บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 219 กรรมตามสนอง
ตอนที่ 219: กรรมตามสนอง
ในฐานะที่เป็นผู้นำกองกำลังเกล็ดแดงซึ่งรับหน้าที่เฝ้ารักษาการณ์ที่ใต้เชิงเขาประจิม หยวนลั่วอวี่มองเห็นพวกของโจวจือหลีลงมาจากเขาในทันใด
“องค์ชายหกชนะ?”
หยวนลั่วอวี่ตื่นตะลึงขึ้นมาในใจ
โจวจือหลีก็มองเห็นหยวนลั่วอวี่แล้วเช่นกัน สั่งกำชับ “เจ้าพากองกำลังเกล็ดแดงไปจัดการเก็บกวาดซากศพบนยอดเขา เก็บของทุกอย่างที่ยึดได้มาทั้งหมดแล้วส่งไปยังเรือนพำนักหินศิลา”
เก็บกวาดซากศพ!?
หยวนลั่วอวี่คาดเดาความน่าจะเป็นแล้ว ในใจรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา
ขณะนี้เอง เมื่อเห็นคณะของโจวจือหลีเดินลงมาจากยอดเขา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็เงียบหายไป
คนทั้งหลายต่างก็หยุดพูดพลางเบนสายตามองอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ฝ่าบาท บังอาจถามว่างานเลี้ยงน้ำชาในครั้งนี้ใครเป็นผู้ชนะใครเป็นผู้แพ้?”
มีคนทำใจกล้าถามขึ้น
ได้ฟังความ โจวจือหลีก็หยุดเดิน กวาดสายตามองดูใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่จากหกเขตปกครองในแคว้นกุ่นทีละคน
ถัดจากนั้น ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบเช่นนี้ องค์ชายหกแห่งอาณาจักรต้าโจวท่านนี้ก็ยิ้มขึ้นมาน้อย ๆ ชี้ไปที่มู่จงถิงผู้ซึ่งอยู่ข้างกาย แล้วกล่าวคำออก
“ขอแนะนำสักหน่อย นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ใต้เท้ามู่ มู่จงถิงคือเจ้าแคว้นคนใหม่แห่งแคว้นกุ่น”
ก้อนหินก้อนเดียวสร้างคลื่นพันชั้น
ใครกันอีกที่ยังไม่รู้ว่า งานเลี้ยงน้ำชาอันเป็นที่จับตามองในครั้งนี้ องค์ชายหกกลับกลายเป็นผู้ชนะคนท้ายสุด?
ผลที่ออกมาเช่นนี้ เกินความคาดคะเนของคนทั้งหลายที่อยู่ตรงนี้ จึงเป็นเหตุทำให้แต่ละคนแสดงสีหน้ายากนักจะเชื่อออกมา
ทว่าโจวจือหลีไม่ได้อธิบายอะไรอีก หลังจากพูดประโยคนี้ทิ้งท้ายแล้วก็พาพวกของมู่จงถิงจากไปอย่างรวดเร็ว
“ข้ารู้อยู่แล้ว มีคุณชายซูเข้าร่วมด้วย องค์ชายหกอยากจะแพ้ก็ยังยาก!”
หยวนลั่วซีกล่าวด้วยความดีใจ
หยวนอู่ทงกลับอยู่ในอาการตื่นตะลึงเนื้อกระตุกเป็นพัก ๆ เขาสังเกตเห็นว่าคณะของโจวจือหลีจากไปแล้ว ทว่าพวกของเซี่ยงเทียนชิวกลับไม่ยอมปรากฏตัวสักที
“หรือว่า คนเหล่านั้นถูกคุณชายซูฆ่าตายหมดแล้ว?”
นึกถึงตรงนี้ หัวสมองของหยวนอู่ทงรู้สึกมึนตึบ หากว่าเป็นเช่นนี้จริง ก็เท่ากับเป็นเรื่องใหญ่มาก!
“ท่านพ่อ เหตุใดจึงไม่เห็นคุณชายซู?”
หยวนลั่วซีรู้สึกสงสัย
หยวนอู่ทงสูดหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่ง จากนั้นกล่าวเบา ๆ “รออีกสักครู่ พี่รองของเจ้าพาคนขึ้นยอดเขาไปแล้ว เชื่อว่าอีกสักครู่ความจริงก็จะปรากฏ”
“ความจริงปรากฏ?”
