบาท พวกเราควรจะกลับกันได้แล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เจิ้งเทียนเหอถามเบา ๆ
ตอนนี้ บนยอดเขาประจิมแห่งนี้เหลือแต่เพียงพวกเขาเท่านั้น
โจวจือหลีนิ่งเงียบไปชั่วครู่ พึมพำขึ้นมา “ข้าจะไม่ลืมวันนี้…”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินมุ่งหน้าลงจากเขา
เจิ้งเทียนเหอ ฉางกั้วเค่อ ชิงจิน มู่จงถิงติดตามอยู่ข้างหลัง
ที่เชิงเขา ณ เวลานี้
สับสนวุ่นวายราวกับหม้อข้าวต้ม เสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสียงโหวกเหวกดังไม่หยุด
ใต้เท้าทั้งหลายที่มาจากหกเขตปกครองแคว้นกุ่นรู้สึกได้ว่างานเลี้ยงน้ำชาเสร็จสิ้นไปนานแล้ว แต่ทว่าไม่รู้ว่าใครแพ้หรือใครชนะ
หากไม่ใช่เพราะมีทหารของกองกำลังเกล็ดแดงเฝ้าหนทางขึ้นยอดเขาทั้งสี่ทางล่ะก็ เกรงว่าคงจะมีคนบุกขึ้นไปดูให้รู้แจ้งตั้งนานแล้ว!