หยวนลั่วซีตะลึง หรือว่าบนยอดเขาแห่งนั้นยังมีเรื่องอื่นซุกซ่อนอยู่อีก?
“เหตุใดจึงไม่เห็นพวกของใต้เท้าเซี่ยงปรากฏตัว?”
เวลานี้ มีคนมากมายตรงนั้นเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ลูกพี่ใหญ่ระดับสุดยอดของแคว้นกุ่นอย่างเซี่ยงเทียนชิวกับอวี๋ไป๋ถิงกลับไม่มีใครสักคนลงมาจากเขา!
“เช่นนี้… พวกเขาคงไม่ได้ประสบเคราะห์ร้ายอันใดหรอกกระมัง?”
มีคนพูดพลางกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก
“หรือว่าทุกท่านลืมไปแล้วว่า เมื่อสักครู่ ฉินฉางซานบุคคลระดับปรมาจารย์ขั้นที่ห้าผู้มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปใต้หล้าได้ทำการต่อสู้ มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ฉินฉางซานพ่ายแพ้ไปแล้ว มิเช่นนั้น องค์ชายหกไหนเลยจะสามารถเอาชนะได้?”
มีคนแววตาส่อประกาย “ยังมีอีก เมื่อสักครู่อินทรีเกล็ดเขียวปรากฏตัวอยู่บนยอดเขา สงสัยว่าจะเป็นพาหนะของหนิงซือฮวาเจ้าตำหนักเทียนหยวน เช่นนี้จะหมายความว่าใต้เท้าตำหนักผู้มีความลึกลับท่านนี้ก็เข้าไปมีส่วนร่วมกับการแก่งแย่งกันในครั้งนี้ด้วย?”
“ไม่ต้องคาดเดากันไปเองหรอก รอให้คนของกองกำลังเกล็ดแดงลงมาจากยอดเขาแล้ว ก็สามารถเข้าใจเหตุการณ์ได้เอง”
ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ ถึงแม้จะรู้ผลของงานเลี้ยงน้ำชาแล้ว ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสงสัยขึ้นมา
“คุณหนูคิดว่าจะใช่ฝีมือของหนิงซือฮวาหรือไม่ที่เอาชนะฉินฉางซานผู้เก็บตนอยู่ที่บ่อมังกรได้?”
ลุงอิงรู้สึกมองเหตุการณ์ไม่ออกเช่นกัน หัวคิ้วขมวดแน่น
“เป็นไปไม่ได้”
ฮวาเหยียนปฏิเสธโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉินฉางซานออกต่อสู้ ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไอดาบแหวกอากาศ หรือทะเลหมอกเดือดพล่าน ทว่าหลังจากที่ทุกอย่างสิ้นสุดลง อินทรีเกล็ดเขียวตนนั้นจึงบินมา เช่นนี้หมายความว่าผู้ที่เอาชนะฉินฉางซาน ไม่อาจเป็นหนิงซือฮวาไปได้”
“ถ้าเช่นนั้นเป็นผู้ใดกัน?”
ลุงอิงอดกลั้นไม่ไหว ไล่ซักขึ้นมา
“ซูอี้!”
ฮวาเหยียนลังเลสักครู่จึงกล่าว “เมื่อสักครู่ข้าได้ไปสังเกตดูมาแล้ว ตอนที่องค์ชายหกเดินลงมาจากยอดเขา ข้างกายขาดซูอี้กับหญิงรับใช้ของซูอี้ไป และเมื่อสักครู่ ทุก ๆ คนก็มองเห็นแล้วว่าอินทรีเกล็ดเขียวได้นำพาคนสองคนจากไป ซึ่งนั่นจะต้องเป็นซูอี้กับหญิงรับใช้ของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย”
นิ่งเงียบไปสักครู่ นางกล่าวต่ออีก “และนี่ก็แสดงให้เห็นเช่นกันว่า เหตุที่ทุกคนซึ่งอยู่ข้างกายองค์ชายหกล้วนไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือตาย เพราะมีแต่เพียงซูอี้เท่านั้นที่เป็นผู้ลงมือ! จนเอาชนะปรมาจารย์ขั้นที่ห้าอย่างฉินฉางซานมาได้”
พูดถึงตรงนี้ ดวงตางดงามของนางส่อประกายเคลือบแคลงสงสัย “เพียงแต่ว่า หากเขาเป็นผู้เอาชนะฉินฉางซานจริง แลดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อมากนัก…”
ลุงอิงก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน เขาเข้าใจความหมายของฮวาเหยียนแล้ว
ตัวเขาเองก็ไม่อาจจะเชื่อเช่นกันว่าคนหนุ่มในขอบเขตรวบรวมลมปราณคนหนึ่งจะสามารถเอาชนะปรมาจารย์ขั้นที่ห้าได้
ทว่ากลับมีเพียงคนหนุ่มคนนี้เท่านั้นที่น่าจะทำถึงขั้นนี้ได้
ไม่ว่าใครก็ตามมีหรือที่จะไม่สงสัย?
ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์และสงสัยเคลือบแคลง ไม่นานนัก หยวนลั่วอวี่ก็พาคนทั้งหมดเดินลงมาจากยอดเขา
“ลั่วอวี่ สถานการณ์เป็นเช่นใด?”
เวลานี้ หยวนอู่ทงก็อดรนทนรอไม่ไหวแล้วเช่นกัน ถามขึ้นในทันใด
“พวกของใต้เท้าเซี่ยง… ตายหมดแล้ว…”
หยวนลั่วอวี่เอ่ยสามคำสุดท้ายออกมาจากปากเบา ๆ สีหน้าและแววตายังคงมีอาการตื่นตะลึง
ตายหมดแล้ว?
ทุกคนที่อยู่ใต้เชิงเขาพากันตะลึงกันไปก่อน ถัดมาจึงรู้สึกชาไปทั้งหัว สูดปากรับอากาศเย็น เข้าใจความหมายขึ้นมาได้
ฉับพลัน ทุกอย่างเงียบสงบอย่างประหลาดราวกับป่าช้า
ไม่ว่าจะตื่นตะลึงกันเพียงไหน ทุก ๆ คนล้วนเข้าใจร่วมกันว่า…
แคว้นกุ่นกำลังจะเกิดความวุ่นวายขึ้นแล้ว!
—
วันเดียวกัน ข่าวเกี่ยวกับงานเลี้ยงน้ำชาบนยอดเขาประจิมแพร่สะพัดออกไปดังลมมรสุม
อย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งแคว้นกุ่นก็ตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่!
ตระกูลอวี๋
ในหออาคารแห่งหนึ่งที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา
อวี๋ซวงหนิงรอจนกระทั่งเริ่มหมดความอดทน
เมื่อคืนนี้ บิดาของนางอวี๋ไป๋ถิงหัวเราะร่าเริงบอกกับนางว่า วันพรุ่งนี้ คนที่ชื่อซูอี้คนนั้นจะลาลับไปจากโลกนี้
เหตุนี้จึงทำให้อวี๋ซวงหนิงตั้งตารอ
นางไม่มีทางลืมหน้าตาท่าทีของซูอี้คนนั้นว่าน่าทุเรศเพียงใด ไม่เพียงแค่ทะนงตนเพราะถือว่าตนเองมีบุญคุณเท่านั้น ทั้งยังหยิ่งยโสยิ่งนัก
“บิดาไปจนเกือบจะสองชั่วยามอยู่แล้ว ควรจะกลับมาได้แล้วกระมัง?”
อวี๋ซวงหนิงเพิ่งนึกได้ถึงตรงนี้
ปัง!
ประตูหออาคารก็ถูกคนถีบเปิดจากด้านนอก
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งพาผู้ติดตามจำนวนหนึ่งบุกเข้ามา
“อวี๋เซียว! นี่เจ้าจะทำอะไร?”
อวี๋ซวงหนิงตกใจ ทว่าเมื่อมองดูคนที่มาอย่างชัดเจนแล้ว ฉับพลันเกิดบันดาลโทสะ แผดเสียงตะคอก
อวี๋เซียว บุตรชายของผู้อาวุโสรองแห่งตระกูล ตลอดที่ผ่านมาเวลาแสดงท่าทีนอบน้อมเวลาที่อยู่ต่อหน้านาง เวลาที่เจอนางคล้ายกับหนูที่เจอแมว
ทว่าตอนนี้ อวี๋เซียวกลับพาคนถีบประตูเข้ามา!
อวี๋เซียวพินิจมองดูอวี๋ซวงหนิงด้วยสายตาไร้ซึ่งความหวาดกลัว จากนั้นจึงหัวเราะหึหึออกมา “น้องสาว ข้ามาก็เพื่อจะบอกเจ้าว่า ผู้นำตระกูลตายแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บิดาของข้าก็คือผู้นำตระกูล ส่วนข้า… ก็คือนายน้อย!”
“อะไรนะ? เจ้าพูดเหลวไหล! บิดาข้าจะตายได้เช่นใด?”
อวี๋ซวงหนิงสีหน้าเปลี่ยนไป สาวเท้าวิ่งออกไปจากหออาคาร
เพียะ!
ฝ่ามือหนึ่งตบลงบนหน้าของนาง ให้ความรู้สึกแสบร้อน ตบจนร่างของนางเซถลา ล้มไปนั่งกับพื้น
สาวน้อยผู้ถูกเลี้ยงดูเอาใจมาตั้งแต่เด็กอย่างนางไหนเลยจะเคยถูกสบประมาทถึงเพียงนี้?
นางโมโหจนแทบคลั่ง!
“เจ้า…”
อวี๋ซวงหนิงกำลังจะพูดอะไรอีก ทว่าอวี๋เซียวกลับตะคอกเสียงเย็นชาขึ้นมา “จับนางขังเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ!”
ผู้ติดตามเหล่านั้นรุมจับนาง
ชั่วขณะนั้น อวี๋เซียงหนิงรู้สึกแทบคลั่งไม่เป็นผู้เป็นคน ที่แท้มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? หรือว่า… บิดาไม่อยู่แล้วจริง ๆ?
ไม่ให้โอกาสนางได้ครุ่นคิด ผู้ติดตามเหล่านั้นก็จับนางมัดอย่างแน่นหนาแล้วพาตัวออกไป
วันนี้ หลังจากทราบข่าวการตายของอวี๋ไป๋ถิง ภายในตระกูลอวี๋ก็ตกอยู่ในสภาวะสั่นคลอนอย่างรุนแรง
เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล ผู้เป็นใหญ่ทั้งหลายในตระกูลอวี๋จึงเกิดความขัดแย้งกันอย่างดุเดือดเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
คนทั้งหมดของฝ่ายอวี๋ไป๋ถิงทางนี้ล้วนกลายเป็นแพะที่กำลังรอการโดนเชือด
ในความโกลาหลครั้งนี้ อวี๋ซวงหนิงผู้เป็นบุตรสาวตกเป็นผู้ต้องหาถูกคุมขัง
มังกรไร้หัว จักต้องเกิดหายนะ
ยิ่งเป็นวงศ์ตระกูลใหญ่ การแย่งชิงอำนาจก็ยิ่งรุนแรง
ภาพเหตุการณ์ที่คล้ายกับตระกูลอวี๋ เกิดขึ้นกับตระกูลจ้าว ตระกูลไป๋ และตระกูลเสวีย
ตำหนักเทียนหยวน
ณ ผาสำนึกตน
ลมกระโชกแรงพัดเสียงดังฮือ ๆ ราวกับดาบอันคมกริบ
เซี่ยงหมิงปล่อยผมยาวปรกหน้านั่งอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง สีหน้าหม่นหมอง ในสายตาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม โกรธเกรี้ยว และเจ็บแค้น
“ซูอี้ หากข้าได้ออกไป จะให้บิดาจัดการกับเจ้าในทันที หากไม่เชือดเฉือนเจ้าเป็นชิ้น ๆ ก็ไม่อาจระบายความแค้นในใจได้!”
“ศิษย์พี่เซี่ยง แย่แล้ว!”
ทันใด เสียงตื่นตระหนกเสียงหนึ่งดึงเข้ามาจากนอกถ้ำ
ขณะที่หนุ่มน้อยร่างอ้วนคนหนึ่งวิ่งมาถึงนอกถ้ำ เหงื่อก็ไหลไคลก็ย้อย บนใบหน้ามีแต่ความตื่นตระหนกตกใจ
“ใจเย็นหน่อย!”
เซี่ยงหมิงจ้องดูหนุ่มน้อยร่างอ้วนด้วยความไม่พอใจ “เคยบอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้ว ทุกครั้งที่เจอเรื่องใหญ่อันใดต้องสงบใจเข้าไว้ ต่อให้เป็นข่าวที่ย่ำแย่สักแค่ไหน ยังจะย่ำแย่ยิ่งกว่าสภาพในตอนนี้ของข้าอีกเช่นนั้นหรือ?”
หนุ่มน้อยร่างอ้วนด้านหนึ่งปาดเหงื่อ อีกด้านหนึ่งหอบหายใจ “ไม่ใช่ ศิษย์พี่เซี่ยง ครั้งนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วจริง ๆ ข้ายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง ทว่าศิษย์ทั้งหลายในตำหนักล้วนพูดกันไปทั่ว…”
“ที่แท้แล้วคือเรื่องอันใดกัน?”
เซี่ยงหมิงขมวดคิ้วถาม
หนุ่มน้อยร่างอ้วนกล่าวอึก ๆ อัก ๆ “ศิษย์พี่ ข้าพูดไปแล้วศิษย์พี่อย่าได้เสียใจเลยเชียว และอย่าได้โกรธ เรื่องนี้ไม่เห็นจะเป็นความจริงไปได้…”
เห็นว่าเขามัวแต่พูดร่ำไรชักช้า เซี่ยงหมิงรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก จึงแผดเสียงด่าเพราะทนไม่ไหว “ที่แท้แล้วเจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่!?”
หนุ่มน้อยร่างอ้วนตกใจ จึงโพล่งออกไปภายใต้ความตื่นตระหนก “พ่อของเจ้าตายแล้ว!”
เซี่ยงหมิงตะลึง ร้องตะคอก “เจ้า… เจ้าบังอาจด่าข้า?”
หนุ่มน้อยร่างอ้วนร้องไห้หน้าเศร้า กล่าวขึ้นมาติด ๆ กัน “ศิษย์พี่ ข้าไม่ได้โกหก ท่านพ่อของเจ้าตายแล้วจริง ๆ พวกเขาคุยกันว่าจวนของศิษย์พี่ยังถูกคนยึดอีกด้วย อนุน้อยของท่านพ่อเจ้าเหล่านั้นล้วนถือโอกาสตอนวุ่นวายหอบเครื่องประดับเงินทองหนีกันไปหมดแล้ว กระทั่งนางรำที่เจ้าเลี้ยงไว้เหล่านั้นล้วนถูกคนครอบครองหมดแล้ว…”
เซี่ยงหมิงแทบระเบิด ลุกพรวดพราดขึ้นในทันใด ตวาดออกมา “คนสารเลวคนไหนที่สร้างข่าวลือ ข้าจะฆ่าเขาล้างตระกูล!!”
หนุ่มน้อยร่างอ้วนกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “ศิษย์พี่เซี่ยง เรื่องนี้รู้กันไปทั่วตำหนักเทียนหยวนแล้ว พวกผู้อาวุโสเหล่านั้นก็กำลังพูดหารือกันอยู่ ว่ากันว่าในงานเลี้ยงน้ำชาบนยอดเขาประจิม ท่านพ่อของเจ้าถูกคนฟันหัวขาด…”
“พวกใต้เท้าผู้ใหญ่เหล่านั้นกำลังพูดหารือ…”
หัวสมองของเซี่ยงหมิงราวกับถูกสายฟ้าฟาด งุนงงไปหมด มือเท้าสั่นระริกไม่อาจควบคุมได้
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
ด้วยความสามารถและอำนาจของบิดา ในดินแดนแคว้นกุ่นแห่งนี้ แทบถือได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียม เป็นไปได้เช่นใดที่ประสบเคราะห์ร้ายเช่นนี้?
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างเด็ดขาด…!!”
นานมาก ภายในถ้ำมืดสลัวมีเสียงคำรามราวกับสัตว์ป่าของเซี่ยงหมิงดังออกมา เสียงนั้นดังก้องไปไกล เต็มไปด้วยรสชาติของความโศกเศร้าสติแตกอย่างควบคุมไม่อยู่